ณ พระราชวัง
รถม้าตระกูลเซียวสองคันที่ตามกันมาติด ๆ เซียวฟู่ซินกับฟางเหนียงนั่งรถม้าไปด้วยกัน ส่วนอีกคันก็จะเป็นเซียวเหม่ยอิงและเซียวลี่หงนั่งคู่กันมา
ทันทีที่รถม้าทั้งสองคันจอด สายตาหลายคู่ก็จับจ้องมองดูบุคคลที่กำลังจะก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว คันแรกเป็นเซียวฟู่ซินและฮูหยินของตัวเองที่ลงมาก่อน หลายสายตาจึงจ้องมองดูคันที่สองทันที เพราะเป็นคันที่ได้ขึ้นชื่อว่าสตรีงดงามที่สุดในเมืองหลวงนั่งมา
คนแรกก้าวลงมาโดยมีสาวใช้ประคองรอรับอยู่ด้านนอก สายตาบุรุษหลายคนก็พร่ามัวด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มเขินอาย ทำให้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องน่าทะนุถนอม ยิ่งใส่ชุดสีชมพูอ่อนยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูใสซื่อยิ่งขึ้นไปอีก เซียวลี่หงหลบสายตาหลายคนที่มองมาด้วยใบหน้าที่เขินอายแล้วค่อย ๆ เดินไปหาบิดามารดาที่ยืนรอนางอยู่ แต่สายตาในงานที่จ้องมองดูเซียวลี่หงกลับต้องพากันเปลี่ยนจุดมองเมื่อมีอีกคนกำลังก้าวลงมาจากรถม้าของตระกูลเซียว ทำเอาเหล่าบุรุษแทบพากันหยุดหายใจ
หากเซียวลี่หงงดงามดั่งบุปผาที่น่าทะนุถนอมแล้ว แต่คนที่กำลังก้าวลงมานั้นงดงามอย่างหาได้ยากยิ่ง ดรุณีที่อยู่ในชุดสีขาวปักด้วยด้วยดอกไม้สีน้ำเงินยิ่งดูสง่าและเย่อหยิ่งดั่งนางพญา ใบหน้ามนรูปไข่ คิ้วโก่งเข้ากับดวงตาเรียว จมูกโด่งโค้งรับกับปากเรียวงามพอดี แววตาที่มองดูข้างหน้าอย่างเย็นชาราวกับไม่สนใจสิ่งใด ทำให้คนที่ก้าวลงมานั้นดูลึกลับและน่าค้นหาเป็นอย่างมาก เซียวเหม่ยอิงเดินเข้าไปหาบิดามารดาและน้องสาวของตนเองที่ยืนอยู่ทางเข้างาน จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินเข้างานไปพร้อมกัน โดยไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาเลยแม้แต่น้อย
พอมาถึงงานเลี้ยงทุกคนต่างพากันแยกย้าย เซียวฟู่ซินก็ไปรวมอยู่กับพวกขุนนาง ฟางเหนียงก็ไปรวมกับเหล่าฮูหยินที่สนิทสนมด้วย เซียวลี่หงก็ไปหาเหล่าคุณหนูที่เป็นสหาย ที่โต๊ะตอนนี้จึงเหลือเพียงเซียวเหม่ยอิงที่นั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ โดยมีลี่จินคอยยืนรับใช้อยู่ข้างกาย เพราะเซียวเหม่ยอิงนั้นไม่ค่อยได้ออกงานสังคมเท่าไหร่นักจึงทำให้ตัวนางไม่ค่อยมีสหาย ซึ่งแตกต่างจากเซียวลี่หงที่มีสหายค่อนข้างมาก ด้วยลักษณะท่าทางที่เป็นมิตรและยิ้มง่ายของนาง ผู้ใดก็ต่างอยากจะเป็นสหายกับนางอยู่แล้ว
“หงเอ๋อร์ วันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามจริง ๆ” คุณหนูท่านหนึ่งที่เป็นสหายกับเซียวลี่หงได้เอ่ยปากชมสหายของตัวเอง ท่ามกลางความเห็นด้วยของเหล่าสหาย
“จริงอย่างที่เจ้าว่า ข้าว่าในงานนี้หงเอ๋อร์ของเราคงจะโดดเด่นสุดแล้ว ดูเครื่องประดับที่หงเอ๋อร์สวมใส่ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน งดงามมากจริง ๆ”
คนที่ถูกชมว่างดงามไหนเลยจะไม่ชอบใจ เซียวลี่หงยิ้มมากขึ้นพร้อมกับลูบไล้เครื่องประดับที่ตัวเองใส่อย่างทะนุถนอม
“เครื่องประดับชุดนี้ ท่านแม่เป็นคนจ้างช่างทำขึ้นมาให้ข้าเป็นพิเศษน่ะ ความจริงแล้วข้าไม่ต้องการด้วยซ้ำ ข้าบอกท่านแม่แล้วว่ามันสิ้นเปลือง แล้วอีกอย่างข้าก็ไปซื้อชุดเครื่องประดับมาแล้วด้วย แต่ท่านแม่ก็ไม่ยอม ข้าเลยต้องใส่มาเพื่อไม่ให้ท่านแม่เสียใจ” ท้ายน้ำเสียงบ่งบอกถึงความเสียดาย
เหล่าบรรดาคุณหนูที่เป็นสหายกับเซียวลี่หงต่างพากับชื่นชมเซียวลี่หง เพราะตระกูลเซียวนั้นเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่ร่ำรวย แต่เซียวลี่หงนั้นกลับทำตัวแตกต่าง ชอบแต่งตัวธรรมดา และชอบช่วยเหลือคนยากไร้เป็นประจำ
“มารดาเจ้านั้นดีกับเจ้ามากจริง ๆ " เซียวลี่หงยิ้มรับให้กับคำชม
ขณะที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่นั้น คนของตระกูลหลี่ก็เดินผ่านจุดที่กลุ่มเซียวลี่หงอยู่
หลี่ซื่อหมินกับเซียวลี่หงนั้นสบตากันพอดี ตัวหลี่ซื่อหมินเองก็ยิ้มให้เป็นปกติ เซียวลี่หงเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน ทำเอาสหายนางถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความสนใจ เพราะพวกนางได้ยินข่าวลือบางอย่างมาจากสาวใช้ของตัวเอง
“นี่หงเอ๋อร์ พวกข้าได้ยินข่าวลือจากสาวใช้ ว่าเจ้ากับคุณชายหลี่สนิมสนมถึงขั้นไปเดินตลาดด้วยกันสองต่อสองรึ”
“ใช่! หงเอ๋อร์เจ้าเล่าให้พวกข้าฟังเดี๋ยวนี้เลย ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน”
เห็นหลายสายตาที่มองมาด้วยความสงสัย ทำเอาเซียวลี่หงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พวกเจ้าจะสงสัยเกินไปแล้ว คุณชายหลี่เป็นคู่หมั้นคู่หมายของพี่สาวข้า ข้ากับคุณชายหลี่สนิทกันย่อมไม่ใช่เรื่องผิดปกติ อีกอย่างข้าไม่ได้ไปไหนมาไหนกับคุณชายหลี่เพียงลำพังเสียหน่อย มีสาวใช้ตามข้าไปด้วยไม่ห่าง พวกเจ้าจะเชื่อข่าวลือมากเกินไปแล้ว”
“นั่นสินะ หงเอ๋อร์ของเราเป็นหญิงสาวที่จิตใจงดงามขนาดนี้ จะทำตัวตามที่ข่าวลือว่าได้เช่นไร”
“แต่หงเอ๋อร์ ข้าพูดไปอย่าโกรธข้านะ ข้าว่าเจ้าเหมาะสมกับคุณชายหลี่มากกว่าพี่สาวของเจ้าเสียอีก”
“ฮวาเอ๋อร์” เซียวลี่หงทำเสียงตกใจกับคำพูดสหายของตัวเอง
“ข้าก็เห็นด้วยกับที่ฮวาเอ๋อร์พูดนะ คุณชายหลี่รูปโฉมงดงามไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดเลย อีกทั้งยังเป็นขุนนางที่มีอนาคตก้าวหน้ามากที่สุด หากคุณชายหลี่หมั้นหมายกับหงเอ๋อร์ของพวกเราแทน คงดีไม่น้อย”
เซียวลี่หงได้แต่ยิ้มบางให้กับคำพูดของบรรดาสหายตัวเองที่พูดเกี่ยวกับเรื่องตนเอง
“วันนี้ข้าได้ยินมาว่าองค์ฮ่องเต้จะประกาศแต่งตั้งองค์รัชทายาทและแม่ทัพประจำการอย่างเป็นทางการใช่หรือไม่”
“ชินอ๋องได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทและรองแม่ทัพหวงได้เป็นแม่ทัพนี่”
ทุกคนต่างพยักหน้าให้กับคำพูดนั้น เพราะก่อนหน้านั้นมีการพูดไว้ที่ท้องพระโรงแล้ว ว่าหลายฝ่ายลงความเห็นกันว่าให้แต่งตั้งชินอ๋องขึ้นเป็นองค์รัชทายาทรวมทั้งรองแม่ทัพหวงให้เป็นแม่ทัพ หลังจากทั้งคู่พากันยกทัพไปออกรบเป็นเวลาช้านาน จนได้รับชัยชนะกลับมา เป็นความดีความชอบใหญ่หลวงนัก วันนี้จึงเป็นการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการนั่นเอง
“พูดถึงท่านรองแม่ทัพหวง ตอนที่ข้าไปดูวันต้อนรับขบวน ข้าเห็นเขาใส่หน้ากากปกปิดใบหน้า ข้าว่าเขาต้องอัปลักษณ์เป็นแน่” นี่ฮวาเอ่ยขึ้นมา
“นั่นสิ ข้าก็เห็นเช่นกัน ผู้ใดจะปิดหน้าตนเองเล่า หากไม่อัปลักษณ์” คุณหนูท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นเห็นด้วยกับคำพูดของสหายตัวเอง
“ข้าว่า พวกเราว่าอย่าพูดเรื่องนี้กันเลยจะดีกว่า หากผู้ใดมาได้ยินคงไม่ดี อีกอย่างท่านรองแม่ทัพหวงสร้างความดีความชอบมากมาย ท่านรองแม่ทัพอาจจะได้รับบาดเจ็บตอนไปออกรบก็เป็นได้” เซียวลี่หงเอ่ยขัดสหายตัวเอง น้ำเสียงสงสารปนเห็นใจของเซียวลี่หงทำเอาบรรดาคุณหนูทั้งหลายต่างพากันเห็นด้วยแล้วเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น พูดคุยกันได้สักพักทุกคนก็แยกย้ายไปนั่งที่ของตัวเองเพราะงานเลี้ยงใกล้เริ่มแล้ว
“ฮ่องเต้ ฮองเฮาเสด็จ” สิ้นคำประกาศของขันที ก็ปรากฏร่างหงส์คู่มังกรประจำแผ่นดินที่เดินเคียงคู่กันมา โดยมีเหล่าบรรดาองค์ชายและสนมที่เดินตามหลังมาไม่ห่าง ทุกคนพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที
“ขอฮ่องเต้ทรงพระเจริญ อายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
“ขอฮองเฮาทรงพระเจริญ อายุยืนพันปี พันพันปี”
หลังจากทำความเคารพกันเรียบร้อยแล้ว ก็มีบรรดาเหล่านักดนตรีและนางรำออกมาร่ายรำทำการแสดงเพื่อให้งานเลี้ยงสนุกสนาน ทุกคนในงานต่างมองดูการแสดงอย่างเพลินเพลิน หลังจากการแสดงจบลง ขันทีก็ได้อ่านราชโองการต่าง ๆ ที่ฮ่องเต้ประทานให้แก่เหล่าทหารที่ออกศึกในครั้งนี้ รวมทั้งมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและแม่ทัพอย่างเป็นทางการด้วย
ชินอ๋องได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทและหวงหยางหมิงได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพประจำการเมืองหลวง
หลังจากที่ชินอ๋องได้ขึ้นไปรับราชโองการจากฮ่องเต้แล้ว ท่ามกลางความยินดีของเหล่าประชาชนที่มาร่วมงาน ต่อมาคนที่ได้ขึ้นไปรับพระราชโองการต่อก็คือรองแม่ทัพหวงหยางหมิง
ทันทีที่ขันทีประกาศชื่อรองแม่ทัพหวงหยางหมิงทุกคนที่มาร่วมงานต่างพากันเงียบสงบ เพราะกลิ่นอายกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของรองแม่ทัพหวงหยางหมิน ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดนิลสีดำ ปกปิดใบหน้าภายใต้หน้ากากสีดำที่ตัดกับผิวขาวปิดถึงครึ่งหน้า เห็นเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้น ดวงตากลมโตที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด ทุกคนล้วนพากันหลบสายตาของเขา มีเพียงสตรีหนึ่งนางเท่านั้นที่จ้องตอบกลับเขาอย่างไม่หวั่นเกรง มุมปากของหวงหยางหมิงยกขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิม แล้วก็ค่อย ๆ เดินผ่านสตรีที่จ้องมองเขาไป เพื่อขึ้นไปรับราชโองการจากองค์ฮ่องเต้
เซียวเหม่ยอิงมองดูคนที่กำลังขึ้นไปรับราชโองการกับองค์ฮ่องเต้ด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมา
"เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นสายตาของเขานัก"
นางพยายามนึกแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอสายตาแบบนี้ที่ใด แต่สายตาที่รองแม่ทัพหวงมองมาที่นางมันดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าในอดีตนั้นเคยเจอกันมาแล้ว
เซียวเหม่ยอิงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ กระทั่งฮ่องเต้ได้พระราชทานสิ่งของรางวัลต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว จึงได้ขอตัวกลับวังหลวงพร้อมกับฮองเฮา แต่งานเลี้ยงนั้นยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ มีดนตรีและการร่ายรำอยู่ไม่ขาด เพื่อสร้างความสำราญแก่ผู้คนในงาน แต่ในเมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาไม่อยู่แล้ว องค์รัชทายาทและท่านแม่ทัพที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งไปหมาด ๆ ก็ขอตัวกลับเช่นเดียวกัน แม้ว่าขุนนางหลาย ๆ คนจะเสียดายโอกาสที่จะเข้าไปทำความรู้จักแต่ก็ต้องห้ามตัวเองเอาไว้ ใครกันจะกล้ารั้งทั้งสองคนไว้
ในเมื่อตัวเอกของงานไม่อยู่แล้ว ผู้คนก็ทยอยกลับเช่นเดียวกัน แต่ก็มีหลายคนที่ยังอยู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“คุณหนูใหญ่อยากกลับจวนเลยหรือไม่เจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปเตรียมรถม้าให้” ลี่จินเอ่ยถามคุณหนูใหญ่ของตัวเอง เพราะตอนนี้เซียวเหม่ยอิงนั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง ต่างจากทุกคนที่จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วตัวแล้ว” เซียวเหม่ยอิงตอบกลับสาวใช้ตัวเองด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน เพราะตั้งแต่เข้างานมาเซียวเหม่ยอิงยังไม่ลุกไปไหน นางทำได้เพียงนั่งนิ่ง ๆ ที่โต๊ะเพียงลำพัง ทำเอาคนที่มองมานั้นยิ่งไม่กล้าเข้ามาคุยด้วย ท่าทางที่สง่าและเย็นชาของเซียวเหม่ยอิงนั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าความจริงแล้วนางกำลังปวดเมื่อยไปทั้งตัว
ลี่จินไม่รอช้ารีบไปจัดเตรียมรถม้าทันที นางได้แต่สงสารคุณหนูตัวเองจับใจ คู่หมั้นคู่หมายอย่างคุณชายหลี่ ทั้งที่เห็นกันในงานแท้ ๆ กลับไม่เข้ามาทักทายแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองคุณหนูตัวเองอย่างไรบ้าง