คืนหนึ่งลี่หลินได้หนังสือนิยายมาจากเพื่อน เธออ่านจนถึงกลางเรื่องแต่ก็ผลอยหลับไป เมื่อตื่นมาอีกครั้งเธอดันพบว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ในร่างของเหมยลี่ หญิงอัปลักษณ์ซึ่งเป็นภริยารองแสนชังของท่านแม่ทัพตัวร้าย และพบว่าเหมยลี่กำลังตั้งครรภ์เธอจึงคิดหนีเพื่อไปใช้ชีวิตแสนสุขกับลูกเพียงลำพัง
더 보기เมืองหางโจว
ภายในมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองหางโจว มีกลุ่มนักศึกษาต่างพากันปั่นจักรยานไปเรียนในตอนเช้าซึ่งเป็นฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ข้างทางจึงพากันผลัดเปลี่ยนสีของใบจากเขียวกลายเป็นส้มบ้างแดงบ้าง
ลมหนาวเริ่มมาเยือนปะทะใบหน้าอ่อนหวานของหญิงสาววัยยี่สิบปีนักศึกษาคณะคหกรรม ซึ่งวันนี้เธอแต่งกายด้วยเสื้อไหมพรมพร้อมพับผ้าพันคอไว้โดยสวมกางเกงขายาวเพื่อให้ร่างกายได้อุ่นขึ้น
ลี่หลินกำลังปั่นจักรยานไปยังอาคารเรียนที่อยู่ไกลจากหอพัก ด้วยความมีนักศึกษาเป็นจำนวนมากจึงต้องแย่งกันในทุกย่างก้าวเพื่อจะได้ไปให้ถึงตามเวลา เพราะการเป็นเชฟต้องรักษาเวลาให้เป็นอย่างดี ช้าเพียงเสี้ยววินาทีเดียวอาหารเลิศรสอาจเปลี่ยนรสชาติไปได้
สาวผมยาวทรงสละสลวยยามโต้ลมทำให้พลิ้วไหวและดูสวยงามราวกับเส้นของขนมไหมฟ้า ลี่หลินโดดเด่นด้วยหน้าตาและคำพูดคำจาที่ดูฉลาดเฉลียว ทว่าเธอยังไม่เคยต้องมือชายเลยสักครั้ง ซึ่งใคร ๆ ก็ว่าเธออาภัพ แต่ลี่หลินไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น
“มาเร็วลี่หลิน” เสียงเรียกของเพื่อนตาเฉี่ยวชั้นเดียวสวมแว่นสายตาผมสั้นประบ่ากำลังโบกมือเรียกเธอจากใต้อาคารเรียนสูงหลายชั้น
ลี่หลินจึงเร่งถีบจักรยานไปให้ถึงที่จอด แล้ววิ่งไปหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอซึ่งมีนามว่าปิงปิง
“มาแล้ว ๆ” ลี่หลินวิ่งไปหอบไปก่อนยืนตรงและยิ้มกว้างให้เพื่อน
“อีกห้านาที” ปิงปิงยกนาฬิกาที่ข้อมือมาดู ก่อนคว้ามือเพื่อนแล้วพากันวิ่งไปบนอาคาร หากจะรอลิฟต์ก็คงไม่ทัน เพราะเหล่านักศึกษาหลายสิบคนกำลังยืนออกันอยู่ที่ตรงนั้น สองสาวจึงใช้แรงกำลังของตัวเองที่มีวิ่งขึ้นไปยังชั้นห้าของอาคาร
“แฮ่ก ทำไมฉันต้องมาวิ่งทุกเช้าด้วย” ลี่หลินอดไม่ได้ที่จะบ่น
“เถอะน่า เพื่อเช้าวันใหม่ที่สดใส” ปิงปิงเสียงแหบกว่าเพื่อนพูดพร้อมตบไหล่เบา ๆ ก่อนยืนหอบเมื่อเท้าพ้นบันไดขั้นสุดท้ายซึ่งอยู่หน้าห้องปฏิบัติการพอดี
สองสาวจึงรีบพากันเข้าไปในห้องซึ่งจำลองครัวขนาดใหญ่ไว้ในนั้น มีเครื่องครัว อุปกรณ์ครบครัน ทั้งยังมีวัตถุดิบสดใหม่หลากหลายชนิดให้เลือกสรรราวกับเป็นห้องเครื่องในวังก็ไม่ปาน
“โชคดีนะที่มาทัน” ปิงปิงพูด พร้อมเก็บกระเป๋าเข้าที่ ในขณะที่ลี่หลินกำลังถอดเสื้อไหมพรมตัวนอกออกจึงเผยให้เห็นชุดเชฟสีขาวด้านใน
พวกเพื่อนคนอื่นในชั้นเรียนก็ต่างพากันกรูเข้ามาภายในห้องไม่ต่างกัน จนเดินมาชนลี่หลินเข้า
“ยืนเกะกะอยู่ได้” แน่นอนว่าลี่หลินมักถูกกระทำเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ ซึ่งเธอรู้สึกชินและชาจึงไม่ได้โต้ตอบอะไรไป
“ไม่มีตาหรือไง” แต่ปิงปิงที่ไม่เคยยอมใครโต้ตอบกลับให้แทน
“ไม่เอาน่าปิงปิง รีบแต่งตัวเถอะ” ลี่หลินไม่อยากเสียเวลาชีวิต เธอจึงห้ามเพื่อนและจัดหมวกเชฟให้
“มา ๆ ได้เวลาแล้ว”
เสียงดุดันทุ้มต่ำอย่างคนมีอายุดึงเหล่าเชฟฝึกหัดให้หันไปมองและยืนสงบนิ่ง อาจารย์เฉิงคือผู้ดูแลในวิชานี้ เขาเป็นเชฟมือทองในโรงแรมระดับห้าดาวที่ได้รับการันตีมากมาย จากประสบการณ์จับกระทะเหล็กมานับยี่สิบกว่าปี ทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องการใช้มีดเป็นอย่างมากจนใคร ๆ ก็เรียกว่าท่านเซียนเฉิง
“วันนี้จะทำอะไรคะอาจารย์” เพื่อนคนหนึ่งถาม ท่าทางร้อนวิชาซะจนออกนอกหน้า
“ปลาต้มผักกาดดอง”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นเมื่ออาจารย์ได้บอกออกมา แค่ต้มปลาที่มีวัตถุดิบไม่กี่อย่างซึ่งเห็นได้ทั่วไปในหางโจว แน่นอนว่าทุกครัวเรือนย่อมเคยได้ทำเมนูนี้
“แค่ปลาต้มผักกาดดองนี่นะ อาจารย์เฉิงเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเถอะค่ะ” ปิงปิงพูดปนผิดหวัง คิดว่าจะได้เรียนทำอาหารเมนูที่ดูอลังการและยากกว่านี้
“มันไม่ใช่แค่ต้มปลา” อาจารย์เฉิงพูดพร้อมกวาดสายตามองนักศึกษา โดยเอามือไขว้หลังก่อนเดินจงกลมเล่าเรื่องราวเป็นมาของเมนูนี้
“อาหารประจำถิ่นของเสฉวนที่ดูเหมือนจะทำง่าย แต่แท้จริงแล้วต้องอาศัยความชำนาญในการทำปลาเป็นอย่างมาก ซุปเข้มข้นกลมกล่อมต้องมีทั้งสัมผัสของปลาเนื้อขาวนุ่มเด้งแต่พอเคี้ยวกลับเหมือนกินปุยเมฆ กลิ่นของผักกาดดองต้องติดปลายจมูก และเผ็ดชาปลายลิ้น...”
“อาจารย์เขากำลังท่องกวีอะไรหรือเปล่า” ลี่หลินยกมือป้องปากขยับเอนศีรษะไปใกล้หูของเพื่อน
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ปิงปิงมองอาจารย์ด้วยคิ้วขมวด
“ไหน ๆ เมนูนี้ทุกคนก็คุ้นชินกันอยู่แล้ว อาจารย์จะทำมันเพียงครั้งเดียวให้พวกเธอชิม ใครทำได้ใกล้เคียงสุด ก็เอาคะแนนเต็มไป”
“ครับ/ค่ะ อาจารย์”
เหล่าเชฟฝึกหัดพากันกรูเข้ามาล้อมวงอาจารย์โดยที่ในมือถือสมุดกับปากกาไว้เตรียมจด ลี่หลินยืนมองและเก็บรายละเอียดในทุกกระบวนการของอาจารย์เฉิน ตั้งแต่การถอดเกล็ด แล่ปลาเป็นชิ้น การต้มน้ำ และผักกาดดองที่เตรียมใส่ลงไป
อาจารย์เฉินทำอย่างขะมักเขม้นและรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ราวกับเป็นมายากลเสกทุกอย่างให้ง่ายดายไม่ทันไรปลาต้มผักกาดก็เสร็จได้ภายในไม่กี่นาที
ถ้วยกระเบื้องขนาดใหญ่เกือบเท่ากะละมังถูกวางอยู่ตรงหน้านักศึกษาที่รุมล้อม กลิ่นของปลาต้มผักกาดกำลังส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย แต่นั่นยังไม่เสร็จซะทีเดียว อาจารย์เฉินได้ตั้งกระทะใส่น้ำมันสีเหลืองทองให้ร้อนพร้อมคั่วพริกขิงเม็ดกระเทียมก่อนตักน้ำมันเจียวมาราดปลาต้มผักกาด
“หือ หอมกว่าเดิมมาก” นักเรียนต่างพากันพูด
“ลองชิมกันดู แล้วลงมือทำได้เลย” อาจารย์เฉินอนุญาตแล้ว นักศึกษาจึงต่างแย่งกันชิม เพื่อรีบกลับไปทำปลาต้มผักกาดของตัวเอง
ลี่หลินชิมอย่างละเมียดให้ลิ้นรู้รสชาติโดยเริ่มจากการชิมน้ำซุปสีข้นซึ่งรับรู้ได้ทั้งสี่รส ทั้งเค็ม เปรี้ยว เผ็ด และ หวานจากเนื้อปลา เธอค่อย ๆ เคี้ยวและวิเคราะห์รสชาติให้แน่ใจ เมื่อจดจำได้จึงมายืนอยู่หน้าเตา เชฟฝึกหัดพร้อมแล้วกับการประลองฝีมือในครั้งนี้
“ที่นี่โรงเตี๊ยมบุพผางาม” จางเหว่ยพูดขึ้น สามีของฟู่ฟู่พาหญิงอัปลักษณ์มาถึงโรงเตี๊ยมที่ว่า แม้จักดูมิใหญ่โตมากนักแต่ผู้คนก็เข้ามาไม่ขาดสาย เนื่องจากที่ตั้งแห่งนี้เป็นทางผ่านไปยังหัวเมืองต่าง ๆ จึงมิแปลกใจหากจักมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้ามาจิบน้ำชาและหลับนอน ลี่หลินมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ นางเคยฝันอยากเป็นเชฟโรงแรมระดับห้าดาว ถึงที่แห่งนี้ไม่มีดาวการันตีก็ตาม นางถือว่าที่แห่งนี้เป็นเหมือนที่ฝึกฝนจึงมิเกี่ยงเลยหากได้ทำงานในที่แห่งนี้ “เข้าไปกันเถอะ” บุรุษเดินนำเข้าไปก่อน หญิงอัปลักษณ์จึงดึงผ้าคลุมให้ปิดใบหน้าซีกหนึ่งให้มิชิด เพื่อมิให้ผู้คนในที่แห่งนี้แตกตื่นไปเสียก่อน เสียงจอแจดังจนฟังมิได้ความ กับผู้คนที่เข้ามาบ้างก็ทานอาหาร บ้างจิบน้ำชา และเมามาย ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนหอนางโลมดี ๆ นี่เอง เพราะลี่หลินเห็นนางคณิกาอรชรอ้อนแอ้นนั่งรินน้ำชาให้เหล่าบุรุษอยู่หลายนาง “จางเหว่ยท่านแน่ใจรึว่าที่นี่คือโรมเตี๊ยม” ลี่หลินจึงถามให้แน่ใจ “ใช่ที่แห่งนี้แหละ” จางเหว่ยตอบ ก่อนหันไปทักทายเจ้าของโรงเตี๊ยม
ลี่หลินตั้งใจปักเย็บผ้าห่มผืนหนามาหลายชั่วยามจนเหมื่อยกาย มือของนางถูกเข็มทิ่มซ้ำอยู่หลายหน แต่นั่นก็มิทำให้ความตั้งใจลดน้อยลงไป ขณะเดี๋ยวกันฟู่ฟู่เห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่จางเหว่ยจักกลับมาจากหาของป่าเสียแล้ว นางจึงต้องรีบละจากกองผ้าเพื่อไปเตรียมทำอาหารในครัว “เจ้าจะไปไหน?” หญิงในร่างอัปลักษณ์เอ่ยถาม “ข้าจักไปเตรียมทำอาหารให้ท่านพี่กับท่านแม่” “ท่านแม่?” ลี่หลินขมวดคิ้ว นางลืมไปเสียสนิทว่าบ้านหลังนี้มีหญิงชราอาศัยอยู่ด้วยมิใช่ เหตุใดนางจึงมิเห็น “ใช่ท่านแม่ของสามีข้า นางมิค่อยสบายจึงพักผ่อนอยู่อีกห้องหนึ่ง” ลี่หลินครุ่นคิด คนบ้านนี้ชั่งมีน้ำใจเสียจริง ทั้งที่แม่ผู้แก่ชราล้มป่วยยังมาดูแลนางขนาดนี้ ลี่หลินต้องตอบแทนผู้มีน้ำใจบ้างแล้ว “ให้ข้าทำกับข้าวแทนเจ้าได้ไหม” ลี่หลินพูด นางเรียนมาทางด้านนี้และคิดว่าทำได้ดีจึงอยากแสดงฝีมือ “ได้สิ งั้นให้ข้าเป็นลูกมือเจียเจี่ยนะ” ฟู่ฟู่ยิ้ม นางอยากชิมฝีมือพี่สาวเช่นกัน ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในครัว ซึ่งเป็นเตาที่ถูกก่อด้วยดินเผาโดยใช้ความร้อนจากฟืน นั่นมิใช่อุปสรรคในการ
ด้วยความร้อนใจฮูหยินชิงชิงจึงหวนกลับไปที่เดิม นางเข้ามาหาท่านซินแสที่นางเคยมาอ้อนวอนขอบุตรให้แก่ตระกูลกู้ หญิงชราเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าเป็นกังวล นางพบท่านซินแสกำลังนั่งสมาธิอยู่ในศาลาอันเก่าและทรุดโทรม รอบกายรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณซึ่งดูรกตาเป็นอย่างมาก ทว่าร่างกายของผู้มีพลังเหนือสรรพสิ่งดันดูผ่องใสจนน่าศรัทธา “ท่านซินแส” ฮุหยินชิงชิงรีบคำนับ เปลือกตาของท่านซินแสค่อยลืมขึ้นอย่างมิทุกข์ร้อนใด ๆ เขาหยั่งรู้ในทุกสิ่ง เพียงแค่เห็นหน้าผู้มาเยือนก็รู้แล้วว่าสตรีสูงวัยผู้นี้รีบร้อนมาหากันด้วยเหตุอันใด “กลับไปเสียข้าช่วยเจ้ามิได้” แม้ซินแสจักหยั่งรู้ แต่ก็มิอาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตไปได้เสียทุกอย่าง เรื่องเวรกรรมที่มู่หยางต้องได้รับเคราะห์หนักมันเป็นเรื่องที่ซินแสเยี่ยงเขาเข้าไปยุ่งมิได้ “ท่านซินแส ได้โปรดช่วยบุตรชายข้า” ฮูหยินชิงชิงยอมคุกเข่าอ้อนวอน “ใจที่ผูกติดต่อให้ใช้ดาบแหลมคมตัดก็มิอาจตัดขาดไปได้ เคราะห์ของใครก็ต้องให้ผู้นั้นเป็นคนแก้ หากเจ้าไปฝืนชะตาก็คงต้องเป็นเจ้าเองที่จะต้องวอดวาย” “ข้ายอม ข้ายอมทุกอย่าง ขอเพียงแค่ให
ลี่หลินนอนคิดทบทวนเรื่องราวที่ได้อ่านในนิยาย จากการปะติปะต่อเรื่องราวนางจึงรู้ว่าได้เข้ามาอยู่ในร่างหญิงอัปลักษณ์ในตอนที่เนื้อเรื่องถึงจุดพีคที่สุด พอดีกับที่นางอ่านทิ้งไว้ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปหรืออะไรกันแน่ จู่ ๆ ก็ได้มาเข้าร่างของเหมยลี่อย่างงงงวย เนื้อเรื่องในนิยายยังคงดำเนินต่อไปแต่นางกลับมิรู้เลยว่าจุดจบคือแบบใดกันแน่ นางจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ให้ได้ ถึงจักล้าสมัยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกก็ตาม แต่คนเยี่ยงนางยังมีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพได้แน่นอน ทว่าจู่ ๆ นางก็รู้สึกเหม็นจนพะอึดพะอมอย่างบอกมิถูกเมื่อฟู่ฟู่ได้นำยาต้มเข้ามาให้นางอีกหน “เจ้าเป็นอันใด” สตรีผู้น้อยเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพี่สาวนางจึงถาม “ข้าอยากอ้วก” “ข้าจักนำกระโถนมาให้” ฟู่ฟู่รีบวิ่งไปหยิบกระโถนมาให้ทันท่วงที แน่นอนว่าลี่หลินได้อาเจียนออกมาจนหมดไส้ นางคงมิคุ้นกลิ่นสมุนไพรสักเท่าไร “เจ้าต้มอะไรมาเหม็นเป็นบ้าเลย” ลี่หลินย่นจมูก “ยาสมุนไพรเยี่ยงไรเล่า เจ้าต้องดื่มมัน” “ข้าไม่ดื่ม เหม็นขนาดนี้ใครจะไปดื่มลง” “เจ้าจักหายได้เยี่ยงไร เหต
จางเหว่ยกำลังก่อไฟเพื่อต้มยาก็พลันได้ยินเสียงร้องลั่นของภรรยา เขาจึงละจากทุกสิ่งและวิ่งไปหาด้วยความร้อนรน “เกิดอันขึ้น!” เมื่อมือเลื่อนบานประตูออกเขาก็เห็นภรรยาเอาแต่ร้องไห้อยู่ข้างหญิงผู้นี้ เขาเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าของนางที่แสนอัปลักษณ์จนชวนให้น่ากลัว “นางคือพี่สาวของข้า” ฟู่ฟู่เอ่ย นางทั้งดีใจและเสียใจในคราวเดียว “เช่นนั้นรึ” จางเหว่ยถามให้แน่ใจอีกหน ฟู่ฟู่พยักหน้าให้ “หากเป็นเช่นนั้นนับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว เช่นนั้นข้าจักรีบไปต้มยา ส่วนเจ้าก็เช็ดตัวแล้วผลัดเสื้อผ้าให้นางเถิด” “เจ้าค่ะ” ฟู่ฟู่จึงทำตามอย่างว่าง่าย นางค่อย ๆ เช็ดตัวซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยช้ำ ก่อนนำเสื้อผ้าของนางมาให้หญิงอัปลักษณ์ใส่ มินานคนที่หายไปต้มยาก็กลับมาพร้อมยาสมุนไพร จางเหว่ยรีบยื่นให้ฟู่ฟู่ป้อนให้ เพราะเขาเป็นบุรุษที่แต่งงานแล้วจักถูกเนื้อต้องตัวสตรีอื่นคงดูมิงามนัก “ข้ามิรู้ว่านางเป็นอันใดกันแน่ เนื้อตัวนางมีแผลเต็มตัวไปหมด” ฟู่ฟู่พูดด้วยแววตาเศร้า นางรู้สึกสงสารเหมยลี่จับใจ “นางจักต้องหาย ตราบใดที่ยังมีลมหาย
สายน้ำเชี่ยวไหลผ่านตลิ่งและโขดหินได้นำพาร่างหนึ่งที่เพิ่งตกลงเหวลงสู่ก้นบึ้ง เหมยลี่มิทันได้ระวังตัวเมื่อแรงกระแทกปะทะร่างกายจนจุกและเจ็บ สายน้ำโหมกระหน่ำเข้ามายังปอดจากการสำลัก พยายามสูดอากาศเข้าแล้วแต่มิอาจทำได้ นางจึงรู้ว่าคงมิอาจรอดพ้นบ่วงเคราะห์นี้ไปได้ในใจแตกสลายมิมีชิ้นดี จากความรักที่เหมยลี่คิดว่าท่านแม่ทัพจักเมตตาต่อกันบ้าง แต่หามีไม่ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงขออ้อนวอนต่อฟ้าดินขอให้นางได้รอดพ้นจากมู่หยางเสียทีมิว่าชาติภพใดก็มิขอรักบุรุษผู้นี้อีกหยดน้ำตาผสมกับสายน้ำเย็นดวงตาปิดสนิทด้วยความปลงกับชีวิต หญิงอัปลักษณ์มิขออยู่ให้อายฟ้าดินอีกต่อไป นางจึงมิไขว่คว้าและปล่อยให้ร่างไร้สติไหลไปตามกระแสน้ำดุจกลีบดอกเหมยที่ร่วงโรยผ่านไปหลายชั่วยามร่างอรชรที่เปียกปอนได้ถูดพัดมาติดที่โขดหิน ใบหน้าซีดเซียวคล้ายกับคนไร้ซึ่งดวงวิญญาณค่อยเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ และมีชีพจร ปลายนิ้วค่อย ๆ ขยับไปพร้อมกับเปลือกตาที่ปรือขึ้นคิ้วบางขมวดเข้าหากันลี่หลินจำได้ว่านางอ่านนิยายอยู่ที่หอพักมิใช่หรือเหตุใดถึงได้มาอยู่กลางป่าแสนหนาวเหน็ดยามค่ำคืนเช่นนี้“ฮัดชิ้ว!” หญิงนักศึกษาจามออกมาจนได้ นางรู้สึกชื้นปอดอย่างไร
댓글