บางคนการแต่งงานอาจเป็นบทสรุปที่หวานชื่น แต่กับเยี่ยนเยว่ฉีการแต่งงานกับมู่เลี่ยงหรงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น นางต้องออกจากอ้อมอกบิดามารดามาใช้ชีวิตของตนเอง ทว่าการได้รับตำแหน่งชายาเอกฉินอ๋องไม่ได้เรียบง่าย นางต้องพบเจอกับแรงกดดันในฐานะสะใภ้หลวงจากไทเฮา ซึ่งบางเรื่องพี่ชายแสนดีทั้งสองไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ นางจึงต้องงัดทุกสิ่งที่มารดาอบอรมมาทั้งชีวิตมาใช้เพื่อที่จะยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนี้อย่างมั่นคง แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้รอยยิ้มของสตรีมากมายในเรือนหลังจะมีคมมีดซ่อนอยู่ แล้วมู่เลี่ยงหรงจะมีเพียงนางเป็นยอดดวงใจไปถึงเมื่อไร และสุดท้ายนางจะทนใช้บุรุษร่วมกับสตรีนับสิบได้จริงๆ หรือ “มะ...ไม่ ออกไป ข้าไม่ไหวแล้ว” “หือ?” มู่เลี่ยงหรงซึ่งกำลังแข็งขึงอย่างเต็มที่มีอันต้องหยุดชะงัก “ออกไป” นางร้องออกมาพลางเอามือผลักอกของเขา “อ้ายเฟยเจ้าเป็นอันใด” “อะ...ออก มะ...ไม่ไหวแล้ว” พอสิ้นคำ ทุกอย่างที่จุกอยู่ในลำคอพลันราดลงบนร่างของมู่เลี่ยงหรง ไฟราคะที่กำลังพวยพุ่งของเขาพลันมอดดับ “ให้ตายสิ! เยี่ยนเยว่ฉีครานี้เจ้าเป็นอันใดไปอีก”
더 보기แผ่นดินใหญ่ปู้จิ่นฉีอันไกลโพ้น
สงครามระหว่างแคว้นหานและแคว้นเป่ยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นหนึ่ง ต่อมาแคว้นหานได้ส่งแม่ทัพผู้กร้าวแกร่งแห่งตระกูลเยี่ยนเข้าสู่สนามรบ ด้วยสืบสายเลือดตระกูลนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มห้าวหาญดุดันบุกตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้วในที่สุดก็มีชัยเหนือแคว้นเป่ย
หลังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแคว้นเป่ยหยุดยกทัพโจมตีแคว้นหานนานราวสิบปี ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันโดยไม่ประมาท
ปราการที่กั้นขวางทั้งสองแคว้นไว้คือแนวเขาลืมทุกข์กับแม่น้ำลืมเลือน แม้จะสงบศึกกันอยู่แต่ก็ยังปรากฏเหตุความไม่สงบก่อตัวขึ้นบ้างตามแนวชายแดน มีการบุกปล้น ลอบทำร้ายกองทหารลาดตระเวนของแคว้นหานเป็นระยะ ทหารแคว้นเป่ยมักลอบเข้ามาดักซุ่มแบบกองโจร ถึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก่อให้เกิดความหวาดวิตกแก่ราษฎรผู้อาศัยอยู่ในเมืองหน้าด่านเป็นอย่างมาก
เมื่อเหตุการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง แม่ทัพตระกูลเยี่ยนผู้เกรียงไกรย่อมต้องแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ยามนั้นเยี่ยนหยางเจวี๋ยนิสัยดุดันเหี้ยมหาญ หากใครอยากลองดีคงต้องมอดม้วยด้วยทวนเกล็ดมังกร เมื่อต้องสู้รบติดพันมายาวนานหลายปี ความที่ยังหนุ่มยังแน่นย่อมคิดถึงฮูหยินและบุตรธิดาเป็นธรรมดา สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวมาปักหลักที่เมืองชายแดนหานจี
ฮูหยินท่านแม่ทัพได้เดินทางตามสามีมาพร้อมกับบุตรชายทั้งสองคน อีกหลายปีต่อมานางได้ให้กำเนิดบุตรสาวแก่เยี่ยนหยางเจวี๋ย สร้างความปีติยินดีให้เขาเป็นอย่างมาก
แม้จะอยู่เมืองชายแดนห่างไกลความเจริญ แต่ท่านแม่ทัพกับฮูหยินก็ตั้งใจอบรมบุตรชายกับบุตรสาวอย่างเข้มงวด เพราะต้องการให้บุตรธิดาเติบโตมาอย่างไม่น้อยหน้าผู้ใดในแคว้นหาน สองสามีภรรยาจึงเชิญอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพและเชี่ยวชาญศาสตร์ในแต่ละด้านมาสั่งสอนวิชาให้แก่เด็กทั้งสาม
คุณชายใหญ่มีพรสวรรค์ด้านฝึกยุทธ์ เขามานะฝึกฝนจนสำเร็จวิชาทวนตระกูลเยี่ยนได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี ด้วยฝีมืออันเยี่ยมยุทธ์รวมไปถึงความห้าวหาญและแข็งแกร่ง ในที่สุดเขาก็สามารถสังหารแม่ทัพแคว้นเป่ยคนสำคัญได้ เหตุการณ์นี้สร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ จนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นรองแม่ทัพอย่างภาคภูมิเมื่อมีอายุได้เพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น
บุตรชายคนรองเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะความรู้ด้านพิชัยสงคราม อีกทั้งยังเป็นศิษย์หนึ่งในสองของท่านโหราจารย์ประจำรัชกาลของอดีตฮ่องเต้ ด้วยความฉลาดหลักแหลม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำเอาข้าศึกงุนงงตกหลุมพราง เขาจึงขึ้นเป็นกุนซือฝีมือฉกาจได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดปี
ความสามารถของบุตรชายท่านแม่ทัพเป็นที่ประจักษ์ นำพาให้ทั้งราชสำนักและราษฎรมั่นใจว่าตระกูลเยี่ยนจะปกป้องชายแดนให้สงบสุขได้อีกหลายชั่วอายุคน
ส่วนบุตรสาวเพียงคนเดียวนามเยี่ยนเยว่ฉี ท่านแม่ทัพและฮูหยินให้นางศึกษาวิชาความรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งเขียนอักษร วาดภาพ และดนตรี แต่เรื่องที่คนกล่าวขวัญมากที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ท่านแม่ทัพเชิญปรมาจารย์ขลุ่ยโลกันต์แห่งยุทธภพ ไป่หลงจิว มาเป็นอาจารย์ให้นาง
เนื่องจากไป่หลงจิ่วประกาศเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพ เขาผนึกขลุ่ยโลกันต์พร้อมให้คำมั่นว่าจะไม่ถ่ายทอดวิชาต้องห้ามนี้แก่ผู้ใดเด็ดขาด ตราบเท่าที่เขายังรักษาคำสัตย์ ราชสำนักจึงปล่อยให้ผู้อาวุโสได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ ทำให้ผู้คนหาได้นึกหวาดกลัวที่ชายชราคนหนึ่งจะมาเป็นอาจารย์สอนดนตรีให้สตรีตัวน้อย แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคลางแคลงใจ
ท่านแม่ทัพเปิดเผยจริงใจ ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน หากผู้ใดอยากจับผิดก็ทำไป เมื่อธิดาน้อยเรียนเพียงวิชาขลุ่ย เหตุใดเขาจะต้องกลัวคำครหา นานวันเข้าข่าวลือไม่ดีก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ดรุณีน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีในห้องหออย่างสมบูรณ์แบบ
เยี่ยนเยว่ฉีได้รับขลุ่ยหยกพลิ้วพลายซึ่งไป่หลงจิวสร้างให้เป็นพิเศษ ว่ากันว่านางสามารถเป่าขลุ่ยเป็นเพลงไพเราะน่าอัศจรรย์ เมื่อใครได้ฟังจะเคลิบเคลิ้มสุขใจยิ่ง ผู้คนจึงเข้าใจว่าท่านแม่ทัพแค่ต้องการให้บุตรสาวได้เรียนกับอาจารย์ผู้เป็นสุดยอดแต่ละด้านเท่านั้นเอง
นอกจากความสามารถด้านต่าง ๆ ที่โดดเด่นของทายาทตระกูลเยี่ยน อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นที่กล่าวขวัญคือรูปร่างหน้าตา ผู้คนต่างร่ำลือถึงรูปโฉมอันงดงามของสามพี่น้อง
บุตรชายคนโตของตระกูลนามเยี่ยนหยางจง ปีนี้อายุยี่สิบสามปี เขามีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อทุกมัดเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เส้นผมดำสนิทราวขนกาถูกรวบเป็นมวยด้วยผ้าแถบ องคาพยพทั้งห้า[1] ได้รูป ใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากอิ่มหนา ผิวคร้ามแดด นัยน์ตาเหยี่ยวฉายแววล้ำลึกดุดัน กลิ่นอายบุรุษแผ่กำจายมีสง่าราศีของผู้ฝึกยุทธ์อยู่เต็มเปี่ยม เรื่องฝีมือก็เป็นที่ประจักษ์จนเลื่องระบือไปถึงเมืองหลวง เขาจึงเป็นความหวังของตระกูลและราชสำนัก ด้วยรองแม่ทัพเป็นคนหนุ่มรูปงาม องอาจ อนาคตไกล จึงไม่แปลกที่จะเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเหล่าตระกูลผู้ดีทั้งหลายเพราะอยากได้เป็นเขยขวัญ หญิงงามที่นิยมชมชอบก็มีอยู่มากมายแต่ชายหนุ่มมักพูดเสมอว่าชายแดนยังไม่สงบจึงไม่อาจวางใจแต่งงานได้
ส่วนฮองเฮานั่งจิบชาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย ทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ทั้งที่ในใจลอบตำหนิแม่สามีที่พูดจาเอาแต่ใจ โดยไม่สนพระทัยสักนิดว่าเรื่องนี้ควรพูดออกมาตอนนี้หรือไม่ หากมู่เลี่ยงหรงต้องการจะให้จ้าวกุ้ยอินมาเป็นเป็นหวางเฟยแล้วละก็ คงไม่รอให้ไทเฮาเสนอมู่เลี่ยงหรงหยุดรอชายาที่หน้าตำหนัก ความจริงตนไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งนางไว้ที่ตรงนั้น แต่ด้วยกำลังบังเกิดโทสะจึงต้องรีบจากมาก่อนเรื่องราวจะแย่ลง เพียงไม่นานนักเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินออกมาจากประตูตำหนัก หญิงสาวมองผู้เป็นสามีอย่างเข้าอกเข้าใจ“ท่านอ๋องเรากลับกันเถิด”“อ้ายเฟย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้า”“วางใจเถิด หวางเฟยของท่านเป็นคนที่มีเหตุผล” เยี่ยนเยว่ฉียิ้มหยอกเย้าหวังให้เขาสบายใจ“ข้าไม่มีทางรับใครเข้าจวนอีก” เขารีบอธิบาย เพราะกลัวว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะเข้าใจผิด“ดูพูดเข้า หากเป็นพระราชโองการ หรือพระเสาวนีย์อย่างไรท่านก็ขัดมิได้อยู่”“เสด็จพี่มีรับสั่งจะไม่บังคับข้าอีก”“แต่ไทเฮาไม่ได้ทรงรับปากท่านอ๋องนี่”“เป็นดั่งเจ้าว่า แต่ถ้าเสด็จแม่ยังคงดื้อดึง เรื่องนี้คนที่จะเสียใจที่สุดคงจะเป็นจ้าวกุ้ยอิน”“หากนางได้แต่งกับท่านสมใจ จะมีแต่ความ
ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงจุดจอดรถม้าของวังหลวงซิ่นเฉิงขานเรียกผู้เป็นนาย ส่วนซูจิ้งก็จัดการวางขั้นบันไดข้างรถม้า ทั้งสองต่างทำหน้าที่ของตนเองโดยไม่มองหน้า ไม่พูดไม่จากันแม้แต่ครึ่งคำ ทั้งที่ต้องเดินเคียงกันไปตลอดทางเป็นองครักษ์หนุ่มที่รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว คิดว่ายังไงก็ต้องหาทางคุยกับซูจิ้งให้รู้เรื่องรู้ราว อย่างไรเสียตอนนี้ก็อยู่จวนเดียวกัน หากนางเป็นอนุบ่าวของเยี่ยนจิ้นหลิงจริง เหตุใดจึงตามหวางเฟยมาเล่า เขาจะต้องถามความให้กระจ่าง หากแม้ไม่มีวาสนาต่อกันก็ยินดีจะล่าถอย ไม่ใช่เดาสุ่มเอาเองเช่นนี้ เมื่อตกลงใจได้เขาก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน‘คืนนี้ล่ะ ซาลาเปาน้อย ข้าจะต้องรู้ความจริงให้จงได้’มู่เลี่ยงหรงต้องพาเยี่ยนเยว่ฉีไปถวายพระพรไทเฮา หนทางจากจุดจอดรถม้าไม่ใกล้เลย ซ้ำไทเฮายังเลือกเวลาให้ทั้งสองมาเข้าเฝ้ายามตะวันตรงศีรษะ ที่น่าแปลกคือไม่มีเกี้ยวสำหรับสตรีมารับ กว่าจะถึงตำหนักของพระนาง ฉินอ๋องกับหวางเฟยต้องเดินเท้าเป็นเวลาราวหนึ่งก้านธูปเมื่อทั้งสองถึงที่หมายก็เห็นกูกูสูงวัยผู้หนึ่งยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ครั้นนางเห็นมู่เลี่ยงหรงก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที จากนั้นจึงเดินนำบุคคลทั้งคู่เข้าส
พ่อบ้านใหญ่รับคำแล้วจัดการสั่งงานลูกน้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่วงท่าและน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลัง เยี่ยนเยว่ฉีเห็นดังนั้นก็นึกชื่นชม มิน่าเล่า ท่านอ๋องถึงวางใจคนหนุ่มผู้นี้ให้รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ในจวน ดูท่าทางนางคงไม่ต้องเหนื่อยยากอย่างที่คิดมู่เลี่ยงหรงให้พ่อบ้านใหญ่กับมามาทั้งสี่ถอยออกไปได้ ก่อนถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แล้วส่งเสียงเรียกออกไป“พวกเจ้าเข้ามาคารวะน้ำชาหวางเฟยเถิด”พอสิ้นเสียงคำสั่ง สตรีโฉมงามสามนางก็เดินนำหน้าหญิงสาวอีกสิบกว่าคนเข้ามาภายในห้องโถง เยี่ยนเยว่ฉีมองไปยังพระชายารองทั้งสามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีสงบที่สุด ถึงแม้จะรู้สึกตกอกตกใจอยู่บ้างกับจำนวนสตรีที่ถวายตัวให้มู่เลี่ยงหรงแต่มิได้มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ‘บัดซบ! เยอะขนาดนี้เชียว’เยี่ยนเยว่ฉีตั้งใจเอาไว้ว่าหากพวกนางไม่ได้แสดงตัวเป็นปรปักษ์ ตนเองก็จะไม่กระทำการรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้นมู่เลี่ยงหรงแนะนำชายารองทั้งสามด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีอาการกังวลหรือตกประหม่าให้เห็น แต่ภายในใจกลับก็รู้สึกหนักอึ้งเพราะเกรงว่าเยี่ยนเยว่ฉีจะยังรับเรื่องฮูหยินอีกสิบเอ็ดคนไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่านางยังคงยิ้มละไม ไม่มีอาการกระอั
“อ้ายเฟย สี่คนนี้คือนางกำนัลที่ข้าคัดสรรมาให้ ข้ารับรองว่าพวกนางทำงานดีและมีความรอบรู้ หากเจ้าต้องการทราบเรื่องใดในจวน พวกนางสามารถแนะนำจัดหาให้เจ้าได้ทั้งหมด โดยเฉพาะชิงหรู นางดูแลห้องข้างของข้ามาหลายปี”เยี่ยนเยว่ฉีหรี่นัยน์ตามองชิงหรูอย่างเสียมิได้ พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คือนางกำนัลที่เตรียมน้ำอุ่นมาให้เมื่อคืน นางหน้าตาสะสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำดูยั่วยวน ผิวพรรณนวลเนียนเปล่งปลั่ง รูปร่างงามระหงสมส่วน มีเสน่ห์ดึงดูดใจบุรุษมากทีเดียวมู่เลี่ยงหรงที่ลอบสังเกตอยู่พบว่าเยี่ยนเยว่ฉีกำลังกินน้ำส้มอยู่ เขากลั้วหัวเราะเบา ๆ จนนางต้องหันมาค้อนผู้เป็นสามีทีหนึ่ง“ชิงหรูไม่ได้ถวายตัวให้ข้า”“ข้ายังไม่ได้ว่าอันใดท่านเสียหน่อย” หวางเฟยบ่นพึมพำเมื่อถูกจับได้“ก็ข้าอยากบอกเจ้านี่” ฉินอ๋องไม่ต้องการทำให้พระชายาคนงามต้องรู้สึกเสียหน้าจึงพูดแก้เก้อให้เสร็จสรรพ“เยว่ฉีทราบแล้ว” นางพอใจที่ท่านอ๋องไว้หน้าตนมู่เลี่ยงหรงยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของหวางเฟย เหล่านางกำนัลรีบทำตามประสงค์ของเจ้านาย เยี่ยนเยว่ฉียอมรับว่าผู้ที่มู่เลี่ยงหรงคัดสรรค์มาให้นางนั้นทำ
อ๋องหนุ่มฝืนลุกจากเตียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาคว้าชุดคลุมเอามาใส่อย่างลวก ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทของนางให้มาช่วยจัดการเรื่องวุ่นวายของสตรี เยี่ยนเยว่ฉีมองตามร่างสูงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนอนไปซูจิ้งเข้ามาภายในห้องหอ นางยอบกายคำนับฉินอ๋องที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้ยาวริมหน้าต่างที่ห้องชั้นนอก เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่โบกมือเป็นสัญญาณให้นางเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีในห้องนอนซูจิ้งเดินผ่านกองชุดวิวาห์ที่ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ หรือว่าฉินอ๋องทำรุนแรงกับนายหญิงของตน‘แย่แล้วคุณหนูของข้า’ สตรีร่างเล็กแทบจะวิ่งเข้าไปที่หน้าเตียง ภาพที่เห็นคือเยี่ยนเยว่ฉีนั่งเอาผ้าห่มปิดร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ มีคราบน้ำตาอาบบนแก้ม แต่ไม่ปรากฏร่องรอยความเสียใจแม้แต่น้อย“คุณหนู ไม่ใช่สิ หวางเฟยเป็นอันใดไปเพคะ”“เรื่องสุดวิสัยของสตรี” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยเสียงเย็นคำตอบของเยี่ยนเยว่ฉีทำให้ซูจิ้งโล่งอก มิน่าเล่าฉินอ๋องถึงได้ทำหน้าถมึงทึงเช่นนั้น มีเนื้ออยู่ตรงหน้าแต่กลับกินไม่ได้ ช่างน่าเห็นใจเหลือเกิน“เช่นนั้นลงมาจากเตียงก่อนเพคะ ซูจิ้งจะได้ปรนนิบัติท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”“อืม”
แม้แทบจะไม่เหลืออาภรณ์ติดกาย ทว่าเยี่ยนเยว่ฉีกลับร้อนรุ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกกระตุ้นเพลิงในกาย เพื่อให้เขากับนางแนบสนิทใกล้ชิดยิ่งขึ้น มู่เลี่ยงหรงจึงขยับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาตน และด้วยการบังคับขยับนี้เยี่ยนเยว่ฉีจึงต้องตวัดขาเรียวยาวโอบรอบสะโพกสอบของเขาเอาไว้ แล้วคล้องแขนกับลำคอเพื่อเป็นหลักยึด ฝ่ามือร้อนของบุรุษลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลเนียน เมื่อพบกับปมเล็ก ๆ ที่ผูกไว้ก็กระตุกออกอย่างเบามือ อุปสรรคสุดท้ายถูกกำจัดจนสิ้น เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าของเทพธิดาแสนสวยในอ้อมกอดแสงจากเทียนมงคลคู่สีแดงวูบไหว อาบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจกระเบื้องเคลือบ ยิ่งทำให้เยี่ยนเยว่ฉีงดงามราวรูปสลักอันไร้รอยตำหนิ ช่างสูงค่าคู่ควรให้ทะนุถนอม‘วิเศษยิ่งนัก ยอดรักของข้า’ดวงตาลากไล้สำรวจเทพธิดาในอ้อมกอด ยิ่งมองยิ่งพบว่าเรือนกายของนางช่างสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหลทุกสัดส่วน ร่างระหงยั่วยวนน่าสัมผัสไปทุกตารางนิ้ว ไม่ว่ามือจะลูบไล้ไปตรงที่ใด ผิวกายขาวผ่องดุจแสงจันทร์กระจ่างก็เรียบลื่นนุ่มละมุนมือ มู่เลี่ยงหรงแทบลืมหายใจเมื่อแลเห็นปทุมถันอวบอิ่มเต็มตา ยอดสีหวานชูชันท้าทายให้ครอบครองยิ่งนัก ชายห
댓글