บางคนการแต่งงานอาจเป็นบทสรุปที่หวานชื่น แต่กับเยี่ยนเยว่ฉีการแต่งงานกับมู่เลี่ยงหรงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น นางต้องออกจากอ้อมอกบิดามารดามาใช้ชีวิตของตนเอง ทว่าการได้รับตำแหน่งชายาเอกฉินอ๋องไม่ได้เรียบง่าย นางต้องพบเจอกับแรงกดดันในฐานะสะใภ้หลวงจากไทเฮา ซึ่งบางเรื่องพี่ชายแสนดีทั้งสองไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ นางจึงต้องงัดทุกสิ่งที่มารดาอบอรมมาทั้งชีวิตมาใช้เพื่อที่จะยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนี้อย่างมั่นคง แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้รอยยิ้มของสตรีมากมายในเรือนหลังจะมีคมมีดซ่อนอยู่ แล้วมู่เลี่ยงหรงจะมีเพียงนางเป็นยอดดวงใจไปถึงเมื่อไร และสุดท้ายนางจะทนใช้บุรุษร่วมกับสตรีนับสิบได้จริงๆ หรือ “มะ...ไม่ ออกไป ข้าไม่ไหวแล้ว” “หือ?” มู่เลี่ยงหรงซึ่งกำลังแข็งขึงอย่างเต็มที่มีอันต้องหยุดชะงัก “ออกไป” นางร้องออกมาพลางเอามือผลักอกของเขา “อ้ายเฟยเจ้าเป็นอันใด” “อะ...ออก มะ...ไม่ไหวแล้ว” พอสิ้นคำ ทุกอย่างที่จุกอยู่ในลำคอพลันราดลงบนร่างของมู่เลี่ยงหรง ไฟราคะที่กำลังพวยพุ่งของเขาพลันมอดดับ “ให้ตายสิ! เยี่ยนเยว่ฉีครานี้เจ้าเป็นอันใดไปอีก”
View Moreแผ่นดินใหญ่ปู้จิ่นฉีอันไกลโพ้น
สงครามระหว่างแคว้นหานและแคว้นเป่ยเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการครองความเป็นหนึ่ง ต่อมาแคว้นหานได้ส่งแม่ทัพผู้กร้าวแกร่งแห่งตระกูลเยี่ยนเข้าสู่สนามรบ ด้วยสืบสายเลือดตระกูลนักรบอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มห้าวหาญดุดันบุกตีฝ่ายตรงข้ามจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า และแล้วในที่สุดก็มีชัยเหนือแคว้นเป่ย
หลังได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแคว้นเป่ยหยุดยกทัพโจมตีแคว้นหานนานราวสิบปี ทว่าท่ามกลางความเงียบสงบต่างฝ่ายต่างดูเชิงกันโดยไม่ประมาท
ปราการที่กั้นขวางทั้งสองแคว้นไว้คือแนวเขาลืมทุกข์กับแม่น้ำลืมเลือน แม้จะสงบศึกกันอยู่แต่ก็ยังปรากฏเหตุความไม่สงบก่อตัวขึ้นบ้างตามแนวชายแดน มีการบุกปล้น ลอบทำร้ายกองทหารลาดตระเวนของแคว้นหานเป็นระยะ ทหารแคว้นเป่ยมักลอบเข้ามาดักซุ่มแบบกองโจร ถึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ก่อให้เกิดความหวาดวิตกแก่ราษฎรผู้อาศัยอยู่ในเมืองหน้าด่านเป็นอย่างมาก
เมื่อเหตุการณ์ยังไม่สงบเรียบร้อยอย่างแท้จริง แม่ทัพตระกูลเยี่ยนผู้เกรียงไกรย่อมต้องแบกรับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน ยามนั้นเยี่ยนหยางเจวี๋ยนิสัยดุดันเหี้ยมหาญ หากใครอยากลองดีคงต้องมอดม้วยด้วยทวนเกล็ดมังกร เมื่อต้องสู้รบติดพันมายาวนานหลายปี ความที่ยังหนุ่มยังแน่นย่อมคิดถึงฮูหยินและบุตรธิดาเป็นธรรมดา สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจย้ายครอบครัวมาปักหลักที่เมืองชายแดนหานจี
ฮูหยินท่านแม่ทัพได้เดินทางตามสามีมาพร้อมกับบุตรชายทั้งสองคน อีกหลายปีต่อมานางได้ให้กำเนิดบุตรสาวแก่เยี่ยนหยางเจวี๋ย สร้างความปีติยินดีให้เขาเป็นอย่างมาก
แม้จะอยู่เมืองชายแดนห่างไกลความเจริญ แต่ท่านแม่ทัพกับฮูหยินก็ตั้งใจอบรมบุตรชายกับบุตรสาวอย่างเข้มงวด เพราะต้องการให้บุตรธิดาเติบโตมาอย่างไม่น้อยหน้าผู้ใดในแคว้นหาน สองสามีภรรยาจึงเชิญอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพและเชี่ยวชาญศาสตร์ในแต่ละด้านมาสั่งสอนวิชาให้แก่เด็กทั้งสาม
คุณชายใหญ่มีพรสวรรค์ด้านฝึกยุทธ์ เขามานะฝึกฝนจนสำเร็จวิชาทวนตระกูลเยี่ยนได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี ด้วยฝีมืออันเยี่ยมยุทธ์รวมไปถึงความห้าวหาญและแข็งแกร่ง ในที่สุดเขาก็สามารถสังหารแม่ทัพแคว้นเป่ยคนสำคัญได้ เหตุการณ์นี้สร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ จนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นรองแม่ทัพอย่างภาคภูมิเมื่อมีอายุได้เพียงสิบเจ็ดปีเท่านั้น
บุตรชายคนรองเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์และศิลป์ โดยเฉพาะความรู้ด้านพิชัยสงคราม อีกทั้งยังเป็นศิษย์หนึ่งในสองของท่านโหราจารย์ประจำรัชกาลของอดีตฮ่องเต้ ด้วยความฉลาดหลักแหลม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำเอาข้าศึกงุนงงตกหลุมพราง เขาจึงขึ้นเป็นกุนซือฝีมือฉกาจได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบแปดปี
ความสามารถของบุตรชายท่านแม่ทัพเป็นที่ประจักษ์ นำพาให้ทั้งราชสำนักและราษฎรมั่นใจว่าตระกูลเยี่ยนจะปกป้องชายแดนให้สงบสุขได้อีกหลายชั่วอายุคน
ส่วนบุตรสาวเพียงคนเดียวนามเยี่ยนเยว่ฉี ท่านแม่ทัพและฮูหยินให้นางศึกษาวิชาความรู้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งเขียนอักษร วาดภาพ และดนตรี แต่เรื่องที่คนกล่าวขวัญมากที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ท่านแม่ทัพเชิญปรมาจารย์ขลุ่ยโลกันต์แห่งยุทธภพ ไป่หลงจิว มาเป็นอาจารย์ให้นาง
เนื่องจากไป่หลงจิ่วประกาศเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพ เขาผนึกขลุ่ยโลกันต์พร้อมให้คำมั่นว่าจะไม่ถ่ายทอดวิชาต้องห้ามนี้แก่ผู้ใดเด็ดขาด ตราบเท่าที่เขายังรักษาคำสัตย์ ราชสำนักจึงปล่อยให้ผู้อาวุโสได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ ทำให้ผู้คนหาได้นึกหวาดกลัวที่ชายชราคนหนึ่งจะมาเป็นอาจารย์สอนดนตรีให้สตรีตัวน้อย แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคลางแคลงใจ
ท่านแม่ทัพเปิดเผยจริงใจ ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน หากผู้ใดอยากจับผิดก็ทำไป เมื่อธิดาน้อยเรียนเพียงวิชาขลุ่ย เหตุใดเขาจะต้องกลัวคำครหา นานวันเข้าข่าวลือไม่ดีก็ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ดรุณีน้อยเติบโตขึ้นมาเป็นสตรีในห้องหออย่างสมบูรณ์แบบ
เยี่ยนเยว่ฉีได้รับขลุ่ยหยกพลิ้วพลายซึ่งไป่หลงจิวสร้างให้เป็นพิเศษ ว่ากันว่านางสามารถเป่าขลุ่ยเป็นเพลงไพเราะน่าอัศจรรย์ เมื่อใครได้ฟังจะเคลิบเคลิ้มสุขใจยิ่ง ผู้คนจึงเข้าใจว่าท่านแม่ทัพแค่ต้องการให้บุตรสาวได้เรียนกับอาจารย์ผู้เป็นสุดยอดแต่ละด้านเท่านั้นเอง
นอกจากความสามารถด้านต่าง ๆ ที่โดดเด่นของทายาทตระกูลเยี่ยน อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นที่กล่าวขวัญคือรูปร่างหน้าตา ผู้คนต่างร่ำลือถึงรูปโฉมอันงดงามของสามพี่น้อง
บุตรชายคนโตของตระกูลนามเยี่ยนหยางจง ปีนี้อายุยี่สิบสามปี เขามีรูปร่างสูงใหญ่ กำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อทุกมัดเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เส้นผมดำสนิทราวขนกาถูกรวบเป็นมวยด้วยผ้าแถบ องคาพยพทั้งห้า[1] ได้รูป ใบหน้าคมเข้ม ริมฝีปากอิ่มหนา ผิวคร้ามแดด นัยน์ตาเหยี่ยวฉายแววล้ำลึกดุดัน กลิ่นอายบุรุษแผ่กำจายมีสง่าราศีของผู้ฝึกยุทธ์อยู่เต็มเปี่ยม เรื่องฝีมือก็เป็นที่ประจักษ์จนเลื่องระบือไปถึงเมืองหลวง เขาจึงเป็นความหวังของตระกูลและราชสำนัก ด้วยรองแม่ทัพเป็นคนหนุ่มรูปงาม องอาจ อนาคตไกล จึงไม่แปลกที่จะเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของเหล่าตระกูลผู้ดีทั้งหลายเพราะอยากได้เป็นเขยขวัญ หญิงงามที่นิยมชมชอบก็มีอยู่มากมายแต่ชายหนุ่มมักพูดเสมอว่าชายแดนยังไม่สงบจึงไม่อาจวางใจแต่งงานได้
มู่เลี่ยงหรงอดคิดไม่ได้ ชายผู้นี้กลัวเลือดจะเปื้อนกาย แต่กลับกระหายการฆ่าฟันเสียยิ่งกว่านักรบ เขาไม่ต้องออกแรงก็สามารถทำให้คนดับสิ้น จากนั้นก็ดื่มด่ำกับผลลัพธ์อย่างภาคภูมิ‘ไอ้จิ้งจอกโรคจิต’ ผู้เป็นอ๋องสบถในใจ แต่ไม่พูดออกมาตามตรง“เราไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า อย่างไรเสียอีกหน่อยก็ต้องนับญาติกัน จงวางเรื่องบาดหมางเล็กน้อยนั่นลง แล้วส่งเสริมเรากับเยี่ยนเยว่ฉีได้หรือไม่” เขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะเป็นศัตรูกับบุรุษโรคจิต จึงหวังว่าการยอมถอยหนึ่งก้าวในครั้งนี้จะทำให้กุนซือผมสีเงินให้ฤกษ์แต่งงานมาเสียที“จิ้นหลิงขอกล่าวตามตรง ยังไม่มีฤกษ์มงคลในระยะเวลาอันใกล้นี้ ขอให้ท่านอ๋องรอคอยกำหนดการจากกระหม่อมอย่างใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าต้องการอะไรเพื่อแลกเปลี่ยน หากเราสามารถหาให้ได้ก็จะจัดการอย่างไม่รีรอ”“กระหม่อมไม่ได้ต้องการสิ่งใด แต่หากท่านอ๋องประสงค์จะกำหนดการแต่งงานให้เร็วขึ้น เมื่อถึงวัดประจำราชวงศ์ก็พอจะมีทางแก้ไขดวงชะตาของฉีเอ๋อร์ พิธีปัดเป่าคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ถึงเวลานั้นขอเพียงท่านอ๋องให้ความร่วมมือก็เพียงพอ”“เราตกลง” มู่เลี่ยงหรงรับคำหนักแน่น“กระหม่อมจดจำไว้แล้ว” เยี่ยนจิ้นหลิงอมยิ
ขณะที่ถอนริมฝีปากออกอย่างเสียดาย มู่เลี่ยงหรงได้ลอบสาบานในใจ หากถึงวันร่วมหอของทั้งสองเมื่อใด เขาจะกดนางเอาไว้ใต้ร่างตลอดทั้งราตรี จะใช้เพลิงรักแผดเผาโฉมสะคราญจนมอดไหม้เป็นลูกไฟดวงแล้วดวงเล่า จนกว่าสตรีผู้ยั่วเย้าจะสิ้นสติไปพร้อมกับความปริ่มเปรม“หากเจ้ามอบจุมพิตให้ยามเราพบกัน เช่นนี้ข้าคงมีแรงให้อดทนรอคอยได้บ้าง”“พอได้แล้วเพคะ ท่านอ๋องเรียกร้องขอกินเต้าหู้มากเกินไป แบบนี้หม่อมฉันมีแต่ขาดทุน”“ก็มันช่างหวานอร่อยยิ่ง พอรู้ตัวอีกที ข้าก็กลายเป็นคนตะกละไปเสียแล้ว”“ท่านอ๋องเพคะ เยว่ฉีหนาวแล้ว เรารีบออกไปจากห้องนี้กันเถิด” นางแสร้งเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เขาคลายกำหนัด หากขืนปล่อยตัวปล่อยใจต่อไปอีกนิด เกรงว่าท่านอ๋องจะตบะแตกไปเสียก่อนมู่เลี่ยงหรงผละออกจากร่างบาง มือทั้งสองรีบคว้าชุดที่กองอยู่บนพื้นยื่นให้เยี่ยนเยว่ฉี จากนั้นก็หันมาสวมอาภรณ์ของตนเองอย่างชำนาญ ไม่น่าเชื่อว่าแม้ไม่มีนางกำนัลปรนนิบัติ เขาก็ไม่มีอาการเงอะงะแม้แต่น้อย ซ้ำยังรีบมาช่วยคู่หมั้นสาวใส่เสื้อผ้าสตรีได้อย่างแคล่วคล่อง ไม่นานนักร่างเปลือยเปล่าของนางก็กลับมาอยู่ชุดสีขาวงดงามอีกครั้ง“ท่านอ๋องดูคุ้นเคยกับการสวมชุดให้สตรี” ส
เพื่อยั่วยุอารมณ์ของนางให้แตกกระเจิงมากกว่าเก่า เขาจึงครอบครองยอดสีชมพูบนนวลเนื้ออวบอิ่มไปพร้อมกัน ทั้งขบเม้มดูดเน้นจนกายนางผวา ร่างบางพลันสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม“อ่ะ...ท่านอ๋อง” นางร้องเรียกเสียงสั่น หัวสมองขาวโพลนไปหมด“หืม...ข้าอยู่นี่” เขาส่งเสียงขานรับอย่างนุ่มนวลในขณะที่มู่เลี่ยงหรงมอบความรู้สึกอันลึกซึ้งด้วยการขยับปลายนิ้วเข้าออกผ่านความคับแคบของพรหมจรรย์สตรี เยี่ยนเยว่ฉีทำได้เพียงหลับตาแน่นและส่งเสียงครวญครางเบา ๆ ยามเขาเฝ้ารุกเร้าถาโถมโจมตี สิ่งที่นางได้รับมีเพียงกระแสร้อนรุ่มหวามไหวระคนอึดอัดทรมาน เสมือนร่างกายพร้อมแตกสลายด้วยน้ำมืออันร้ายกาจได้ทุกเมื่อ“ต้องการอีกหรือไม่”“อือ...ท่านอ๋อง...เยว่ฉีไม่รู้” สตรีด้อยประสบการณ์ตกประหม่า นางไม่รู้ว่าจะต้องตอบเขาอย่างไร ร่างกายนี้พร้อมจะหลุดจากการความคุม ด้วยไม่อาจต่อต้านเพลิงแห่งปรารถนาที่แผดเผานางให้มอดไหม้“เด็กดี ข้าจะทำให้เจ้าอิ่มหนำ”“ยะ...อย่า...” เสียงเสียงห้ามแว่วหวานแผ่วเบา ยิ่งปลุกเร้าให้บุรุษขี้แกล้งได้ใจมู่เลี่ยงหรงไม่สนใจเสียงร้องห้าม เขาขยับปลายนิ้วร้อนชอนไชให้ลึกขึ้น โจนจ้วงเร่งจังหวะกระชั้นถี่ ร่างงามสั่นสะท
มู่เลี่ยงหรงแทรกกายเข้าไปใกล้ชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า เยี่ยนเยว่ฉีเพิ่งตระหนักว่าตนกำลังอยู่ในท่วงท่าอันแสนน่าอาย มือทั้งสองโอบคอแกร่ง สองขาเกี่ยวกระหวัดรัดเอวสอบของเขาไว้แน่น หญิงงามแรกแย้มหน้าแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางจึงซุกหน้าลงกับอกเขา หวังว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นสีหน้าของตนเองในยามนี้บุรุษผู้เหิมเกริมจึงได้โอกาสใช้ปากกัดกระตุกสายเอี๊ยม ผ้าเนื้อบางเบาไหลหล่นพ้นเรือนร่าง เมื่อไม่มีอะไรบดบัง ทรวงอกงดงามที่อาบไล้ด้วยแสงนวลของตะเกียงก็ปรากฏสู่สายตาของเขา เนื้อนวลขาวดุจหิมะแต้มด้วยสีชมพูที่ปลายยอดช่างอวบอิ่มอลังการอย่างเกินตัว มู่เลี่ยงหรงตกตะลึงขณะที่มองเนื้อนวลสล้างสะท้อนไหวขึ้นลงไปตามจังหวะหายใจ ช่างเป็นภาพอันยั่วเย้าแสนตราตรึง กายบุรุษร้อนวูบวาบ กระแสอุ่นร้อนไหลรวมลงมาที่ท้องน้อยไม่ขาดสาย ความเป็นชายถูกปลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ชายหนุ่มเต็มตัวถูกภาพงดงามเบื้องหน้ากระตุ้นจนถึงกับกัดฟันกรอด แต่จิตสำนึกพยายามข่มกลั้นไม่ให้จับนางกระแทกกระทั้นเพื่อระบายความอัดอั้นทรมานไปเสียก่อน ดวงแก้วสีนิลส่องประกายร้อนแรงแผดเผาทำลาย เยี่ยนเยว่ฉีหน้าแดงซ่าน พยายามใช้สองมือหวังปิดบังทรวงอกจากสายสา
เยี่ยนเยว่ฉีสะอื้นเพราะเจ็บไปหมด โทสะของเขายังคงคุกรุ่นจึงรั้งใบหน้าของนางให้เชิดขึ้นเพื่อรับจูบอันลึกซึ้งและรุนแรงมากกว่าเก่า เฝ้ารุกเร้าผ่านทางแยกที่เผยอออก สอดปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดดูดดึงขบกัดลิ้นบางอย่างมันเขี้ยว หญิงสาวแทบหายใจไม่ออก ร่างสั่นสะท้านครางหวิว ทั้งเจ็บปวดและสุขสมในเวลาเดียวกัน ก่อเกิดเป็นความทรมานอันแสนหวาน บุรุษผู้นี้กำลังลงทัณฑ์นางให้สาสม สัมผัสจึงเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ไม่เหมือนจูบอันดูดดื่มเมื่อวันวาน นางเสียใจที่เขาไม่ทะนุถนอมตนเองอีกแล้ว“อือ จะ...เจ็บ” เยี่ยนเยว่ฉีพยายามร้องประท้วง ในขณะที่เขาถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย“ข้าเจ็บกว่าเจ้ามากมายนัก” เขาโต้ตอบด้วยเสียงอันแหบพร่า“ท่านอ๋องเจ็บปวดด้วยเรื่องใด” ประกายน้ำใสคลอเบ้าตา เจ็บเพราะจูบที่เขามอบให้นาง“เจ้ายิ้มให้ชายอื่น หัวเราะยามเขาพูดจา ที่สำคัญเจ้ามองเมินไม่สนใจ ทำให้ข้าทั้งเจ็บปวดและริษยา”“ท่านอ๋องหึงหม่อมฉันจริง ๆ ด้วย” มุมปากอิ่มงามเผยรอยยิ้ม“สาแก่ใจเจ้าแล้วใช่หรือไม่ จะหัวเราะเยาะข้าก็ได้” ใบหน้าคมเบี่ยงหลบเล็กน้อย ด้วยไม่ต้องการให้สตรีตรงหน้ามองเห็นร่องรอยของความหวั่นไหว คำพูดเหล่านี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปา
“ไม่หึงก็ไม่หึง เยว่ฉีรับรู้ความรู้สึกของท่านอ๋องแล้วเพคะ”“ก็ดี”“ในเมื่อท่านอ๋องยืนกรานว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ หม่อมฉันก็จะได้คลายใจ”“คลายใจ เรื่องใด”“เรื่องที่รู้สึกผิดต่อท่านอ๋อง หม่อมฉันคงทึกทักไปเองว่าเผลอทำให้คู่หมั้นทรมานใจแล้ว”“หึ! หวังให้เราเจ็บปวดเพราะเจ้าคงเร็วไปร้อยปี” มู่เลี่ยงหรงยังคงปฏิเสธ“เยว่ฉีทราบแล้วเพคะ” นางเสมองไปทางอื่น แล้วแสร้งถอนหายใจ “หน้าเสียดายจริง ๆ ทั้งที่หลังจบเทศกาลหยวนเซียวหม่อมฉันคิดว่าระหว่างเราคงไปกันได้ดี มาวันนี้ก็รู้ซึ้งแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดคงไม่ได้มาจากใจอันแท้จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำหวานเหล่านั้นทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มมากทีเดียว”“เจ้าคิดว่าเราโป้ปดอย่างนั้นหรือ”“มิได้ แต่เมื่อครู่ท่านอ๋องเป็นผู้กล่าวเองว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่ชายอื่นมาสารภาพรักกับหม่อมฉัน อีกทั้งไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกจากกลัวเสียหน้าเท่านั้น เช่นนี้จะให้ผู้อื่นคิดเห็นเช่นไรได้” เยี่ยนเยว่ฉีจดจ้องดวงตาบุรุษตรงหน้านิ่ง “ช่างน่าขันยิ่งนัก หม่อมฉันบังอาจคิดว่าตนเป็นคนสำคัญ แต่ความจริงแล้วสำหรับท่านอ๋องหม่อมฉันคงเป็นเพียงบุปผาดาดดื่นดอกหนึ่งเท
“เยี่ยนเยว่ฉีอย่ามาเฉไฉ! คอยดูให้ดีเถิดว่าเราจะลงโทษเจ้าอย่างไร” มู่เลี่ยงหรงตีหน้าเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง เขาไม่มีทางยอมรับว่าทำเรื่องไร้มารยาทเป็นอันขาดเฟิงหลี่จื้อได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะบันดาลโทสะถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับหญิงสาว อย่างไรเสียก็เป็นชายชาตินักรบและตนเองก็คือต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาจึงหวังไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้ท่านอ๋องทำร้ายสตรีที่ตนมีใจ“เรียนท่านอ๋อง หากจะลงโทษนาง กระหม่อมยินดีจะเป็นผู้รับโทษแทน” แทนที่สถานการณ์จะดีขึ้น แต่คำพูดประโยคนี้กลับเหมือนดั่งการน้ำมันราดลงบนกองไฟ ยามนี้ฉินอ๋องอยากจะสับเขาเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนลงแม่น้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอดมู่เลี่ยงหรงหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับบุรุษผู้บังอาจแตะต้องสตรีของตนอีกครั้ง น้ำแข็งเริ่มจับตัวหนาขึ้นในแววตา อากาศเย็นสบายกลายเป็นหนาวจับจิตจนเฟิงหลี่จื้อขนลุกขึ้นมาจริง ๆ“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ทางที่ดีสงบปากสงบคำเอาไว้ดีกว่า”“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมที่ละเลยเรื่องชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เปิ่นหวางจะให้โอกาสเจ้ากลับไปอย่างไม่บุบสลาย” มู่เลี่ยงหรงไม่ได้สนใจเหตุผล
“กระหม่อมคงรับไม่ไหว ท่านอ๋องไม่ได้ทำผิดอันใดไม่ต้องกล่าวเช่นนั้นกับซือเซิน” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายตกใจ ด้วยสถานะสูงส่ง ฉินอ๋องไม่มีความจำเป็นจะต้องลดตัวลงมากล่าวคำขออภัยเขา“ข้าไม่ได้ตั้งใจ”“ซือเซินรู้...” อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายเงยหน้าขึ้น ส่งยิ้มเพื่อคลายความกังวลใจให้สหายสูงศักดิ์หลังจากปรับอารมณ์ความรู้สึกกับถางซือเซินเรียบร้อยแล้ว มู่เลี่ยงหรงจึงหันกลับไปยังโต๊ะของตระกูลเยี่ยนอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของเยี่ยนเยว่ฉีกับเฟิงหลี่จื้อเสียแล้ว แม้สังเกตดี ๆ เยี่ยนจิ้นหลิงจะหายไปด้วยก็ตามความกระวนกระวายแทรกซึมเข้ามาอย่างเฉียบพลัน เขาไม่อาจวางใจอะไรได้ทั้งสิ้น ด้วยรอยยิ้มงดงามเป็นธรรมชาติที่นางมอบให้ชายคนนั้นเป็นแบบที่ไม่เคยมีให้กับตนเองไฟริษยายังคงตอกย้ำในจิตใจ อ๋องหนุ่มรีบลุกขึ้นแล้วสาวเท้าออกไปเพื่อตามหาคู่หมั้นในทันทีเยี่ยนจิ้นหลิงเดินนำน้องสาวกับเฟิงหลี่จื้อไปบนดาดฟ้า เขาชวนทั้งสองพูดคุยตลอดทาง ในที่สุดก็พามาหยุดยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเรือ แต่แล้วบุรุษผมสีเงินก็อ้างว่าลืมวางพัดไม้หอมไว้บนโต๊ะ จึงขอตัวกลับไปเอา แล้วบอกให้คนทั้งสองรอเขาอยู่ที่นี่ก่อนเมื่อกุนซือหนุ่มเดินจากไป
มู่เลี่ยงหรงคิดว่า ยิ่งอยู่ตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะ การจากไปตั้งหลักน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ท่านอ๋องหนุ่มจึงพยายามเก็บงำอาการ ก่อนจะเดินนำถางซือเซียนกับอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายไปทางห้องโถงอย่างมิรั้งรอ เพราะไม่ต้องการเห็นภาพบาดตานี้อีกแม้แต่ชั่วเค่อเยี่ยนจิ้นหลิงอัศจรรย์ใจไม่น้อยที่ฉินอ๋องเก็บกักอารมณ์ได้ดีเยี่ยม แต่สายตากรุ่นโกรธนั่นไม่อาจเล็ดลอดสายตาจิ้งจอกไปได้‘ตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนสิ ถึงจะได้ผลลัพธ์ชั้นดี ฉินอ๋องท่านคิดว่าแค่นี้จะหนีพ้นหรือ นี่มันบนเรือนะ’“เอาล่ะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“ดีเหมือนกัน น้องสาวก็รู้สึกหิวแล้ว”“หลี่จื้อ เจ้ามาร่วมโต๊ะกับพวกข้าสิ ท่านแม่ทัพเฟิงคงไม่ว่ากระไรหรอก” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยชวน“หากไม่รังเกียจ หลี่จื้อขอรบกวนแล้ว”จิ้งจอกเงินปรายยิ้มเล็กน้อย ก็เดินนำสหายเก่ากับน้องสาวแสนสวยไปยังห้องโถงใหญ่เพื่อร่วมรับประทานอาหารตลอดเส้นทางเฟิงหลี่จื้อคอยปรายตามองเยี่ยนเยว่ฉีอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากไม่ใช่งานเลี้ยง ที่นั่งจึงถูกจัดวางไว้สำหรับแต่ละครอบครัวเป็นสัดส่วน ขณะที่ฮ่องเต้กับฮองเฮานั้นทรงประทับอยู่ในห้องแยกที่มีม่า
Comments