เป็นประจำทุกปีที่เซียวเหม่ยอิงจะขึ้นวัดไปจำศีลภาวนาเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อระลึกถึงฮูหยินผู้เฒ่าประจำตระกูลเซียวที่ได้เสียไป
สมัยที่ฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิต เซียวเหม่ยอิงจะสนิทสนมกับท่านย่าของตัวเองเป็นอย่างมาก จนบ่อยครั้งที่เซียวลี่หงออกอาการแง่งอนท่านย่าของตัวเองเพราะคิดว่าท่านย่านั้นลำเอียง รักพี่สาวมากกว่าตน เป็นเหตุให้มารดาต้องคอยเอาอกเอาใจเพื่อไม่ให้บุตรสาวคนเล็กนั้นน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะสมัยที่เซียวลี่หงยังเป็นเด็กเล็กนั้น นางมีร่างกายอ่อนแอและล้มป่วยบ่อย เซียวฟู่จินและฟางเหนียงจึงเอาใจใส่เซียวลี่หงเป็นพิเศษ ทำให้เซียวเย่หรือฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนดูแลเซียวเหม่ยอิงมาโดยตลอด เซียวเหม่ยอิงเลยสนิทกับฮูหยินผู้เฒ่ามากกว่าบิดามารดาของตัวเอง
พอเซียวเหม่ยอิงไปถึงวัดแล้ว ก็สวดมนต์ภาวนาและทำความสะอาดตามปกติอย่างที่เคยทำ จนถึงยามดึกเป็นเวลาเข้านอน เซียวเหม่ยอิงมองดูพระจันทร์ที่กำลังส่องแสงยามค่ำคืน ใบหน้าเรียวงาม จมูกงามเข้ากับใบหน้า ผมดำยาวสลวยที่ปล่อยให้ยาวเต็มแผ่นหลังเพื่อให้ลี่จินหวีผมได้อย่างสะดวก
ขณะที่กำลังมองดูพระจันทร์อย่างเหม่อลอยอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงบางอย่างดังไม่ไกลจากเรือนที่พวกนางพัก
“เสียงอะไร?” พูดจบเซียวเหม่ยอิงก็ลุกขึ้นยืนและรีบเดินออกไปจากห้องทันทีโดยมีลี่จินรีบเดินตามอยู่ไม่ห่าง
“คุณหนูใหญ่ ท่านอย่าไปนะเจ้าคะ”
ลี่จินถือวิสาสะจับแขนเซียวเหม่ยอิงเพื่อไม่ให้คุณหนูของตัวเองออกไปข้างนอกยามนี้ เพราะมันอันตรายเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นอะไรหรอก เชื่อข้า”
“แต่...ว่า”
“ลี่จินเชื่อข้า เจ้าไปหาพวกยาที่อยู่ในเรือนของเราด้วยว่ามีหรือไม่ แล้วเจ้าค่อยตามข้าไป”
ลี่จินเห็นแววตามุ่งมั่นจากนายของตนก็ได้แต่ยอมทำตามอย่างจำยอมแม้ว่าจะไม่เต็มใจเท่าใดนัก เซียวเหม่ยอิงเดินไปไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรือนที่พักของตัวเอง เพื่อยืนรอลี่จินที่กำลังหาของที่ตนสั่ง ยังดีที่วันนี้พระจันทร์เต็มดวงทำให้มองเห็นรอบ ๆ โดยง่าย
ความจริงแล้วเซียวเหม่ยอิงนั้นเป็นคนมีวรยุทธในระดับหนึ่ง แม้ไม่ถึงขั้นเก่งกาจแต่การได้ยินและเรื่องกลิ่นนั้นค่อนข้างดี เพราะท่านย่าของนางได้ให้คนมาช่วยฝึกฝนสมัยที่นางยังเป็นเด็กเล็ก
ทว่าเซียวเหม่ยอิงนั้นต้องแอบฝึกวรยุทธ เพราะเกรงว่าหากบิดามารดารับรู้เรื่องนี้คงไม่ยินยอม แล้วต้องให้นางเลิกฝึกวรยุทธเป็นแน่ เพราะยามนั้นเซียวลี่หงเป็นเด็กที่ล้มป่วยบ่อย ร่างกายไม่แข็งแรง แม้แต่เซียวเหม่ยอิงจะไปสำนักเพื่อเล่าเรียนยังไปไม่ได้ เนื่องจากเซียวฟู่จินและฟางเหนียงเกรงว่าบุตรสาวคนเล็กจะตรอมใจที่ไม่แข็งแรงเช่นพี่สาวตน ทำให้ไปไหนมาไหนเช่นคนอื่นไม่ได้ ต้องได้นอนติดเตียงกินยาต้มเป็นหม้อเพื่อรักษาร่างกาย
เวลาที่เซียวเหม่ยอิงไปข้างนอกนั้น เซียวลี่หงจะร้องไห้ฟูมฟาย น้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง เซียวฟู่จินและฟางเหนียงจึงตัดสินใจให้เซียวเหม่ยอิงยังไม่ต้องไปเล่าเรียนที่สำนักหรือเรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยเช่นบุตรคนอื่น
แต่โชคก็ยังเข้าข้างเซียวเหม่ยอิง เพราะตอนที่บิดามารดาเอาใจใส่เซียวลี่หงนั้น ได้ปล่อยปละละเลยนาง ฮูหยินผู้เฒ่าได้ดูแลเซียวเหม่ยอิงแทน และได้แอบให้คนมาสอนวรยุทธต่าง ๆ ให้ พร้อมทั้งช่วยปิดบังเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ตอนที่เซียวเหม่ยอิงนั่งมองดูพระจันทร์นั้น นางได้ยินเสียงคนต่อสู้กันดังแว่วมาตามสายลมแล้ว แต่นางไม่ได้สนใจอะไรเพราะเสียงนั้นค่อนข้างอยู่ไกลจากที่พักของนาง แต่เหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นเพราะเสียงต่อสู้กันเหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เซียวเหม่ยอิงฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจจนกระทั่งเสียงต่อสู้นั้นได้เงียบไป
หลังจากที่ลี่จินเข้าไปหาของตามที่คุณหนูของตัวเองสั่ง ก็ได้รีบเดินตามมาทันที
“มีหรือไม่”
“พอมีเจ้าค่ะ” ลี่จินนำของที่หามาได้เผยให้เห็น
ยาที่ลี่จินนำมานั้นเป็นยาที่มีอยู่ในเรือนที่พวกนางพักปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว จึงเป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาตัวเองเบื้องต้นยามเจ็บไข้ได้ป่วยกะทันหัน เซียวเหม่ยอิงกวาดตามองก็พยักหน้าอย่างพอใจ
“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ทั้งสองคนพากันเดินไปยังบริเวณป่าที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าใดนัก สายตาของเซียวเหม่ยอิงสอดส่องดูรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
“ตรงนี้แหละ” เซียวเหม่ยอิงที่จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา
“ลี่จิน ข้าขอห่อยาหน่อย”
ได้ยินอย่างนั้นลี่จินก็รีบยื่นห่อยาให้คุณหนูตัวเองทันที หลังจากที่เซียวเหม่ยอิงได้รับห่อยาแล้ว นางก็โยนห่อยาเข้าไปในป่าในความมืดมิด
“กลับกันเถิด”
ลี่จินได้แต่เก็บความสงสัยไว้ ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรในตอนนี้เพราะค่อนข้างดึกแล้ว นางได้แต่รีบตามเซียวเหม่ยอิงกลับที่พักของตนเอง พอกลับถึงที่พักแล้ว ลี่จินก็รีบปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนาแล้วรีบมายืนใกล้ ๆ กับคุณหนูของตัวเอง หลังรู้สึกว่าปลอดภัยดีแล้วจึงได้เอ่ยถามคุณหนูของนาง
“คุณหนูใหญ่ โยนห่อยาให้ใครหรือเจ้าคะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
"..."
ลี่จินถึงกับกุมขมับ คุณหนูตัวเองถึงกับเสี่ยงอันตรายออกไปข้างนอกยามดึกดื่น เพียงแค่ต้องการโยนห่อยาให้คนที่ไม่รู้จักแค่นั้นหรอกหรือ
“คุณหนูใหญ่ หากคนนั้นเป็นคนไม่ดีเล่าเจ้าคะ พวกเราจะเป็นอย่างไร”
“ก็แค่ตาย แต่ถ้าหากโชคดีหน่อย เราก็บาดเจ็บแค่นั้น”
เซียวเหม่ยอิงพูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนเพื่อพักผ่อนทันที ทิ้งไว้เพียงแต่ลี่จินที่ยังขนลุกกับคำพูดที่ไม่ยี่หระกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เหตุใดคุณหนูของนางถึงได้เอ่ยวาจาที่น่ากลัวด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยเช่นนี้กัน!
หลังจากที่เข้านอนกันแล้ว เซียวเหม่ยอิงได้ครุ่นคิดกับสิ่งที่ตนทำไป จริงอย่างที่ลี่จินพูด หากคนนั้นเป็นอันตรายต่อพวกนางจริง เขาก็คงทำร้ายตั้งแต่ที่พวกนางเดินเข้าไปใกล้แล้ว
แต่จะให้นางทนดมกลิ่นเลือดที่ลอยมาตามสายลมก็ไม่ได้ อย่างน้อย ๆ นำยาไปให้ก็คงจะบรรเทากลิ่นเลือดไม่มากก็น้อย
อีกอย่างเซียวเหม่ยอิงเองนางก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด หากเกิดอันตรายขึ้นจริง นางก็มีของที่ใช้สำหรับป้องกันตัวติดกายอยู่เสมอนั่นก็คือ กำไลที่นางสวมใส่ตลอดเวลา ของสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงกำไลธรรมดาเท่านั้น เพราะเป็นกำไลที่มีกลไกพิเศษ หากนางกดปุ่มเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ จะมีเข็มพิษออกมาจากกำไล ของชิ้นนี้เป็นของขวัญจากอาจารย์ที่ฝึกวรยุทธให้กับนางเพื่อเอาไว้ให้นางป้องกันตัวนั่นเอง
คล้อยหลังที่เซียวเหม่ยอิงและลี่จินเดินจากไป ในมุมมืดจุดที่เซียวเหม่ยอิงได้โยนห่อยาไปนั้น ก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งที่เดินออกมาแล้วก้มลงไปหยิบห่อยานั้น แล้วมองไปยังจุดที่เซียวเหม่ยอิงเดินจากไปด้วยสายตาที่ล้ำลึก
“วันเวลาเปลี่ยนแต่เหตุใดนางถึงยังกระทำการโง่งมไม่เคยเปลี่ยน”
แต่ยังไม่ทันไรก็มีกลุ่มลึกลับกลุ่มหนึ่งมาคุกเข่าต่อหน้าชายผู้นั้น
“ขออภัยนายท่าน เป็นเพราะพวกเราประมาทเกินไปทำให้นายท่านต้องได้รับบาดเจ็บเช่นนี้”
“เป็นเช่นไร” ชายที่บาดเจ็บเอ่ยถามคนที่เพิ่งมาถึง
“พวกข้าจับตัวไม่ทัน พวกนั้นชิงกินยาพิษไปเสียก่อนขอรับ”
พวกเขากล้าพูดได้เลยว่า พวกนั้นเป็นนักฆ่าฝีมือดี เพราะชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน แต่ไม่ทันที่จะได้พูดจบ กลุ่มคนเหล่านั้นต้องพากันตกใจ เพราะคนที่พวกเขาเรียกว่านายท่านกำลังกระอักเลือดออกมา
“นายท่านโดนพิษ!”
“รีบพานายท่านกลับไปเดี๋ยวนี้!”
คนกลุ่มนั้นรีบพากันประคองตัวนายท่านเพื่อไปรักษาตัวอย่างเร่งด่วน เพราะนายท่านของพวกเขานั้นโดนพิษ ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าพิษที่โดนนั้นอันตรายมากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยาถอนพิษนั้นจะมีหรือไม่ เพราะหากเป็นพิษร้ายคงยากที่จะแก้ จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง แต่ใครจะไปรู้ว่าเซียวเหม่ยอิงนั้นได้ช่วยชีวิตคนที่จะเปลี่ยนชะตากรรมชีวิตของนางไว้เรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่ที่เซียวเหม่ยอิงกลับมาจากวัดก็เป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว หลี่ซื่อหมินก็ไม่มาหานางอย่างเช่นเคย เซียวเหม่ยอิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะการหมั้นหมายของพวกเขาทั้งสองคนนั้นเป็นเพราะผู้ใหญ่จัดการเองทั้งสองฝ่าย
“ช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องของคุณหนูใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ”
ลี่จินเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังรินชาให้คุณหนูของตัวเอง
“คนในตลาดพูดกันว่าคุณชายหลี่ชื่นชอบคุณหนูเล็ก พวกเขาเห็นทั้งสองคนหยอกล้อกันดูท่าทางสนิทสนม ตอนที่ไปเดินซื้อของในตลาด”
“ใคร ๆ ก็เอ็นดูน้องสาวข้าอยู่แล้ว นางช่างพูดช่างเจรจา”
“แต่ว่า...คุณชายหลี่เป็นคู่หมั้นคู่หมายกับคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ”
“ช่างเถิดลี่จิน ผู้คนย่อมชื่นชอบข่าวลือกันอยู่แล้ว เจ้าเอาเครื่องประดับที่พ่อค้าส่งมาวันนั้น นำมาให้ข้าดูดีกว่า ข้าจะได้เลือกใส่ไปงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้”
ลี่จินพยักหน้ารับคำสั่ง จากนั้นก็ปลีกตัวไปหยิบเครื่องประดับที่เพิ่งได้มาให้เซียวเหม่ยอิงเลือกใส่ในงานเลี้ยงพรุ่งนี้
ขณะที่เซียวเหม่ยอิงกำลังเลือกเครื่องประดับ ใจก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้น หลังจากผ่านคืนนั้นมา ตอนเช้าเซียวเหม่ยอิงก็ได้เดินกลับไปในจุดเดิม ก็พบกับรอยเลือดแห้งกรังบนใบไม้แต่ไม่พบตัวคนบาดเจ็บหรือศพอยู่บริเวณนั้น แสดงว่าคงไม่เป็นอะไรมาก นางก็พอจะเบาใจได้ว่าอย่างน้อยคนที่ได้รับบาดเจ็บนั้นไม่ถึงขั้นเสียชีวิต
เช้าวันใหม่ จวนตระกูลเซียว
ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังนั่งรอใครบางคนที่กำลังแต่งตัวอยู่ด้วยท่าทีสงบ ไม่กี่อึดใจก็ปรากฏสตรีที่มาในชุดสีชมพูอ่อนทำให้คนที่ใส่ดูบริสุทธิ์และอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิม
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงไพเราะราวดนตรีเอ่ยทักคนที่นั่งจิบชารอตน
“หงเอ๋อร์ของแม่ วันนี้เจ้างดงามมากจริง ๆ” ฟางเหนียงชมบุตรสาวคนเล็กของตัวเองที่เพิ่งมาถึงด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ไม่ต่างจากคนที่ถูกชมที่ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
"วันนี้ท่านแม่เองก็งดงามมากเจ้าค่ะ"
ทั้งสองคนแม่ลูกปิดปากหัวเราะกันอย่างชอบใจ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นพี่สาวของตนเองที่นั่งจิบชาอยู่เงียบ ๆ
“เอ๊ะ! พี่ใหญ่ ท่านใส่เครื่องประดับหรูหราเกินไปหรือไม่เจ้าคะ พวกเราไปแค่งานเลี้ยงฉลองชนะศึกเอง เหตุใดท่านถึงได้สวมเครื่องประดับหรูหราถึงเพียงนี้” คิ้วงามของเซียวลี่หงขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยกับการแต่งการของพี่สาวตัวเอง ทว่าเซียวเหม่ยอิงยกยิ้มมุมปากเท่านั้นไม่ได้คำถามของน้องสาวตนเองแต่อย่างใด
“ไปกันเถิดประเดี๋ยวจะไปงานเลี้ยงสาย” เซียวฟู่ซินลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำหน้าทุกคนไป ทำให้คนอื่นๆต้องเดินตามหลังประมุขของตระกูลไปอย่างเลี่ยงไม่ได้