งานเลี้ยงฉลองชัยจัดขึ้น ณ ตำหนักไท่เหอ ภายในงานเต็มไปด้วยสุรา อาหารเลิศรส นักการสังคีตบรรเลงฉินคลอแผ่วท่วงทำนองลื่นไหลผ่อนคลายดุจสายน้ำกระทบหิน ขุนนางบุ๋นบู๊ขั้นสามขึ้นไปต่างพาครอบครัวทยอยมาเข้าร่วมงานเลี้ยง ภายในห้องโถงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย บรรดาบุรุษต่างรวมตัวกันอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง จับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นช่วงนี้ บ้างก็ปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อราชการที่ได้รับมอบหมาย ทางฟากฝั่งของสตรีเองก็ไม่น้อยหน้า บรรดาฮูหยินและฮูหยินตราตั้งทั้งหลายต่างจับกลุ่มพูดคุยสร้างเส้นสายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของสามี บ้างก็พูดจาส่อเสียดเย้ยหยันตีวัวกระทบคราดกันไปมา บ้างก็สอดส่ายสายตาเสาะหาหนุ่มสาวอนาคตไกล ชาติตระกูลสูงส่งเพื่อเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีกู้ฟางเหนียงรวมอยู่ด้วย
วันนี้กู้ฟางเหนียงจับบุตรสาวแต่งตัวแบบจัดหนักจัดเต็ม เสื้อผ้าสีชมพูสดใส ปิ่นมุก กำไลหยกประโคมใส่ให้บุตรสาวราวกับจะเปิดร้านขายเครื่องประดับเสียเอง แต่ผู้ที่ให้ความร่วมมือดูเหมือนจะมีแค่บุตรคนที่สามอย่างจ้าวลี่เจียเพียงเท่านั้น เพราะแม้ท่านแม่จะประโคมเครื่องประดับให้นางใส่จนเต็มตัว แต่นางก็ยังดูงดงามเฉิดฉันสมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ผิดกับจ้าวลี่จ้งที่พอเห็นสภาพตนเองในคันฉ่องก็เกิดอาการคันคะเยอขึ้นมาทั้งตัว อาศัยจังหวะที่ทุกคนหันไปใส่ใจน้องสาว ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีออกทางหน้าต่างไปฉวยเอาอาภรณ์สีเรียบของตนเองมาแอบซ่อนไว้ พอขึ้นรถม้าได้ก็จัดการถอดรูปเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนชุดที่ท่านแม่จัดหาให้ก็โยนทิ้งไว้ตรอกใดก็สุดรู้ พอกู้ฟางเหนียงเห็นบุตรสาวลงมาจากรถม้าในชุดสตรีสีเรียบก็ถึงกับพูดไม่ออก จะไล่ให้กลับไปเปลี่ยนชุดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว จึงจำต้องปล่อยเลยตามเลย พาบุตรสาวคนรองที่สภาพเหมือนบัณฑิตหนุ่มยากจนเข้ามาในงานด้วยความคับแค้นใจที่เหล็กไม่เป็นเหล็กกล้า[1]
“ยินดีกับจ้าวฮูหยินด้วยที่มีสามีองอาจห้าวหาญอย่างเจิ้งกั๋วกง สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ให้กับแผ่นดินต้าเฉินของเรา” เกาโยวหยวนฮูหยินของหลี่เหยียนเจี๋ย พระมารดาของหลี่ลู่เหลียนฮองเฮาองค์ปัจจุบันแห่งแคว้นต้าเฉิน ทักทายกู้ฟางเหนียงอย่างเป็นกันเอง ท่าทางสูงส่งถือยศถือศักดิ์ไม่มีให้เห็นแม้แต่เพียงน้อย
“มิกล้าๆ หลี่ฮูหยินยกย่องเกินไปแล้ว เสนาบดีหลี่เองก็เก่งกล้าสามารถไม่แพ้กัน ถวายงานข้างพระวรกายฝ่าบาทมาช้านาน สร้างคุณงามความดีใหญ่หลวง จะพูดว่ายินดีกับข้าได้อย่างไร” กู้ฟางเหนียงยกย่องอีกฝ่ายกลับตามมารยาท ไม่อยากต่อบทสนทนากับเกาโยวหยวนมากนักเพราะไม่ค่อยสนิทกับอีกฝ่าย เกาโยวหยวนเองก็เหมือนจะรู้จึงเสพูดเรื่องอื่นเพื่อหาเรื่องคุย
“นี่คือบุตรสาวของท่านหรือ รูปโฉมงดงาม เอ่อ...” เกาโยวหยวนเอ่ยชมจ้าวลี่เจีย ก่อนหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าของจ้าวลี่จ้ง หลังจากครุ่นคิดหาคำชมที่เหมาะสมกับหญิงสาวอยู่เป็นครู่จึงค่อยเอ่ยออกมา “...สุขุมยิ่ง ดูมีราศีสมกับเป็นบุตรสาวของเจิ้งกั๋วกง”
“ขอบคุณหลี่ฮูหยินที่เอ่ยชมเจ้าค่ะ” จ้าวลี่เจียยอบกายคารวะเกาโยวหยวนตามมารยาท ทำให้หลี่ฮูหยินเผยแววตาชื่นชมหญิงสาว ผิดกับจ้าวลี่จ้งที่ทำเพียงค้อมกายคารวะง่ายๆ เยี่ยงชายชาตรี ทำเอาดวงตาของเกาโยวหยวนฉายประกายเย็นเยียบวูบหนึ่งรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“เด็กชนบทไม่รู้กาลควรไม่ควรขอหลี่ฮูหยินอย่าได้ถือสา ยังไม่รีบขออภัยหลี่ฮูหยินอีก” กู้ฟางเหนียงเห็นกิริยาไม่สมกับเป็นสตรีในห้องหอของบุตรสาวเลยแอบบิดเอวสั่งสอน หน้าร้อนนิดๆ ด้วยความอับอายกับการกระทำของจ้าวลี่จ้ง นางพยายามแก้ต่างทั้งตำหนิบุตรสาวคนรองที่เสียมารยาทกับหลี่ฮูหยินต่อหน้าธารกำนัลด้วยความร้อนใจ เกาโยวหยวนกลับโบกมือคล้ายไม่ใส่ใจ
“บุตรสาวของเจ้าเป็นคนห้าวหาญเหมือนกับบิดาของนาง เจ้าก็อย่าได้ตำหนินางนักเลย”
“ขอบคุณหลี่ฮูหยินที่ไม่ถือสาหาความผู้น้อย” กู้ฟางเหนียงยอบกายคารวะ รู้สึกดีกับหลี่ฮูหยินผู้นี้ขึ้นมาอักโข รอยยิ้มบนหน้ากู้ฟางเหนียงเจือความจริงใจมากขึ้น เป็นฝ่ายชักชวนเกาโยวหยวนสนทนาเรื่องอื่นอย่างสนิทสนมเสียเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตกอยู่ในสายตาเฉียบคมของเฉินซือหยางทั้งหมด
“หลี่ฮูหยินช่างปั้นหน้าเก่งเสียจริง หึ” เฉินซือหยางปรบมือให้เกาโยวหยวนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ใบหน้าเล็กๆ หลังม่านบังตามองไปทางหลี่เหยียนเจี๋ย เสนาบดีกรมขุนนางที่ทำตัวสง่าผ่าเผยพูดคุยสร้างเส้นสายในราชสำนักเช่นเดียวกับภรรยาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนสองผัวเมียคู่นี้ยิ่งนัก “หลี่เจียนเฉิน[2] ก็ใช่จะน้อยหน้าฮูหยินของเขาเสียเมื่อไหร่ ช่างเหมาะสมกันราวผีเน่ากับโลงผุ”
“องค์รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จางเสี่ยวเหล่ยค้อมกายรับคำ เห็นด้วยกับคำพูดของเฉินซือหยางยิ่ง ขุนนางในราชสำนักต่างพากันประจบเอาใจหลี่เหยียนเจี๋ยจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า นี่ยังไม่นับการคบค้าสมาคมในที่ลับอีก ไหนจะเส้นสายของอู๋กั๋วกงหลี่เจียงที่เป็นถึงอัครมหาเสนาบดีสองแผ่นดิน ยังมีหลี่ไทเฮา และหลี่ฮองเฮากุมอำนาจในวังหลังอีก นับวันตระกูลหลี่ยิ่งเรืองอำนาจมากขึ้นทุกทีๆ แล้ว
“เรื่องลอบวางยาปลุกกำหนัดเสด็จพ่อที่ให้ไปจัดการก่อนหน้านี้ได้ความว่าอย่างไร”
“หวังกงกงเตรียมการป้องกันเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ รับรองว่าไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน”
“กำชับเหล่าองครักษ์เงาด้วยว่าให้เฝ้าระวังความปลอดภัยให้จงหนัก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเสด็จพ่อของข้าละก็ อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เตรียมตัวเถอะ เสด็จพ่อน่าจะใกล้เสด็จแล้ว”
เฉินซือหยางลุกขึ้นให้จางกงกงจัดเสื้อผ้าให้ แล้วเดินไปรอที่ตำหนักข้าง เพียงชั่วครู่เฉินเทียนอี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับนางสนมกลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นมีซูโม่หลันรวมอยู่ด้วย เฉินซือหยางส่งสายตาให้ซูโม่หลัน นางเองก็คล้ายจะเข้าใจความนัยที่เขาส่งให้ จึงหลุบตาลงเงียบๆ รีบเร่งฝีเท้าประชิดเฉินเทียนอี้มากยิ่งขึ้น คืนนี้เขาคงวางใจได้เปลาะหนึ่งว่าเสด็จพ่อคงจะไม่ร่ำสุรามากเกินควรจนทำร้ายพระวรกายเข้า
“เสด็จพ่อ” เฉินซือหยางค้อมกายคารวะ เฉินเทียนอี้พยักหน้ารับ สองพ่อลูกพบหน้ากันยังไม่ทันจะได้โอภาปราศรัย คนที่พวกเขาเกลียดเข้าไส้ก็ย่างกรายเฉิดฉายตามการประคองของหลี่ลู่เหลียนเข้ามาในตำหนักข้าง
“ถวายบังคมเสด็จแม่ / เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่ย่าเสียงไทเฮาปรายตามองสีหน้าไร้อารมณ์ของสองพ่อลูกด้วยสีหน้าหมิ่นแคลน ท่าทางเย่อหยิ่งหยามหยันผู้คนนั้นช่างน่าชิงชังรังเกียจยิ่งนักในสายตาของเฉินซือหยาง เรือนร่างที่เริ่มร่วงโรยตามวัยเดินผ่านหน้าของพวกเขาไปอย่างไม่แยแส
“เสด็จแม่ทรงพระเกษมสำราญดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเทียนอี้ทักทายตามมารยาท ใบหน้าหล่อเหลาหาผู้ใดเทียบเทียมเย็นชาเฉยเมย ยิ่งขัดลูกนัยน์ตาของหลี่ย่าเสียงไทเฮา
“ข้าคงจะอยู่ดีมีสุขมากกว่านี้ หากผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าไม่ใช่เจ้า”
“คงต้องทำให้เสด็จแม่ผิดหวังเสียแล้ว เพราะผู้ที่ท่านอยากจะให้ ‘ยืนอยู่ในตำแหน่งนี้’ สิ้นใจไปนานแล้ว” เฉินเทียนอี้กล่าวเสียงเรียบ แต่ความนัยที่เอ่ยออกมากลับจี้ใจดำหลี่ย่าเสียงเข้าอย่างจัง
มันกล้าดีอย่างไรถึงได้มาชุบมือเปิบบัลลังก์ทองที่ควรจะเป็นของบุตรชายนาง ของตระกูลนาง! ปลอกเล็บทองคำจิกเข้าไปในเนื้อตรงท่อนแขนของหลี่ลู่เหลียนจนนางอดขมวดคิ้วด้วยความเจ็บไม่ได้ หลี่ฮองเฮาไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาเพราะรู้ว่าเสด็จอาหญิงของตนเองกำลังอารมณ์ขุ่นมัวอย่างหนัก ทำเพียงลูบแขนปลอบประโลมเบาๆ หลี่ย่าเสียงถึงได้สติพยายามระงับอารมณ์ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเคียดแค้นนั่นเริ่มสงบลง นางจะถือสาคนใกล้ตายไปทำไม โมโหไปก็เท่านั้น
“เจ้าเองก็อย่ามัวแต่ตอกย้ำข้า เตือนตนเองไว้บ้างก็ดีว่าใกล้หมดลมหายใจแล้วเช่นกัน” หลี่ย่าเสียงเย้ยเสียงเบา แต่ถึงจะเบาเพียงไรเฉินซือหยางก็ยังได้ยินเต็มสองหูอยู่ดี
“เสด็จย่าอย่ามัวห่วงเสด็จพ่ออยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อจะมีอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี แต่เสด็จย่าเนี่ยสิ อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว ต้องดูแลพระวรกายให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ จะได้อยู่ดูหลานขึ้นไป ‘ยืนตรงตำแหน่งนั้น’ เบื้องหน้าเสด็จย่าบ้าง” เฉินซือหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยสุดซึ้ง ใบหน้าไร้เดียงสาแต่นัยน์ตากลับคมกริบดุจใบมีด นังเฒ่าสารพัดพิษนี่เขาจะไม่ให้นางได้ตายดีเหมือนกัน สิ่งที่นางทำกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเขา เขาจะเอาคืนจากนางเป็นร้อยเท่าพันทวีแน่นอน
ข้าขอสาบาน!
“นี่เจ้า!” หลี่ย่าเสียงเผลอตวาดเสียงดัง จนหลี่ลู่เหลียนต้องออกปากห้ามปราม
“เสด็จแม่เพคะ” หลี่ฮองเฮากระชับมือหลี่ไทเฮาแน่น พยักพเยิดไปยังเหล่าสนมชายาที่ยืนมองพวกนางด้วยสายตาสอดรู้สอดเห็น
หลี่ย่าเสียงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับอกระงับใจไม่ให้สั่งสอนไอ้เด็กเมื่อวานซืน ระวังเถอะสักวันนางจะส่งมันลงนรกตามแม่มันไป คนชั้นต่ำอย่างพ่อมันนางยังจัดการได้ แล้วเด็กอมมืออย่างมันมีหรือนางจะจัดการไม่ได้
“ขอบใจหยางเอ๋อร์มากที่เป็นห่วงย่า รับรองว่าย่าจะอยู่อีกนานจนหยางเอ๋อร์คาดไม่ถึงเชียวล่ะ ย่าหวังว่าหยางเอ๋อร์เองจะอยู่ได้นานจนถึงวันนั้นเช่นกัน” หลี่ย่าเสียงลูบศีรษะเล็กๆ อย่างอ่อนโยน ผิดกับสีหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเขาลิบลับ
“หลานจะอยู่จนถึงวันนั้นแน่นอน ขอเสด็จย่าโปรดวางใจ” เฉินซือหยางบอกเสียงหนักแน่น เขาไม่ใช่แค่จะอยู่อีกนาน แต่จะอยู่อย่างมีความสุขบนความทุกข์ทรมานของคนตระกูลหลี่ทั้งตระกูลด้วย!
“ได้เวลาแล้ว เสด็จแม่เชิญเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เฉินเทียนอี้เข้าไปประคองแขนอีกข้างของหลี่ย่าเสียง ถึงนางจะไม่ใคร่พอใจนักแต่ก็ยอมร่วมแสดงละคร ‘ครอบครัวสุขสันต์’ ต่อใต้หล้าด้วยท่าทางเปี่ยมเมตตาผิดกับการเผชิญหน้ากันก่อนหน้านี้ลิบลับ
[1] เป็นสำนวน หมายถึง ขัดใจ หรือไม่ได้ดั่งใจกับความไม่เอาถ่านของคนที่ตนคาดหวังไว้
[2] เจียนเฉิน (奸臣) หรือกังฉิน คือขุนนางที่ทุจริตในหน้าที่การงาน ในที่นี้เฉินซือหยางใช้เรียก ‘หลี่เหยียนเจี๋ย’ เป็นเชิงเสียดสี