แชร์

บทที่ 9

ผู้เขียน: ตงเฟินไป่หลิน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-21 20:35:37

“ฝ่าบาทเสด็จ ไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ”

ขันทีประจำตำหนักขานเสียงดัง เหล่าขุนนางและครอบครัวต่างเข้าประจำที่ ถวายบังคมแสดงความจงรักภักดีพร้อมกันทั้งตำหนักไท่เหอ ต้อนรับการมาเยือนของเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างยิ่งใหญ่

“ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ถวายพระพรไทเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรฮองเฮาขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี ถวายพระพรองค์รัชทายาทขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”

“ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”

“สวรรค์คุ้มครองแผ่นดินต้าเฉิน วันนี้เรายินดียิ่งนักที่เห็นทุกท่าน ณ ที่แห่งนี้ จอกนี้เราขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าทหารกล้าที่เสียสละเพื่อแผ่นดินต้าเฉินของเรา หมดจอก” เฉินเทียนอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สุรากู่จิ่ง[1] กลิ่นหอมเย้ายวน รสชาติหวานปานน้ำผึ้งยังซ่านอยู่ในปาก เป็นสุราที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

“หมดจอก” เหล่าแม่ทัพนายกองขานรับ ยกจอกสุรากระดกจนหมดจอกเช่นกัน ปลาบปลื้มใจในพระมหากรุณาธิคุณขององค์เหนือหัวที่ทรงให้ความสำคัญกับนายทหารหยาบกระด้างเช่นตน พอสุราไหลลงกระเพาะบรรยากาศจึงผ่อนคลายดูเป็นกันเองมากขึ้น

หลังการดื่มฉลองชัย งานเลี้ยงก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เสียงฉินบรรเลงแว่วหวาน เหล่านางระบำออกมาร่ายรำราวกับนกกระเรียนโผบินสู่ยอดเขาสูง ผู้คนในงานต่างเพลิดเพลินกับสุรา อาหาร และการแสดงสุดตระการตา บางคนถือโอกาสนี้คารวะสุราเจิ้งกั๋วกง ยินดีกับชัยชนะในการศึกครั้งนี้ งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างครึกครื้นได้ช่วงหนึ่ง หวังกงกงก็ถวายบังคมเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ แล้วประกาศราชโองการ

“เจิ้งกั๋วกงรับราชโองการ”

จ้าวมู่ก้าวออกมาคุกเข่าคำนับเบื้องหน้าเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ หวังกงกงคลี่ราชโองการสีเหลืองทองในมือออกอ่าน

“ด้วยบัญชาแห่งโอรสสวรรค์ เจิ้งกั๋วกงจ้าวมู่ประกอบคุณงามความชอบใหญ่หลวงแก่แผ่นดินต้าเฉินของเรา พระราชทานรางวัลที่ดินหนึ่งพันฉิ่ง[2] ผ้าแพรเจียงโจวชั้นดีพันพับ ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึง อาชาเหงื่อโลหิตหนึ่งคู่ และเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ไท่เว่ย[3] ประดับพู่ห้อยตราทองแถบม่วง[4] พร้อมจวนแม่ทัพประจำตำแหน่ง มีนายทหารใต้บังคับบัญชาร้อยหมื่นนาย ประจำการที่ค่ายหงจวินนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จบราชโองการ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

เกิดเสียงฮือฮาเบาๆ ในหมู่ขุนนาง ทุกคนต่างอิจฉาในโชควาสนาของเจิ้งกั๋วกงที่ได้เป็นถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ เลื่อนจากขุนนางขั้น 2 เป็นขุนนางขั้น 1 ในชั่วพริบตา มีอำนาจวาสนาเทียบเท่ากับอัครมหาเสนาบดี อยู่ใต้คนหนึ่งคน แต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น ดั่งนกเฟิ่งทะยานสู่ท้องนภาก็คงไม่ผิดนัก ผู้ใดเล่าจะไม่ริษยา

“น่ายินดี ช่างน่ายินดียิ่ง เรื่องดีๆ เช่นนี้จะขาดอายเจีย[5] ไปได้เช่นไร ได้ยินข่าวว่าเรือนหลังของเจิ้งกั๋วกงยังว่างเปล่า บุตรธิดาที่จะแสดงความกตัญญูก็มีน้อยยิ่งนักใช่หรือไม่” หลี่ย่าเสียงเอ่ยขัดเสียงเซ็งแซ่แสดงความยินดีกับจ้าวมู่ จนผู้คนต่างพากันเงียบกริบกันถ้วนหน้า ไม่รอให้จ้าวมู่เอ่ยขัด หลี่ย่าเสียงก็ปรบมือเรียกนางกำนัลข้างกาย “เด็กๆ พาคนเข้ามา”

สตรีสวมชุดกระโปรงหรูฉวิน[6] สีแดงสดยาวกรุยกราย ย่างเท้าเข้ามาในห้องโถงกว้าง ผ้าคลุมไหล่สีขาวบริสุทธิ์พลิ้วไหวตามการเคลื่อนกายของนางแลดูเย้ายวนใจ ใบหน้างดงามอ่อนช้อยนั้นงามล่มเมืองคล้ายกับใครบางคนราวกับถอดรูป จนเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วตำหนักไท่เหอ สายตาทุกคู่จับจ้องกู้ฟางเหนียงสลับกับสตรีปริศนาผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคนด้วยความสนใจใคร่รู้ รอชมเรื่องสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น

“นี่คือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหอผู่เยว่”

“ฟางเซียนคารวะทุกท่านเจ้าค่ะ”

“ข้าเห็นใบหน้าของนางคราแรกก็คิดถึงเจิ้งกั๋วกงขึ้นมาทันทีเลยรู้หรือไม่ วีรบุรุษย่อมคู่กับสาวงาม จากนี้ไปข้ายกให้เจ้าดูแลต่อเป็นเช่นไร ถือเสียว่าเป็นรางวัลชนะศึกจากอายเจีย”

จ้าวมู่เหม่อมองใบหน้าของฟางเซียนด้วยความตกตะลึงอยู่เป็นนาน แต่พอได้ยินว่าไทเฮาทรงเปรียบเปรยว่าฮูหยินของเขาคล้ายกับหญิงคณิกานางหนึ่ง เขาถึงกับมือกระตุก จอกสุราทองเหลืองในมือหนาโดนบีบจนบิดเบี้ยวตามแรงอารมณ์ ไทเฮากล้าดีอย่างไรถึงได้กล้าหักหน้าเขาเช่นนี้ กล้าเอาหญิงคณิกานางหนึ่งมาเย้ยหน้าฮูหยินของเขา พอเหลือบตามองใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายของภรรยา คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความปวดใจ อยู่กินกันมาหลายสิบปี มีลูกด้วยกันแล้ว 7 คน เขายังไม่เคยทำให้ฮูหยินของเขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจแม้แต่เพียงนิด แล้วยัยแก่นี่เป็นใครถึงได้กล้ามาหยามน้ำใจภรรยาเขา

กู้ฟางเหนียงเห็นสามีโมโหจนหนวดกระดิก ก็รีบคว้ามือหนารั้งเอาไว้ ส่งสายตาตักเตือนไม่ให้กล่าวคำพูดไม่น่าฟังออกไป คนผู้นี้เวลาโมโหใครขึ้นมาไม่เคยไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ขนาดจักรพรรดิองค์ก่อนยังกล้าขึ้นเสียงใส่มาแล้ว นับประสาอะไรกับไทเฮาพระองค์นี้ แต่ตอนนี้ราชสำนักตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลหลี่ หากสามีของนางบุ่มบ่ามล่วงเกินไทเฮาขึ้นมา จะไม่เป็นการดีต่อตระกูลจ้าวของพวกนาง ถึงแม้ว่านางจะโกรธเกรี้ยวไปไม่น้อยกว่าสามีก็ตาม นึกถึงเมื่อครู่หลี่ฮูหยินเข้ามาพูดจาตีสองหน้าด้วย นางก็รู้สึกสะอิดสะเอียนคนตระกูลนี้ยิ่งนัก

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ดี! จอกนี้อายเจียขอดื่มให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะมีบุตรเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”

“ขอบพระทัยไทเฮา”

เฉินซือหยางจับจ้องใบหน้าเรียบเฉยตอนกล่าวขอบคุณหลี่ย่าเสียงของจ้าวมู่แล้วยกยิ้มในหน้า เขานึกว่าเสด็จย่าจะมีไม้เด็ดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็แค่กลสาวงาม แผนการดาษดื่น ยอมแม้กระทั่งผิดใจกับต่งเซินให้ได้ แต่หากจ้าวมู่หลงใหลฟางเซียนขึ้นมาจริงๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าล่ะนะ ถึงกับดึงเจิ้งกั๋วกงที่เป็นถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพมาเป็นพวกได้ทั้งที เสนาบดีกรมคลังจะเป็นกระไรได้ แต่นางคงลืมไปว่าจ้าวมู่นั้นรักมั่นต่อจ้าวฮูหยินมากเพียงไร การเอาหญิงคณิกาที่มีหน้าตาเหมือนจ้าวฮูหยินมามอบให้ถือเป็นการหยามหน้ากู้ฟางเหนียงอย่างยิ่ง คิดหรือว่าที่เรือนหลังของเจิ้งกั๋วกงยังขาวสะอาดขนาดนี้เป็นเพราะจ้าวมู่ไม่ยอมรับผู้ใดเข้ามาเป็นอนุภรรยาจริงๆ หากกู้ฟางเหนียงไม่มีฝีมือไหนเลยจะเอาใจทั้งสามีและแม่สามีอยู่ ดูท่าแต่นี้ต่อไปเรือนหลังของเจิ้งกั๋วกงคงมีเรื่องสนุกให้ดูชมอีกเยอะเชียวล่ะ

เฉินซือหยางจิบสุธารสชาอย่างสบายอกสบายใจ มองดูเสนาบดีต่งจ้องมองแม่นางฟางเซียนไม่คลาดสายตา แผนการชั่วร้ายต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในหัวมากมาย ดวงตากลมวาววับจับจ้องเหยื่อที่เขากะจะเล่นงานในภายภาคหน้า ถ้าไม่โดนเสียงกระแอมในลำคอของเสด็จพ่อขัดขึ้นเสียก่อน

“อย่าได้สอดเท้าเล็กๆ ของเจ้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เด็ดขาด” เฉินเทียนอี้เอ่ยเตือนบุตรชาย เห็นประกายนึกสนุกในดวงตากลมโต ผู้เป็นบิดาอย่างเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าปีศาจน้อยตัวนี้คิดอะไรอยู่ในใจ

“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” เฉินซือหยางรับคำเสียงเบา หมดสนุกเลยคราวนี้ เด็กน้อยเลยหันไปสนใจหวังกงกงประกาศเนื้อความในราชโองการแทน

“จ้าวลี่จิ่นรับราชโองการ...”

รายนามของแม่ทัพนายกองผู้มีความดีความชอบถูกเรียกขานทีละชื่อๆ ทุกคนได้รับการปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้า ถึงแม้บางคนจะไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัย เพราะต้องประจำการที่ด่านชายแดนอย่างจ้าวลี่จิ่น ก็ยังได้รับพระราชทานรางวัลไม่มีตกหล่น เผยให้เห็นถึงน้ำพระทัยอันกว้างใหญ่ไพศาลของเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ ลบบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนก่อนหน้านี้ไปสิ้น

ยิ่งดึกงานเลี้ยงยิ่งสนุกสนานครื้นเครง ผู้คนต่างร่ำสุราจนเมามาย กระทั่งการแสดงสุดพิเศษเริ่มขึ้นถึงเรียกความสนใจจากผู้คนได้อีกครา เนื่องจากคณะกายกรรมจากฝูโจวมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า สมกับที่เสนาบดีกรมพิธีการเป็นผู้สรรหามาด้วยตัวเอง

เพียงแค่เริ่มแสดงก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทั่วทั้งงาน เสียงปรบมือชอบอกชอบใจดังกระหึ่ม เมื่อหญิงงามนางหนึ่งเหินกายโปรยกลีบเหมยแดงไปทั่วห้องโถงราวกับเทพธิดาฉางเอ๋อร์[7] ประทานพร ตามมาด้วยเหล่าชายฉกรรจ์จำนวน 5 คน ร่ายรำบนห่วงเหล็กขนาดใหญ่สูงเท่าตัวคน ห่วงเหล็กสีเงินมันวาวหมุนไปในทิศทางเดียวกันดั่งกลีบดอกไม้สีเงินแย้มบาน เมื่อรวมกับกลีบดอกเหมยที่กำลังโปรยปรายช่างเป็นภาพงดงามตระการตา พอห่วงเหล็กกลิ้งสลับกันไปมาเกิดเป็นแสงสีเงินตัดสลับแสงเทียนราวกับกลีบบุปผาต้องลมพายุจนกลีบดอกไม้ปลิดปลิวหายไปกับสายลม จากนั้นก็มีหญิงสาวใช้ไม้ควงจานกระเบื้องสีชมพูสดใสคนละ 4-5 ใบ ออกมาเริงระบำให้ผู้คนได้ยล โดยมีคนแอบโปรยหิมะเป็นระยะ เกิดเป็นภาพดอกอิงเบ่งบานหาญกล้าท้าทายฤดูหนาวอันงดงามหาชมได้ยาก

ในระหว่างที่ผู้คนต่างเพลิดเพลินกับการแสดงเบื้องหน้า นางกำนัลตัวเล็กๆ ไม่สะดุดตาผู้มีหน้าที่คอยรินชาให้กับองค์ฮ่องเต้ถือโอกาสตอนที่ไม่มีผู้ใดสนใจแอบป้ายผงยาปลุกกำหนัดฤทธิ์แรงรอบขอบถ้วยชา ก่อนจะทำทีเป็นรินชาตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เหตุการณ์ทั้งหมดไม่อาจรอดพ้นสายตาคมเข้มดุจเหยี่ยวของเฉินเทียนอี้ไปได้

เฉินเทียนอี้เก็บสายตากลับทำทีเป็นไม่รู้เรื่อง มือหนาเอื้อมไปหยิบถ้วยชาใบนั้นมาคลึงเล่นในมือ ทำทีจะยกดื่มแต่กลับชะงักไปครู่ เมื่อการแสดงดึงดูดความสนใจไปจึงไม่ได้ดื่ม และเป็นแบบนี้อยู่หลายครา จนไทเฮาซึ่งคอยลุ้นอยู่ด้านข้างถลึงตาใส่แผ่นหลังกว้างด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ เมื่อเฉินเทียนอี้ไม่ยอมดื่มชาเสียที

เฉินเทียนอี้ยิ้มหยัน รับรู้ถึงสายตาอำมหิตที่แผ่มาจากด้านหลัง เห็นมารดา ‘สุดที่รัก’ ของเขาดิ้นพล่านไม่เป็นสุขแล้วรู้สึกสะใจพิลึก หลังจากหยอกเย้าอีกฝ่ายเล่นพอสมควรแล้ว มือหนาจึงวางถ้วยชาลงเช่นเดิม เขาคร้านจะเล่นกับมารดาในนามของตนเองแล้ว จึงส่งสายตาให้หวังกงกงไปจัดการคนที่ลอบวางยาเขาให้เรียบร้อยซะ ก่อนจะพิศดูการแสดงต่อไปอย่างเบื่อหน่าย

เสียงดนตรีปลุกเร้าอารมณ์ดังถี่กระชั้นดึงดูดความสนใจของเฉินเทียนอี้ ภาพตรงหน้าเปลี่ยนเป็นภาพนักกายกรรมชายกำลังโยนมีดคมกริบหลายสิบเล่ม นักแสดงหนุ่มควงมีดอย่างชำนิชำนาญ ใบมีดลอยคว้างเป็นเส้นตรง บ้างก็เป็นเส้นโค้งสลับกันไปมา มีบางครั้งที่นักแสดงขยับมือช้าลงราวกับว่าอีกไม่กี่อึดใจนี้เขาจะควงมีดเล่มต่อไปไม่ทันกาล และมีดเล่มนั้นกำลังจะได้ลิ้มรสเลือดเขาไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง จนผู้ชมกลั้นลมหายใจด้วยความหวาดเสียว แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็พลันบังเกิด มีดบินคมกริบที่ควรจะอยู่ในมือนักกายกรรม กลับพุ่งเข้าหาเฉินเทียนอี้ ว่องไวดุจสายฟ้าฟาดจนทุกคนตั้งตัวไม่ติด

เว่ยอันกระโจนออกมาปัดป้องมีดบินที่พุ่งเข้ามาได้ทันท่วงที

“คุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาท” องครักษ์เว่ยตะโกนเสียงดัง การลอบสังหารเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผู้คนในงานแตกตื่นตกใจ เสียงกรีดร้องดังระงมโกลาหลไปทั่วงาน องครักษ์เงาชักกระบี่ปกป้ององค์ฮ่องเต้ ต่อสู้กับนักฆ่าที่ปลอมตัวมาหลายสิบคน

“กำจัดทรราชแซ่เฉินซะ ล้างแค้นให้พี่น้องชาวเซียนเป่ยของเรา”

หัวหน้านักฆ่าชาวเซียนเป่ยบุกทะลวงเข้ามาจะฆ่าเฉินเทียนอี้ แต่ถูกองครักษ์เว่ยสกัดไว้ได้ ทั้งสองปะทะกันไปหลายร้อยกระบวนท่า ก็ยังไม่มีผู้ใดเพลี่ยงพล้ำ เหล่าองครักษ์เงาเองก็สู้รบติดพัน แม่ทัพนายกองที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พกดาบเข้ามาในงานก็ไม่นิ่งนอนใจ ออกหมัดมวยสกัดเหล่านักฆ่า พอแย่งดาบจากชาวเซียนเป่ยมาได้ก็เข้าโรมรันศัตรู ที่ฆ่าได้ฆ่า จับเป็นได้จับ สถานการณ์การต่อสู้ดุเดือดผิดกับสีหน้าเรื่อยเฉื่อยของเฉินซือหยาง

เด็กน้อยจับตาดูการต่อสู้อย่างสนใจ เห็นปั๋งเหยี่ยน[8] คนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งในกรมอารักษ์ได้ไม่นาน เกือบจะถูกนักฆ่าสังหาร แต่กลับมีหญิงสาวหน้าตาหล่อเหลานางหนึ่งเข้ามาช่วยไว้ได้ทันการณ์ แถมฝีไม้ลายมือที่ใช้ต่อกรกับนักฆ่าไม่เบาเลยทีเดียว

“เสด็จพ่อๆ ดูนั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ใช่บุตรสาวของเจิ้งกั๋วกงหรือไม่”

เฉินซือหยางกระตุกชายฉลองพระองค์ชี้ชวนให้เสด็จพ่อดูฉากวีรสตรีช่วยชายงาม? ด้วยกัน

“หืม เจ้าสนใจ?”

“แล้วเสด็จพ่อไม่คิดว่ามันน่าสนใจบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเทียนอี้มองดูเหตุการณ์ที่บุตรชายชี้ชวนให้ดูด้วยความใคร่รู้ ท่ามกลางการเข่นฆ่ากันนองเลือด จ้าวลี่จ้งโอบเอว ‘จินซาน’ ปั๋งเหยี่ยนคนใหม่ที่เขาเป็นคนแต่งตั้งด้วยตนเอง โฉบกายหลบคมดาบท่ามกลางกลีบดอกเหมยที่ปลิวว่อนราวกับละครงิ้ว ฉากที่พระ-นางเกี้ยวพาราสีกัน? ดูแล้วน่าสนใจเหมือนดั่งบุตรชายว่าจริงๆ

“อืม น่าสนใจจริงๆ ว่าแต่เหตุใดยังไม่เห็นเหอต๋านำทหารเข้ามาอีก” เฉินเทียนอี้ดูงิ้วของบุตรชายอยู่เป็นครู่ แต่ก็ยังไม่เห็นเหอต๋าผู้บัญชาการทหารเก้าประตู[9] นำกำลังทหารเข้ามาควบคุมสถานการณ์เสียที ทำให้เหตุการณ์ดูเลวร้ายลงเรื่อยๆ เฉินเทียนอี้ไม่วางใจ จึงรีบฉวยร่างเล็กของบุตรชายหลบออกมาจากตำหนักตามการคุ้มกันขององครักษ์เงา

เฉินซือหยางและเฉินเทียนอี้ถูกคุ้มกันออกจากตำหนักไท่เหอ พร้อมๆ กับเจิ้งกั๋วกงที่พาครอบครัวเข้ามาสมทบ หลี่ไทเฮา หลี่ฮองเฮารวมถึงเต๋อเฟยเองได้หลี่เหยียนเจี๋ยและพรรคพวกคุ้มกันออกมาเช่นกัน กว่าทหารรักษาพระองค์จะเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ผู้คนในงานต่างก็บาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก คราวนี้เฉินเทียนอี้โมโหแล้วจริงๆ

“สั่งการลงไปให้กรมอาญา ศาลต้าอี้ และสำนักตรวจการร่วมกันตรวจสอบการลอบสังหารในครั้งนี้ ผู้ใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องประหารไม่มีละเว้น”

[1] สุรากู่จิ่ง เป็น 1 ใน 10 สุดยอดสุราของจีน ผลิตจากหมู่บ้านเจี่ยนเจีย อำเภอเหา มณฑลอันฮุย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของโจโฉ มีรสชาติหวานปานน้ำผึ้ง

[2] ฉิ่ง เป็นหน่วยวัดของจีน 1 ฉิ่ง เท่ากับ 100 หมู่หรือไร่จีน

[3] ไท่เว่ย คือตำแหน่งสูงสุดของขุนนางฝ่ายบู๊ เป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ

[4] พู่ห้อยหรือเพ่ยโส้ว (佩绶) เป็นไหมที่ถักผูกกับเหรียญหรือตราประทับที่ทำมาจากหยก ทองคำ เงิน ทองแดง งาช้าง หรือนอแรด ใช้ห้อยสายรัดเอวเพื่อบอกยศตำแหน่ง พู่ห้อยตราทองแถบม่วงเป็นเครื่องประดับแสดงยศของอัครมหาเสนาบดีและไท่เว่ย

[5] อายเจีย (哀家) คือคำเรียกแทนตัวของไทเฮา แปลว่า ตัวข้าผู้น่าสงสารเป็นม่ายร้างพระสวามี

[6] ชุดกระโปรงหรูฉวิน เป็นชุดจีนโบราณที่ประกอบด้วยเสื้อตัวในแขนยาว นิยมใส่คู่กับเสื้อคลุมแขนสั้นที่เรียกว่า ‘ปั้นปี้’ (半臂) ทับอีกชั้นแล้วคาดกระโปรงรัดอก บ้างก็คล้องผ้าคลุมไหล่ที่เรียกว่า อวิ๋นเจียน

[7] ฉางเอ๋อร์ คือ เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ตามความเชื่อของชาวจีน

[8] ปั๋งเหยี่ยน (榜眼) คือบัณฑิตจิ้นซื่อที่สอบได้อันดับสองในการสอบเคอจวี่หรือการสอบรับขุนนางในสมัยก่อน

[9] ผู้บัญชาการทหารเก้าประตู เป็นผู้นำสูงสุดของหน่วยองครักษ์รักษาความปลอดภัยในวังหลวง และเฝ้าระวังความปลอดภัยเวลาเปิดปิดประตูเมืองหลวงชั้นในทั้ง 9 ประตู
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 244

    ‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 243

    "หยางหยาง! เจ้าไปไหน..." ไป่ชิงถงยังไม่ทันซักไซ้ไล่เลียง สวีจิ้งเฟิ่งก็ตรงดิ่งเข้าหาภรรยาด้วยความยินดี "ชีชี เจ้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าเสียทั่ว มากับข้าเร็วเข้า" สวีจิ้งเฟิ่งอุ้มสวีชิงเทียนให้ท่านย่า จูงมือภรรยาออกไปท่ามกลางเสียงโวยวายอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของไป่ชิงถง "หยางหยางเจ้า

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 242

    "เจ้าชอบแบบนี้เองหรอกหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งขยับกายเข้าออกเนิบช้า บดคว้านโพรงรักจนถ้วนทั่วสลับกับตอกตรึงหนักเน้นลึกจนถึงแก่น "เปล่านะ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อ...ย อ่ะ" ไป่ชิงถงส่ายหน้าไม่อยากจะยอมรับเลยว่าสวีจิ้งเฟิ่งทำแบบนี้เขายิ่งเสียวซ่านมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก "งั้นหรือ แล้วแบบนี้เล่า" สวีจิ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 241

    "อย่าว่าลูก! จ้ำม่ำแบบนี้สิดี กอดแล้วนุ่มนิ่มจะตาย แล้วที่ว่าไม่เหมือนเจ้า ไม่เหมือนตรงไหน ดูผมนี่สิ หน้าก็เหมือนกันแทบจะถอดเค้ามาจากเจ้า มีแค่ตาสีมรกตคู่นี้ที่เหมือนข้า" ไป่ชิงถงประท้วง มองสามีตาเขียว ลูกเหมือนสวีจิ้งเฟิ่งขนาดนี้ เขาไม่เห็นจะว่าอะไรเลย แค่ชอบกินเหมือนเขานิดหน่อยทำมาเป็นโวยวาย

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 240

    ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนน

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 239

    "ไม่ค่อยดี" สวีเฟยหลงมีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด "ข้าจะเข้าไปดูหน่อย" "หยางเอ๋อร์..." สวีเฟยหลงห้ามไม่ทัน ร่างสูงของบุตรชายหายเข้าไปในห้องเสียแล้ว "ท่านตาเสร็จหรือยัง ชีชีจะคลอดแล้วเหมือนกันนะ" "รอก่อน ข้าทำคลอดมารดาเจ้าอยู่ อย่ามาวุ่นวาย" หลินไท่หน้าซีด ถ่ายพลังให้หลินเส

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status