Share

บทที่ 7

last update Terakhir Diperbarui: 2024-11-19 20:35:39

แสงตะวันจับขอบฟ้าขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนในสารทฤดูให้จางหาย ละอองหิมะโปรยปรายลงมาบางเบาก่อนจะปลิวหายไปกับสายลมเย็นชื่น ผู้คนในเมืองผิงอานเริ่มต้นเช้าวันใหม่กันอย่างคึกคัก ชาวบ้านต่างพากันทำความสะอาดลานเรือนอย่างขะมักเขม้น โรงเตี๊ยมต่างๆ ร้านรวงริมทางเปิดทำการค้าแต่เช้าตรู่ พ่อค้าจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาแลกเปลี่ยนสินค้า แต่วันนี้เมืองหลวงครึกครื้นยิ่งกว่าวันใด ที่นั่งในร้านรวงต่างๆ บนเส้นทางสัญจรสายหลักถูกจับจองจนแน่นขนัด เนื่องจากผู้คนต่างพากันมามุงดูขบวนทัพที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูเมือง

ชายวัยกลางคนหน้าตาดุดันเหี้ยมหาญในชุดออกศึกสวมเกราะหนักทั้งตัว ควบอาชาสีขาวพ่วงพีนำหน้าทัพหลวงเคลื่อนขบวนเข้ามาในเมืองผิงอานอย่างองอาจห้าวหาญ ธงรบสะบัดไหวรับกับจังหวะการย่างก้าวของกองทัพ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามจนผู้คนต่างพากันเลื่อมใส ร้องตะโกนแสดงความยินดีกับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าทหารหาญแลกมาด้วยแรงกาย แรงใจ และหยาดโลหิต ดอกไม้งามโปรยตามเส้นทางที่ขบวนทัพเคลื่อนผ่านเป็นการต้อนรับเหล่าผู้กล้า หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนต่างก็โยนถุงผ้าปักลายสลักนามของตนเองให้กับเหล่าแม่ทัพนายกองที่ตนถูกตาต้องใจ ผู้คนบนท้องถนนต่างยิ้มแย้มพูดคุยเกี่ยวกับศึกนี้อย่างคึกคัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานครื้นเครง

เจิ้งกั๋วกง 'จ้าวมู่' แม่ทัพใหญ่สองแผ่นดินแห่งแคว้นต้าเฉิน ผู้นำทัพสยบชาวเซียนเป่ยในคราวนี้ปรายตามองเหล่าผู้คนที่มาต้อนรับด้วยรอยยิ้มในหน้า กวาดสายตามองเรื่อยไปด้านหลังสบเข้ากับรถม้าหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนตามขบวนทัพอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากใต้หนวดเครารกครึ้มกระดกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง ชักม้าวกกลับไปหารถม้าคันดังกล่าว พอมองลอดผ้าม่านสีขาวบางเบาเห็นฮูหยินของเขาเล่นไล่จับกับบุตรชายตัวอวบอ้วนที่กำลังคลานสำรวจไปทั่วรถม้า ดวงตาคมดุฉายประกายอ่อนโยนมองดูบุตรชายดิ้นรนไม่ยอมให้ใครอุ้มจนพุงกระเพื่อม

“เด็กดื้อคนนี้อยู่นิ่งๆ ไม่ได้เลยใช่หรือไม่” จ้าวมู่หัวเราะชอบอกชอบใจกับความซุกซนของจ้าวลี่หมิง พอเด็กน้อยได้ยินเสียงคุ้นเคยของบิดาก็ส่งเสียงเรียกอ้อแอ้ โบกไม้โบกมือดิ้นรนจะให้บิดาอุ้มให้ได้ จน 'กู้ฟางเหนียง' เกือบรั้งตัวบุตรชายเอาไว้แทบไม่ทัน

“ซุกซนมาตั้งแต่เช้าเลยเจ้าค่ะท่านพี่ ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนเลย”

“ถ้าอย่างนั้นน้องหญิงกับลูกกลับไปพักผ่อนรอที่จวนก่อนดีหรือไม่ ถึงอย่างไรพี่ต้องไปรายงานผลการศึกกับทางกองทัพก่อน”

“ดีเหมือนกันเจ้าค่ะ สายมากแล้วน้องจะได้กล่อมเสี่ยวชี[1] นอนกลางวัน คงใกล้จะสิ้นฤทธิ์แล้วด้วย” กู้ฟางเหนียงหอมแก้มยุ้ยของบุตรชายคนที่เจ็ดด้วยความเอ็นดู แล้วส่งให้แม่นมรับช่วงต่อ “ท่านพี่จะกลับจวนยามใดเจ้าคะ”

“ถ้าจัดการงานในกองทัพเรียบร้อยแล้วก็คงกลับเลย น่าจะไม่เกินยามเว่ย[2] น้องหญิงอย่าลืมเตรียมตัวไปงานเลี้ยงในวังช่วงค่ำด้วยล่ะ”

“น้องทราบแล้ว ท่านพี่โปรดเดินทางดีๆ”

“ไปส่งฮูหยินที่จวนแม่ทัพ” จ้าวมู่หันไปกำชับคนขับรถม้า พยักหน้าเป็นเชิงบอกลาภรรยา แล้วควบม้านำขบวนทัพกลับค่ายหงจวินที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองผิงอาน

ขบวนรถม้าเคลื่อนสู่จวนแม่ทัพใหญ่ที่ตั้งอยู่บนถนนสายหลักทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง ป้ายทองพระราชทานชื่อ ‘จวนแม่ทัพปราบทักษิณ’ ลายพระหัตถ์องอาจเฉียบคมลื่นไหลดุจเมฆเคลื่อนคล้อยของฮ่องเต้พระองค์ก่อนถูกขัดถูจนขึ้นเงาดูโดดเด่นเป็นสง่า ประตูจวนเปิดกว้างต้อนรับการกลับมาของท่านแม่ทัพ บ่าวรับใช้ยืนค้อมกายต้อนรับเป็นแถวยาวโดยมีพ่อบ้านจ้าวเป็นผู้นำขบวน

กู้ฟางเหนียงก้าวลงจากรถม้าตามการประคองของสาวใช้คนสนิท มองดูบุตรสาวทั้ง 5 คน ได้แก่บุตรคนรอง 'จ้าวลี่จ้ง' บุตรคนที่สาม 'จ้าวลี่เจีย' และแฝดสามในวัยกำลังซุกซนอย่าง 'จ้าวลี่จู' 'จ้าวลี่จิน' และ 'จ้าวลี่หลิน' กำลังยื้อแย่งกันลงมาจากรถม้าแบบไม่มีใครยอมใคร ก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก ในบรรดาบุตรสาวทั้ง 6 คนของนางหาคนสงบเสงี่ยมสมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ไม่ได้เลยสักคน คนโตที่ไม่ได้เดินทางกลับมาด้วยอย่าง 'จ้าวลี่จิ่น' ก็เอาอย่างบิดาของนาง เข้ารับราชการเป็นแม่ทัพประจำการอยู่ทางเหนือ มีเพียงจ้าวลี่เจียบุตรสาวคนที่สามยังรู้ความอยู่บ้าง พอจะเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลได้

“ท่านแม่ๆ ท่านย่าอยู่ไหนหรือเจ้าคะ ท่านย่ามารับลี่จูด้วยหรือไม่ ลี่จูคิดถึงท่านย่ายิ่งนัก” จ้าวลี่จูวิ่งมาเกาะแขนกู้ฟางเหนียง ตื่นเต้นดีใจที่อีกหน่อยจะได้เจอท่านย่าหลังจากไม่ได้พบหน้ามานานปี ก่อนจะถูกจ้าวลี่จินเบียดออกไปจากวงโคจรแล้วเป็นฝ่ายเกาะแขนท่านแม่เสียเอง

“ลี่จินก็คิดถึงท่านย่าเจ้าค่ะ ท่านย่าทำเสี่ยวหลงเปาอร้อย อร่อย รสชาติดียิ่ง ท่านแม่ว่าท่านย่าจะทำเสี่ยวหลงเปาไว้ให้ลี่จินหรือไม่” จ้าวลี่จินผู้ ‘สมบูรณ์พูนสุข’ กว่าใครเพื่อน ดึงรั้งชายแขนเสื้อของกู้ฟางเหนียงไปมาเรียกร้องความสนใจกลับถูกจ้าวลี่หลินผลักกระเด็นออกไปอีกรายเช่นกัน

“เจ้าน่ะหลีกไปเลย ที่เจ้าว่ามาคือคิดถึงขนมของท่านย่าต่างหาก คนที่คิดถึงท่านย่าที่สุดคือข้าผู้นี้ ท่านแม่เราเข้าไปหาท่านย่าเลยดีหรือไม่” จ้าวลี่หลินออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวานจนน่าหมั่นไส้ มีหรือที่สองแฝดจะยอมให้จ้าวลี่หลินได้หน้าแต่เพียงผู้เดียว กลายเป็นเจ้าผลักข้า ข้าผลักเจ้า ไปๆ มาๆ ก็ทะเลาะกันเองซะแล้ว

“ข้าต่างหากล่ะที่เป็นคนบอกว่าคิดถึงท่านย่าก่อน” จ้าวลี่จูถลึงตาใส่คู่แฝด

“เป็นข้าที่จำรสมือของท่านย่าได้ ข้าต่างหากล่ะที่คิดถึงท่านย่าที่สุด พวกเจ้าอย่ามาขี้ตู่นะ” จ้าวลี่จินเท้าเอวไม่ยอมเช่นกัน

“เอาล่ะเด็กๆ ไม่ต้องทะเลาะกันนะ ทุกคนต่างก็คิดถึงท่านย่ากันหมดนั่นแหละ จ้งเอ๋อร์ เจียเอ๋อร์ พาเจ้าสามแฝดนี่ไปคารวะท่านย่าที่เรือนก่อน แม่สั่งงานพ่อบ้านจ้าวเสร็จแล้วจะรีบตามไป”

“เจ้าค่ะท่านแม่ / เจ้าค่ะท่านแม่” จ้าวลี่จ้งและจ้าวลี่เจียรับคำ ต้อนเด็กแฝดทั้งสามคนไปพร้อมกับบรรดาสาวใช้ตามหลังอีกเป็นพรวน

กู้ฟางเหนียงมองก้อนความวุ่นวายที่ค่อยๆ ห่างออกไปแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย สั่งความให้พ่อบ้านจ้าวจัดเก็บข้าวของที่นำกลับมาด้วย เสร็จแล้วจึงอุ้มจ้าวลี่หมิงไปทำความรู้จักกับท่านย่าของเขา

'เฉาม่าน' หรือฮูหยินผู้เฒ่าแต่งเข้าตระกูลจ้าวซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพมาทุกรุ่น บรรพบุรุษทุกคนต่างพลีชีพในสนามรบเพื่อปกป้องบ้านเมืองจากอริราชศัตรู แต่ไม่รู้ว่าตระกูลจ้าวไปล่วงเกินเทพเจ้าองค์ใดเข้า ไม่เพียงบุรุษทุกคนต้องพลีชีพบนหลังอาชาศึกเท่านั้น ยังให้กำเนิดบุตรชายน้อยลงทุกทีๆ พอมาถึงรุ่นจ้าวมู่ก็มีเพียงจ้าวลี่หมิงเท่านั้นที่เป็นบุตรชาย แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวกลับไม่ได้เร่งรัดให้บุตรชายรับอนุเพิ่ม เพราะการได้จ้าวลี่หมิงมาในวัยไม้ใกล้ฝั่งเช่นนี้ก็ถือเป็นวาสนาของตระกูลจ้าวแล้ว ดีเสียอีกนางจะได้ไม่ต้องทนเห็นบุตรหลานต้องสิ้นชีพบนคมหอกคมดาบอีก แค่นางเสียสามีกับบุตรชายคนรองไปในสนามรบก็เจ็บช้ำมากพอแล้ว นางหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์คนผมขาวเตรียมส่งคนผมดำอีก

“ไหนเสี่ยวชีของย่าอยู่ไหนเอ่ย” ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวนั่งเอนกายพักผ่อนอยู่บนเตียงเตา[3] ห้อมล้อมไปด้วยหลานสาวร้องทักจ้าวลี่หมิงทันทีที่เห็นกู้ฟางเหนียงอุ้มเขาเข้าประตูมา ซึ่งจ้าวลี่หมิงก็ไม่ทำให้คนแก่อย่างเฉาม่านผิดหวัง ถึงย่าหลานจะไม่เคยพบหน้ากัน เขาก็ยิ้มแป้นรับเสียงทักทายจนเห็นเหงือกสีแดงระเรื่อมีฟันกระต่ายอยู่สองซี่ด้วยกันครบถ้วน เรียกคะแนนความรักใคร่เอ็นดูจากท่านย่าจนบรรดาพี่สาวทั้งหลายมันเขี้ยวน้องชายตัวอ้วนไปตามๆ กัน

“เสี่ยวชีขี้โกงอย่ามาแย่งท่านย่าของลี่จูนะ”

“ใช่ๆ ขนมที่ท่านย่าทำทั้งหมดเป็นของลี่จิน ลี่จินไม่แบ่งให้เสี่ยวชีหรอกนะ ลี่จินแบ่งให้แค่ท่านพ่อกับท่านแม่เท่านั้น”

“ใครบอกล่ะ ท่านย่าเป็นของลี่หลินต่างหาก ท่านพ่อท่านแม่ก็เป็นของลี่หลิน”

“ใครบอกว่าท่านย่าเป็นของพวกเจ้ากัน ท่านย่าเป็นของทุกคนต่างหากล่ะเจ้าสามแสบ” จ้าวลี่จ้งดีดหน้าผากน้องสาวที่กำลังยื้อแย่งท่านย่ากันเรียงตัว เขย่าตัวท่านย่าจนหัวสั่นหัวคลอนเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างไม่รู้ธรรมเนียมเอาเสียเลย คงต้องจับไปฝึกหนักที่ค่ายของท่านพ่อสักหน่อยละมั้ง

“เอาล่ะๆ จ้งเอ๋อร์ก็อย่าเอ็ดน้องเลย น้องๆ ยังเด็กอยู่ ย่ารักพวกเจ้าทุกคนนั่นแหละ” เฉาม่านพยายามห้ามปรามหลานๆ ที่วิ่งไล่กันบนเตียงของนาง กู้ฟางเหนียงเห็นลูกๆ ซุกซนไม่หยุดก็อดเปรยกับแม่สามีไม่ได้

“เด็กที่ไหนกันเจ้าคะท่านแม่ ปีนี้อายุตั้ง 12 หนาวแล้วยังไม่รู้ความกันเลย ลูกสู้อุตส่าห์หาหมัวมัว[4] มาสอนมารยาทให้พวกนางแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ตำราสอนหญิงหรือก็เรียนไปเสียเปล่า ดีดฉิน เขียนอักษร วาดภาพ หรือเล่นหมากล้อมก็เอาดีไม่ได้สักอย่าง ดีแต่รำกระบี่ตีกระบอง จับนกตกปลาไปวันๆ ตอนนี้ลูกก็จนปัญหากับเด็กพวกนี้แล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้ออกเรือนเหมือนสตรีเรือนอื่นเขาหรือไม่” กู้ฟางเหนียงพร่ำบ่นกับแม่สามีด้วยความอัดอั้นตันใจ เหล่าสตรีที่ยังขายไม่ออกอย่างจ้าวลี่จ้งที่อายุ 18 หนาวกับจ้าวลี่เจียที่ถึงวัยปักปิ่น[5] พยายามทำตัวนิ่งๆ เข้าไว้ เสมือนไม่มีตัวตนอยู่ในห้องนี้ ท่านแม่จะได้ไม่พาดพิงถึงพวกนาง แต่ก็ยังไม่แคล้วโดนลากเข้าไปเกี่ยวจนได้

“จ้งเอ๋อร์กับเจียเอ๋อร์ก็เหมือนกัน เจียเอ๋อร์น่ะลูกไม่ค่อยหนักใจเท่าไหร่เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่น แต่จ้งเอ๋อร์น่ะสิเจ้าคะ อายุจะเลยวัยออกเรือนอยู่แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีผู้ใดมาทาบทามสู่ขอเลย”

“เอาน่า เจ้าอย่าร้อนใจไปนักเลย ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับบุพเพวาสนา หากจ้งเอ๋อร์ถูกใจผู้ใดค่อยว่ากันเถิด เจ้าอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการกับนางนักเลย”

“ท่านแม่ละก็ จะไม่ให้ข้ากะเกณฑ์กับนางได้อย่างไร ดูหน้าตาของนางสิเจ้าคะ เหมือนหญิงสาวเสียที่ไหน หากบอกว่าเป็นคุณชายตระกูลจ้าวคงจะเหมาะกว่า หน้าตาหล่อเหลาเกินชายแบบนี้ จะไม่ให้ลูกหนักใจได้อย่างไร เฮ้อ! แล้วท่านแม่ล่ะเจ้าค่ะ มีคนที่หมายตาไว้บ้างหรือไม่” กู้ฟางเหนียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผิดกับจ้าวลี่จ้งที่พอถูกมองว่าเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ผู้หล่อเหลาสง่างามก็ยืดอกรับแสนจะภาคภูมิใจ ใบหน้าของนางเหมือนกับท่านพ่อขนาดนี้ จะไม่ถูกชมว่ารูปงามได้อย่างไร

“งานเลี้ยงฉลองชัยในค่ำคืนนี้ เจ้าก็ลองเรียบๆ เคียงๆ หาให้นางสักคนก็แล้วกัน” เฉาม่านมองท่าทางภูมิอกภูมิใจในรูปโฉมตนเองของหลานสาวคนรองแล้วชักจะปวดเศียรเวียนเกล้าตามลูกสะใภ้ ยังดีที่จ้าวลี่จิ่นผู้มีหน้าตาราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับจ้าวลี่จ้งสามารถล่อลวงบุตรชายของท่านเจ้าเมืองหานตงมาเป็นหลานเขยให้นางได้ ไม่อย่างนั้นนางคงกลุ้มใจยิ่งกว่านี้

“คงจะต้องเป็นเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ” ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความหนักใจได้แต่ฝากความหวังในการหาบุตรเขยไว้กับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้

[1] เสี่ยวชี เสี่ยว แปลว่า เล็ก น้อย ส่วนชี แปลว่า เจ็ด เป็นการเรียก ‘จ้าวลี่หมิง’ บุตรชายคนที่เจ็ดเชิงเอ็นดู

[2] ยามเว่ย คือ เวลา 13.00 – 15.00 น.

[3] เตียงเตา (炕) เป็นเตียงที่ก่อด้วยอิฐด้านล่างมีปล่องเตาจุดให้ความร้อน ด้านบนปูด้วยฟูกหรือเบาะรอง

[4] หมัวมัว คือ คำที่ใช้เรียกแม่นม หญิงรับใช้สูงวัย หรือนางกำนัลที่มีประสบการณ์สูง

[5] วัยปักปิ่น คือ หญิงสาวที่อายุครบ 15 ปี พร้อมที่จะเข้าพิธีปักปิ่นมวยผม เพื่อแสดงว่าได้ก้าวเข้าสู่วัยสาวแล้ว พร้อมออกเรือนหรือแต่งงานแล้ว
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 244

    ‘เปิดตำหนักลับฉบับวายป่วง’ สำนักข่าวเถียนเถียนรายงานสดจากตำหนักจินหลวน นักข่าวนิรนาม : “มีคนบ่นว่าพระเอกเรื่องนี้ไม่เหมือนพระเอกจริงหรือไม่ขอรับ” สวีจิ้งเฟิ่ง : “ผู้ใดบอกให้นักเขียนผู้นั้นให้บทเด่นกับท่านพ่อมากเกินไปเล่า” สวีจิ้งเฟิ่งแบมืออย่างช่วยไม่ได้ นักเขียน : “C £ C

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 243

    "หยางหยาง! เจ้าไปไหน..." ไป่ชิงถงยังไม่ทันซักไซ้ไล่เลียง สวีจิ้งเฟิ่งก็ตรงดิ่งเข้าหาภรรยาด้วยความยินดี "ชีชี เจ้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าเสียทั่ว มากับข้าเร็วเข้า" สวีจิ้งเฟิ่งอุ้มสวีชิงเทียนให้ท่านย่า จูงมือภรรยาออกไปท่ามกลางเสียงโวยวายอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของไป่ชิงถง "หยางหยางเจ้า

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 242

    "เจ้าชอบแบบนี้เองหรอกหรือ" สวีจิ้งเฟิ่งขยับกายเข้าออกเนิบช้า บดคว้านโพรงรักจนถ้วนทั่วสลับกับตอกตรึงหนักเน้นลึกจนถึงแก่น "เปล่านะ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อ...ย อ่ะ" ไป่ชิงถงส่ายหน้าไม่อยากจะยอมรับเลยว่าสวีจิ้งเฟิ่งทำแบบนี้เขายิ่งเสียวซ่านมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก "งั้นหรือ แล้วแบบนี้เล่า" สวีจิ

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 241

    "อย่าว่าลูก! จ้ำม่ำแบบนี้สิดี กอดแล้วนุ่มนิ่มจะตาย แล้วที่ว่าไม่เหมือนเจ้า ไม่เหมือนตรงไหน ดูผมนี่สิ หน้าก็เหมือนกันแทบจะถอดเค้ามาจากเจ้า มีแค่ตาสีมรกตคู่นี้ที่เหมือนข้า" ไป่ชิงถงประท้วง มองสามีตาเขียว ลูกเหมือนสวีจิ้งเฟิ่งขนาดนี้ เขาไม่เห็นจะว่าอะไรเลย แค่ชอบกินเหมือนเขานิดหน่อยทำมาเป็นโวยวาย

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 240

    ด้วยความเพียรพยายามมุมานะอุตสาหะกกไข่แทนภรรยาของสองพ่อลูกแซ่สวี ในที่สุดไข่ใบน้อยก็เริ่มกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว "อีกนิด ลูกทำได้ เจาะเปลือกบนหัวออกก่อนแบบนั้นแหละ" เสียงพ่อลูกแซ่สวีให้กำลังใจลูกน้อยดังขึ้นเป็นระยะ ไม่นานหงส์ทองตัวน้อยกับมังกรเหมันต์ก็โผล่ศีรษะเล็กๆ ออกมา ดวงตาใสแจ๋วสองคู่มองคนน

  • ชายาข้าน่ารักเกินใคร   บทที่ 239

    "ไม่ค่อยดี" สวีเฟยหลงมีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด "ข้าจะเข้าไปดูหน่อย" "หยางเอ๋อร์..." สวีเฟยหลงห้ามไม่ทัน ร่างสูงของบุตรชายหายเข้าไปในห้องเสียแล้ว "ท่านตาเสร็จหรือยัง ชีชีจะคลอดแล้วเหมือนกันนะ" "รอก่อน ข้าทำคลอดมารดาเจ้าอยู่ อย่ามาวุ่นวาย" หลินไท่หน้าซีด ถ่ายพลังให้หลินเส

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status