Beranda / วาย / ทั่วทั้งใต้หล้า ข้ามองหาเพียงเจ้า / บทนำ สารฤดูปีนั้นด้ายแดงเริ่มถักทอ

Share

บทนำ สารฤดูปีนั้นด้ายแดงเริ่มถักทอ

last update Terakhir Diperbarui: 2025-01-30 18:16:33

                                                                                 บทนำ

     สารทฤดูในเมืองจางงดงามไม่แพ้เมืองใดในแคว้นเหว่ย ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูแล้ว ใบไม้เริ่มแปรเปลี่ยนหลากสี กิ่งไม้เริ่มไร้ใบจนเหมือนกระดูกเรียวเล็กแต่ก็ดูงดงามแปลกตาไปอีกแบบ อากาศเองก็ไม่ร้อนอบอ้าวเฉกเช่นเดิมอีกแล้ว

     ดังนั้นวันนี้กู่ซิงอีจึงคึกคักเป็นพิเศษ หมักสุราหามรุ่งหามค่ำ มือหนึ่งทำงานมือหนึ่งยกสุราเข้าปากด้วยความอารมณ์ดี

     กลิ่นหอมของสุรากำจายทั่วปากทำให้มีแรงทำงานมากกว่าเดิม ยามเมื่อหมักสุราเสร็จสิ้นจนถึงขั้นตอนปิดผนึกแล้วเขากลับไม่ได้นำไหสุราไปเก็บในที่ซึ่งควรเก็บตั้งแต่แรก แต่กลับยกมานั่งอาบแสงจันทร์ที่ลานหน้าบ้านแทน

     จันทร์สกาวเต็มดวงเริ่มเอียงไปมากกว่าครึ่งแผ่นฟ้าแล้ว บ่งบอกว่าคืนนี้เขาทำงานหนักยิ่งนัก และอาจเพราะทำงานตั้งแต่เด็กกู่ซิงอีจึงสูงโปร่งกว่าบุรุษทั่วไปในเมืองจางอยู่บ้าง

     ยามนี้เขานั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่กลางลานบ้านซึ่งรอบตัวเต็มไปด้วยไหสุราเกือบสิบไหที่เพิ่งยกมาวาง

     ‘สุราอาบแสงจันทร์ คนหมักเมามาย สุราย่อมรสชาติดี’

     นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวของเขา

     ปีนี้กู่ซิงอีอายุสิบแปดแล้ว ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้า โตมากับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านกงโดยมีผู้เฒ่าเว่ยเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนั้นแหละที่เก็บเขามาเลี้ยงดู ที่นั่นการค้าไม่ได้คึกคักเท่าเมืองหลวงแห่งนี้ และด้วยเพราะเป็นทางผ่านของเส้นทางการขนส่งสินค้าจึงมีแค่ช่วงหนึ่งที่โรงเตี๊ยมจะมีลูกค้าเข้ามาพัก ดังนั้นเวลาว่างที่เหลือผู้เฒ่าเว่ยก็จะสอนเขาทำสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเสมอ

     แต่ที่มักจะพูดโอ้อวดตนเองอยู่บ่อยครั้งว่าทำได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็นการหมักสุรานี่แหละ กู่ซิงอีในวัยเยาว์ก็ค้านหัวชนฝาตลอดว่าไม่จริงอยู่ทุกครา จนกระทั่งเขาได้เดินทางออกจากหมู่บ้านกงมายังเมืองจางเพื่อย้ายถิ่นฐานที่อยู่ตามผู้เฒ่าเว่ย ถึงได้รู้ว่ารสสุราของผู้เฒ่าเว่ยที่หมักเองกับมือนั้นรสชาติยอดเยี่ยมเพียงไร

     หมู่บ้านกงที่เขาเคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่เล็กไร้โรงเตี๊ยมแห่งอื่นเพราะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ จึงมีเพียงโรงเตี๊ยมของผู้เฒ่าเว่ยเท่านั้น ดังนั้นคนแก่ผู้นั้นจึงมักโก่งราคาค่าห้องมากกว่าเดิมเสมอ ทำให้ไม่กี่ปีก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจขายโรงเตี๊ยมพาตนย้ายมาเมืองหลวงหวังหาลู่ทางใหม่

     แต่โชคไม่เข้าข้าง ไม่นานผู้เฒ่าเว่ยก็จากไป

     กู่ซิงอีตอนนั้นอายุแค่สิบสี่ปี กอดเงินที่ผู้เฒ่าเว่ยทิ้งไว้ให้นั่งร้องไห้หน้าหลุมศพอยู่หลายวัน

     ต่อมาจึงใช้วิชาหมักสุราที่ผู้เฒ่าเว่ยสอนหาเลี้ยงปากท้องตนเอง ทว่าล่วงเลยมาจนบัดนี้ ไม่ว่าเขาจะหมักสุราด้วยวิธีการใดล้วนไม่เคยได้รสชาติอย่างที่ผู้เฒ่าเว่ยหมักเลยสักครั้ง มีเพียงค้นพบว่าสุราของตนเองก็มีรสชาติเฉพาะเหมือนกัน แถมตอนนี้ยังเป็นสุราขึ้นชื่อที่มีคนต้องการมากมาย ความต้องการนั้นไม่ได้มาจากว่ารสชาติมันเลิศเลอจนเกินเหตุ แต่อาจเพราะมีน้อยราคาจึงแพงขึ้นอีกเท่าตัว ความต้องการก็เลยสูงขึ้นเช่นกัน

     มิใช่กู่ซิงอีไม่เล็งเห็นจุดสำคัญที่จะทำให้ตนร่ำรวยขึ้นมาจากเรื่องนี้ แต่สามปีก่อนเคยทำมาแล้ว หมักเยอะขายเยอะ แต่กลายเป็นว่าคนได้ไปมักจะบอกว่าเป็นสุราของปลอม รสชาติไม่เหมือนที่เคยได้ลิ้มลอง

     ภายหลังเขาถึงได้เข้าใจว่าต้องหมักตอนไหน แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเหมือนเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสุราของเขาต้องอาบแสงจันทราในวันที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น

     ดังนั้นสุราที่ขึ้นชื่อของเขาจึงถูกขนามนามว่า ‘สุราแสงจันทร์’

     และเหนือสิ่งอื่นใดการหมักให้ได้รสชาติดีก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาด้วย เช่นวันนี้ที่เขารู้สึกไร้กังวลเลยสามารถหมักออกมาได้เยอะกว่าปกติ

     เวลานี้บนท้องนภาปลอดโปร่งมีเมฆลอยเคลื่อนตัวเบาบาง ดวงจันทร์ส่องสกาวสว่างไสว แต่น่าเสียดายที่แสงจันทร์สว่างเจิดจ้าจนเกินไป ดวงดาวดวงน้อยจึงถูกบดบังรัศมีไปเกือบหมด

     กู่ซิงอีฮัมเพลงเสียงเบา มือปลดน้ำเต้าข้างเอวที่ใส่สุราไว้ออกมายกกระดกไปอึกใหญ่ ก่อนจะหงายหลังลงบนแคร่ นอนห้อยขากระดิกเท้าตามจังหวะเพลงในลำคอ

     ผมดำที่มัดไว้ลวก ๆ เป็นทรงสูงแผ่กระจายไม่เป็นทิศไม่เป็นทาง แต่เพราะใบหน้ารูปงามเป็นทุนเดิม ทั้งเกลี้ยงเกลาและได้สัดส่วน ไม่ว่าต่อให้เขาจะตีลังกานอนอย่างไรเสียก็ยังน่ามองอยู่ดี

     ดวงหน้ารูปงามเริ่มเคลือบสีแดงเจือจาง มิได้มาจากพิษของสุรา แต่มาจากออกแรงมากไป คนทั่วไปยามปกติสามารถหมักสุราได้วันละไม่กี่ไหใหญ่ ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่วันไหนอารมณ์ดีก็มักจะยั้งมือไม่อยู่ มีของในโรงเก็บของมากเท่าไรก็ลงมือทำมากเท่านั้น! ดังนั้นสิบกว่าไหที่เรียงรายรอบตัวจึงทำให้ใช้แรงไปไม่น้อย

     สายลมเย็นย่ำของค่ำคืนพัดผ่านมา กู่ซิงอีหลับตาพริ้มเพื่อพักผ่อนชั่วครู่เท่านั้น มิได้หวังจะหลับลึกเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะเขายังต้องเก็บสุรากลับเข้าที่ก่อนแสงแรกของวันพรุ่งนี้จะมาเยือน

     ยามเมื่อได้หลับตาลงแล้วเสียงลมกลับชัดเจนกว่าเดิม กู่ซิงอีได้ยินเสียงลมแทรกผ่านกิ่งไม้ดังมาไม่ขาด ราวกับกำลังหยอกล้อใบไม้ที่เหลือไม่มากเท่าไรบนหัวของเขา

     ต้นไม้ใหญ่กลางลานบ้านที่คอยให้ร่มเงากับบ้านหลังเล็กของเขามาเสมอ หลายเดือนก่อนยังคงผลิใบเต็มต้น ไม่นานกลับคล้ายสั่งลา แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า ‘ไว้พบกันใหม่’ เพราะมันเป็นต้นไม้ใหญ่อายุมากย่อมไม่ตายโดยง่าย ต่อให้เหมันต์ฤดูปีนี้ที่ใกล้มาเยือนมันก็จะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี

     จวบจนกระทั่งเขาอดทนอีกนิด ไม่กี่เดือนก็จะพบใบน้อย ๆ ของมันแตกยอดออกมาใหม่ ดังนั้นต่อให้เวลานี้มันโรยรากู่ซิงอีก็เชื่อมั่นว่าเดี๋ยวมันก็กลับมาอีกครั้ง

     สิ่งที่เขาไม่พอใจที่สุดก็คงจะเป็นต้นพลับที่อยู่หน้าทางออกของประตูบ้านต้นนั้นกระมัง ปีก่อนไม่ออกผลให้เขาสักผล ปีนี้ปลายทางของมันก็ยังคงไม่ต่างจากเดิม

     “คอยดูเถอะ” เขายกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นกลางอากาศทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ก่อนจะชี้ไปในทิศทางที่ต้นพลับยืนต้นสูงเลยความสูงของตัวเขาไปเพียงนิด “ปีหน้าถ้าไม่ออกผล เจ้าตายแน่!”

     ปีนี้นอกจากต้นที่มีเพียงกิ่งแล้วเหลือสิ่งใดให้เขาอีก เปลืองน้ำของบ้านผู้อื่นเหลือเกิน

     กล่าวจบกู่ซิงอีก็ถอนหายใจ คิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยวันนี้ก็อากาศดี แสงจันทร์เด่นชัด ช่วงเวลาที่ดำเนินไปในแนวทางนี้ต่อไปย่อมเป็นวันที่สงบสุขของเขา!

     อีกฝั่งกลางเมืองจางที่จวนใหญ่ของตระกูลว่าน ดึกดื่นค่อนคืนไปแล้วก็ยังมีคนผู้หนึ่งมิได้หลับใหลเช่นกัน

     ว่านฟู่เฉิงนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ขาสองข้างถูกผ้าไหมมันเงาผืนหนึ่งปิดคลุมไว้ เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่างมาสักพักแล้วเพราะนอนไม่หลับ ยามนี้กำลังเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงบนท้องนภา เริ่มแรกที่เขามานั่งมองมันยังอยู่อีกฝั่งแต่ตอนนี้เริ่มขยับไปอีกทางแล้ว

     ว่านฟู่เฉิงรู้ว่าพรุ่งนี้ยังต้องจัดการงานอีกเยอะแต่เขาก็ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ยิ่งดึกลงไปมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้หวนนึกถึงเวลาเก่า ๆ ขึ้นมา นั่นคือช่วงที่ตนเองยังเดินเหินได้ดีก่อนจะล้มป่วยหนักจนพิการ

     ความรู้สึกของขาที่วิ่งหรือเดินจนเมื่อยเป็นอย่างไรนั้นเขาแทบจำไม่ได้แล้ว สิ่งเหล่านั้นที่ผ่านมานานหลายปีล้วนกลายเป็นเพียงความทรงจำที่พร่าเลือน สองขาแม้จะยังมีความรู้สึกอยู่บ้างแต่ก็คล้ายด้านชาจนเคยชินไปเสียแล้ว

     ยามนี้มีเพียงเรื่องหนึ่งที่จุกอยู่ในอกยากจะเอื้อนเอ่ยให้ผู้ใดได้ยินยล อีกส่วนคือความต้องการกลับไปเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นที่ยังคงติดค้างในใจ

     จวนตระกูลว่านเป็นจวนพ่อค้าที่ร่ำรวยติดอันดับต้นของแคว้นเหว่ย ดังนั้นย่อมมิใช่มีห้องหับเพียงไม่กี่ห้องหรือของมีค่าไม่กี่ชิ้นแบบบ้านคนมีฐานะทั่วไป จำต้องมีคนคอยตรวจตราตามเวลาเสมอ

     ในตอนนั้นบ่าวชายที่เดินตรวจจวนอยู่ก็สะดุดตาเข้ากับเรือนแห่งหนึ่งที่ไฟยังติดอยู่และบานหน้าต่างถูกเปิดไว้ แน่นอนย่อมรู้ว่าที่ตั้งของเรือนซึ่งติดกับลานว่างนั้นเป็นที่อยู่ของผู้ใด เขาจึงเดินเข้ามาดูและได้เจอเจ้านายของตนยังคงนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างที่คาดไว้

     “คุณชาย ดึกมาแล้ว ให้บ่าวช่วยท่านกลับไปที่เตียงดีหรือไม่ขอรับ” เขากล่าวถามด้วยความระมัดระวัง เพราะคุณชายว่านมักไม่ชอบให้ใครทำเหมือนว่าตัวเองพิการจนต้องคอยพึ่งพาคนอื่นตลอด

     แต่ด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากร่างกายที่ผอมบางของคุณชายก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะหมดแรงในช่วงค่ำจนไม่มีแรงขยับเก้าอี้รถเข็นกลับไปด้านในด้วยตัวเองได้ บ่าวชายคนนี้จึงเอ่ยถามเพราะอยากช่วยจริง ๆ

     “ไม่เป็นไร” ครั้งนี้ว่านฟู่เฉิงไม่ได้โวยวายเหมือนเมื่อก่อนตอนที่เพิ่งเดินไม่ได้ในช่วงแรกอีกแล้ว กลับสุขุมมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว เขาเอ่ยเนิบนาบออกไปว่า “ไปทำงานของเจ้าต่อเถิด”

     “ขอรับคุณชาย” บ่าวชายรับคำเสร็จก็เดินตรวจเวรยามต่อ และคิดว่าอีกสักพักจะแวะมาดูใหม่ หากคุณชายเผลอหลับไปตนเองจะได้แอบปิดหน้าต่างให้ แต่คงไม่ได้เข้าไปช่วยขยับย้ายคุณชายเข้าไปที่เตียงนอนเพราะเกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของคุณชายเข้า คงต้องปล่อยไว้บนรถเข็นเช่นนั้น

     ว่านฟู่เฉิงหลับตาลงพักสายตา ชั่วขณะนั้นสายลมระลอกหนึ่งก็พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เป็นความเย็นสบายที่ปลอดโปร่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของคนพิการเช่นเขาดีขึ้นเท่าไรนัก

                                                                           สารทฤดูมาเยือน

                                                                             สายลมเป็นใจ

                                                                         ด้ายแดงจึงเริ่มถักทอ

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ทั่วทั้งใต้หล้า ข้ามองหาเพียงเจ้า   ตอนพิเศษ บทส่งท้าย ตราบจนนิรันดร์

    ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่‍ซิง‍อีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ‍ๆ‍ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่‍ซิง‍อีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่าน‍ฟู่‍เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยว‍อี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่าน‍ฟู่‍เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่‍ซิง‍อีซบคางลงที่ไหล่ของว่าน‍ฟู่‍เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่าน‍ฟู่‍เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่‍ซิง‍อีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่าน‍ฟู่‍เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ

  • ทั่วทั้งใต้หล้า ข้ามองหาเพียงเจ้า   ตอนพิเศษ 10 กาลก่อนท่านเป็นคนเอ่ย ว่าข้าไร้มารยาท

    หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ‍!‍ “เห็นเสี่ยว‍อีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ‍!‍ “เมื่อ‍ครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ‍!‍ แล้วเสี่ยว‍อีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่าน‍ฟู่‍เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่‍ซิง‍อีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก

  • ทั่วทั้งใต้หล้า ข้ามองหาเพียงเจ้า   ตอนพิเศษ 9 ถูกจับได้เสียแล้ว

    ด้วยเพราะรู้ว่ากู่‍ซิง‍อีหลับลึกขนาดไหน ว่าน‍ฟู่‍เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่‍ซิง‍อีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่‍ซิง‍อีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณ‍ชาย‍ว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ‍ๆ‍ หรือไม่” ว่าน‍ฟู่‍เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่‍ซิง‍อีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ‍ๆ‍ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ‍ๆ‍ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร

  • ทั่วทั้งใต้หล้า ข้ามองหาเพียงเจ้า   ตอนพิเศษ 8.2 เทศกาลฉีเฉียวมาเยือนอีกครา

    รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยว‍อี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่าน‍ฟู่‍เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่‍ซิง‍อีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่‍ซิง‍อีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่าน‍ฟู่‍เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่‍ซิง‍อีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ‍ๆ‍ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้

  • ทั่วทั้งใต้หล้า ข้ามองหาเพียงเจ้า   ตอนพิเศษ 8.1 เทศกาลฉีเฉียวมาเยือนอีกครา (4.4)

    อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่าน‍ฟู่‍เฉิงและกู่‍ซิง‍อีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ‍ๆ‍ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระ‍กูล‍ว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่‍ซิง‍อีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระ‍กูล‍ว่านได้ตกอยู่ในมือกู่‍ซิง‍อีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ‍ๆ‍ ทว่าเซี่ย‍หลี่‍จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระ‍กูล‍ว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่าน‍ฟู่‍เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่‍ซิง‍อีไม่พอใจอีกด้วย ‍!‍ ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่‍ซิง‍อีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่าน‍ฟู่

  • ทั่วทั้งใต้หล้า ข้ามองหาเพียงเจ้า   ตอนพิเศษ 8.1 เทศกาลฉีเฉียวมาเยือนอีกครา (3+4.)

    “ขอรับ ‍!‍” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉี‍หย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ‍ๆ‍ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณ‍ชาย‍ว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ‍!‍ จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนาย‍ท่าน‍เซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อ‍ครู่ก็คือฉี‍หย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ‍ๆ‍ เซี่ย‍หลี่‍จวินหันมองว่าน‍ฟู่‍เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณ‍ชาย‍ว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status