“อาอี อาอี!”
รุ่งอรุณเพิ่งมาเยือนไม่นาน ท้องนภาเริ่มอาบย้อมสีส้มแค่บางส่วน เสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าประตูบ้านของกู่ซิงอีที่ตั้งอยู่ท้ายเมืองแล้ว
เจ้าของบ้านยังไม่ทันตื่นเต็มที่ก็ถูกเสียงเรียกอันคุ้นเคยปลุกขึ้นมาจากภวังค์แห่งการหลับใหล
นั่นคือเสียงของเซี่ยลู่หลินสหายคนสนิทของตนเองที่กู่ซิงอีไม่มีทางจำผิด
ร่างสูงเดินงัวเงียมาตามเสียงเรียก บานประตูบ้านถูกคนที่อยู่อีกฝั่งทุบจนสั่นคลอนไปหมด คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย เมื่อเปิดประตูออกแล้วเขาจึงพูดว่า “เสี่ยวลู่ เจ้ามาตะโกนหน้าบ้านผู้อื่นแต่เช้าขนาดนี้มีเรื่องด่วน...” กู่ซิงอียังไม่ทันพูดจบ เงาเล็กที่อยู่ตรงหน้าก็กระโจนเข้าหาเขา จับแขนทั้งสองข้างของเขาแน่นแล้วเขย่าไปมา
“อาอี! อาอี!” เซี่ยลู่หลินกล่าวด้วยความร้อนรน “เจ้าต้องช่วยข้า ต้องช่วยข้า!” แต่ละคำที่กล่าวมาล้วนแทบฟังไม่ออก
กู่ซิงอีไม่ตกใจอะไรมากนัก ปกติเซี่ยลู่หลินก็เป็นกระต่ายน้อยขี้ตื่นตูมอยู่แล้ว และแถมยังชอบโวยวายอีกด้วย ดังนั้นท่าทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่แปลกก็คือการที่เสี่ยวลู่มาหาเขาเช้าตรู่ขนาดนี้ต่างหาก เพราะจวนสกุลเซี่ยตั้งอยู่เกือบกลางเมือง หากนั่งรถม้ามาที่บ้านเขาก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อ [1] แต่ดูจากหยาดเหงื่อที่อาบรอบไรผมของคนตรงหน้าแล้วกู่ซิงอีก็คาดว่านางคงวิ่งมาเป็นแน่ [1] 1 เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาที
“เจ้าใจเย็นก่อน” เพราะเริ่มทนแรงเขย่าไม่ไหวในที่สุดกู่ซิงอีก็ยอมเอ่ยปากออกมาพร้อมกับจับสหายของตนถอยหลังออกไปนั่งที่แคร่ไม้ไผ่ด้วยกัน
เซี่ยลู่หลินนั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่ได้ก็รีบกล่าวสรุปเรื่องในใจของตนเองออกไป “บิดาจะให้ข้าแต่งงานกับคุณชายว่าน!”
“ตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยอันดับต้นนั่นน่ะหรือ” กู่ซิงอีไม่แปลกใจเพราะบ้านของเสี่ยวลู่ก็เป็นตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยเหมือนกัน คนมีเงินย่อมแต่งกับคนมีเงินด้วยกันอยู่แล้ว เซี่ยลู่หลินอายุน้อยกว่าตนหนึ่งปีก็จริงแต่ช่วงเวลานั้นอย่างไรก็ต้องมาถึงในสักวัน ย่อมมิใช่ว่าตัวเขาไม่เคยคิด ดังนั้นกู่ซิงอีในตอนนี้จึงยังไม่ได้มีท่าทางแตกตื่นเท่าใดนัก
“ใช่!” เซี่ยลู่หลินร้อนใจยิ่งนัก ยิ่งเห็นกู่ซิงอีเฉยชาไม่ตกใจก็ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม
“แล้วเจ้าจะตื่นตระหนกไปไย เขาไม่รูปงามหรือ” กู่ซิงอีถามต่ออย่างใจเย็น ความจริงแล้วก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องหน้าตาของผู้อื่นเท่าไรหรอก
“รูปงามยิ่งนัก!” อีกฝ่ายตอบได้ทันที
กู่ซิงอีพอได้ฟังคำตอบก็ตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง
“เสเพลหรือ?” คนร่ำรวยส่วนใหญ่ชอบมีนิสัยมักมากในกาม พากันเที่ยวร่ำสุราที่หอรื่นรมย์ในย่านโคมแดงเป็นประจำ
“เอาการเอางานยิ่งกว่าใคร!” เซี่ยลู่หลินแทบไม่ต้องคิดก็ตอบได้ในทันที
กู่ซิงอีเงียบไปชั่วอึดใจ สรรหาเรื่องที่ทำให้สหายตนปฏิเสธคุณชายว่านมาสองข้อแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเป็นเจ้าบ่าวในอุดมคติของสตรีหลายคนด้วยซ้ำไป “...เจ้าชู้?”
เซี่ยลู่หลินส่ายหน้าไปมาจนผมสองข้างขยับตามแรงเหวี่ยงดูคล้ายลูกป๋องแป๋ง
กู่ซิงอีถึงจะรักสันโดษแต่เป็นคนหมักสุราที่ขึ้นชื่อจึงรู้จักคนกว้างขวาง แม้ผู้คนจะไม่รู้จักหน้าตาของเขาเพราะเขาฝากขายสุราผ่านหอสุราเพียงดาวและก็ให้หวังเฉียวนำไปขายให้ก็ตาม แต่ตัวเขากลับรู้จักเกือบทุกคนที่มีชื่อเสียงของเมืองจาง ดังนั้นย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายว่านมาบ้าง ถึงจะไม่รู้รูปร่างหน้าตาที่แน่ชัดแต่รู้แน่ว่าสภาพร่างกายคุณชายว่านเป็นอย่างไร
ความจริงกู่ซิงอีไม่อยากถามสหายของตนเรื่องนี้ว่าไม่แต่งงานกับคุณชายว่านเพราะสภาพร่างกายของเขาหรือเปล่า เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าสหายของตนมีนิสัยอย่างไร
เซี่ยลู่หลินนั้นแม้จะเป็นคุณหนูบ้านเศรษฐีแต่ก็ไม่ถือตัว นิสัยร่าเริง มีคุณธรรม ใจบุญสุนทาน ดังนั้นคำถามข้อสุดท้ายที่เป็นข้อเสียของคุณชายว่านกู่ซิงอีก็รู้คำตอบที่แน่ชัดอยู่แล้วทว่าก็ยังอยากถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“เช่นนั้น...เพราะเขาพิการหรือ”
เซี่ยลู่หลินแม้จะยังคงมีสีหน้าเศร้าหมองอยู่แต่ก็มิได้แตกตื่นตกใจเหมือนคราแรกที่มาที่นี่แล้ว อาจด้วยเพราะมีคนคอยรับฟังข้างกายจิตใจที่หนักอึ้งจึงเบาบางลงไปได้บ้าง พอถูกถามมาถึงตรงนี้นางก็ส่ายหน้าตอบกลับไปเล็กน้อย
กู่ซิงอีก็พรูลมหายใจยาวเหยียด รู้อยู่แล้วว่าเสี่ยวลู่เป็นคนอย่างไร ย่อมไม่ใช่เพราะดูแคลนคุณชายว่านเนื่องจากอีกฝ่ายพิการเป็นแน่
กู่ซิงอียกมือขึ้นลูบหัวคนข้างกายแผ่วเบา “เช่นนั้นทำไมเล่า...” เขาเงียบไปสักพักเพื่อเฝ้ามองสีหน้าด้านข้างของเสี่ยวลู่ ก่อนจะคล้ายเข้าใจบางอย่างขึ้นมา “อย่าบอกนะ ว่าเจ้ามีคนที่ชอบพอแล้ว!” เขารีบจับเซี่ยลู่หลินหมุนตัวมาหาตนเอง
ในดวงตากลมโตของอีกฝ่ายที่ใสกระจ่าง แต่ปากกลับคว่ำตกคล้ายจะร้องไห้ ดวงหน้าน้อยก็พยักหน้าหงิกอยู่หลายที
กู่ซิงอีไม่ได้ตกใจที่ตนเดาถูก แต่ตกใจที่นางไม่เคยบอก!
“ข้ามิได้ไม่อยากบอกเจ้านะ” เซี่ยลู่หลินเข้าใจดีว่ากู่ซิงอีตกใจเรื่องอะไร นางอธิบายเสียงสั่นเครือ “เพียง...เพียงแค่กลัวว่าทุกอย่างจะยังไม่เข้าที่เข้าทาง หากบอกเจ้าไปแล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมาก็กลัวจะเสียใจเกินไป ข้าจึงรอให้ทุกอย่างแน่ชัดก่อน แต่ยังไม่ทันไรก็เกิดเรื่องเสียแล้ว ฮึก” ดวงตาคู่สวยเริ่มคลอไปด้วยน้ำตาเสียแล้ว
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่