หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก
“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน
“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้
“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง ตลอดหลายปีมานี้อีกฝ่ายได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาตำราสมุนไพรรวมไปถึงตำราศาสตร์ความรู้ในด้านอื่น
“ข้าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับคำดูถูกตลอดเวลาหลายปีนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ข้าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของท่านแม่หรือตระกูลหวังไปตลอดชีวิตได้...”
“แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย เจ้าก็ยินดีอย่างนั้นรึ?” เยว่ซินจ้องเข้าไปในดวงตาของบุตรชายอันเป็นที่รัก พร้อมกับถามกลับไปด้วยความจริงจัง
“ข้ามิกลัวขอรับ! ในยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับนับถือเหนือผู้คน ต่อให้เส้นทางผู้ฝึกตนของข้าอาจจะเริ่มต้นช้าหรือมีอุปสรรคขัดขวางมากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวดมากเพียงใดก็จะมุ่งมั่นอดทน ข้าเชื่อว่าผลลัพธ์จากความเพียรพยายามต้องออกมาดีเป็นแน่...”
”ท่านแม่ได้โรดสนับสนุนข้าด้วยขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยออกมาพร้อมกับคุกเข่าตรงหน้ามารดาของตนด้วยสายตามั่นคงแน่วแน่กับสิ่งที่ตนเอ่ยขึ้น
เยว่ซินที่เห็นหนิงอ้ายคุกเข่าคำนับพร้อมกับใบหน้าจริงจังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น นางรู้สึกภูมิใจในบุตรชายเป็นอย่างมาก หลังจากที่เด็กหนุ่มหายจากอาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ร่างกายได้ฟื้นฟูขึ้นจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่เคยซีดเซียวหม่นหมองได้ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าสดใสเฉกเช่นคนสุขภาพดี ในตอนนี้อีกฝ่ายดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาที่มากยิ่งขึ้นเหมาะสมกับวัยยิ่ง
แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายได้ร้องขอจะทำให้นางเป็นห่วงแต่ด้วยเหตุผลหลายสิ่งอย่างที่ประกอบกันแล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น ตัวของนางเองและตระกูลหวังย่อมไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายไปได้ตลอดดังว่า อีกทั้งในตอนนี้หากนางจะกล่าวห้ามอะไรคงไม่ทันแล้วเป็นแน่เพราะเจ้าตัวคงใช้เวลาหลายวันคิดตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้วจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้
เส้นทางของผู้ฝึกตนนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปล้วนต้องการผลักดันตัวเองเข้าสู่วิถีนี้ ด้วยถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงเกียรติน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับขั้นต่ำที่สุดหรือจะระดับไหนก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกตนล้วนมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของพลังวิญญาณในร่างกายซึ่งแบ่งออกเป็นสิบขั้นย่อยในแต่ละระดับและมีทั้งหมดสิบห้าขั้นใหญ่ ทันทีที่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จจะถูกเรียกขานว่าผู้ฝึกตน สำหรับวิญญาณยุทธ์จะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไป ในเขตขั้นนี้สามารถสังหารสัตว์อสูรเพื่อช่วงชิงกระดูกวิญญาณเข้าประสานกับร่างกายได้ โดยที่ผู้ฝึกตนจะมีราชทินนามหรือคำเรียกขานตัวตนดังนี้
ราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับ 1-10
ราชทินนามขุนพลวิญญาณระดับ 11-19
ราชทินนามขุนนางวิญญาณระดับ 20-29
ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณระดับ 30-39
ราชทินนามเทวะวิญญาณระดับ 40-49
ราชทินนามราชันวิญญาณระดับ 50-59
ราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณระดับ 60-69
ราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณระดับ 70-79
ราชทินนามพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 80-89
ราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 90-100
ราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 101-119
ราชทินนามมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 120-130
ราชทินนามเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 130-150
ราชทินนามมหาเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 150-170
ราชทินนามเทพบรรพกาล (ตำนาน) ระดับ170 เป็นต้นไป
แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะแบ่งออกเป็นดังนี้
ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์
ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์
ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์
ว่ากันว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงเขตขั้นที่90 หรือราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณเป็นต้นไป พวกเขาเหล่านั้นไม่ต่างไปจากบุคคลในตำนานที่ไม่อาจมีผู้ใดเสมอเทียบเคียงได้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในโลกยุทธภพต่างมีทั้งผู้คนธรรมดาและผู้ฝึกตนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างสงบสุข แต่ก็มีผู้ฝึกตนบางคนที่ทะนงตัวว่าตนแข็งแกร่งเที่ยวไล่ข่มแหงรังแกคนธรรมดาจนต้องให้หน่วยควบคุมเข้ามาคอยตรวจสอบอยู่เสมอ ที่สำคัญการปลุกพลังวิญญาณทุกคนสามารถทำได้ไม่มีการปิดกั้นโอกาส ทั้งคนธรรมดาและลูกหลานของผู้ฝึกตนแต่สุดท้ายก็ใช่ว่าจะสำเร็จเป็นไปตามดั่งใจหวัง...”
"การปลุกพลังวิญญาณจำเป็นต้องปลุกในช่วงอายุเจ็ดปีแต่ไม่ควรเกินช่วงอายุสิบห้าปีจึงจะเป็นการดีที่สุด เพราะหากว่ายิ่งปลุกพลังวิญญาณในตอนที่อายุมากขึ้นเท่าไหร่ความบริสุทธิ์ของวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิด รวมไปถึงความสำเร็จในการปลุกพลังวิญญาณก็จะยิ่งลดลงหายไปเท่านั้น...”
“หลังจากทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จพลังวิญญาณหรือพลังลมปราณภายในจะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่ง ผู้ฝึกตนแต่ละระดับสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณได้สูงสุดตามพลังวิญญาณในขณะนั้น เช่นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณจะครอบครองกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรได้จะต้องมีอายุไม่เกิน4,000ปี แต่ถึงอย่างไรมีจำนวนไม่น้อยหากผู้ฝึกตนตั้งแต่ระดับขุนพลวิญญาณขึ้นไปหากไม่พบกระดูกวิญญาณที่สนับสนุนวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดได้อย่างเหมาะสมก็สามารถเลือกดูดซับกระดูกวิญญาณเหล่านี้ในภายหลังได้เช่นกัน”
“ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนต่างมีวิญญาณยุทธ์กันทั้งสิ้น ซึ่งวิญญาณยุทธ์แบ่งออกเป็นสามประเภทคือสัตว์อสูร ประเภทธรรมชาติและประเภทศาสตราวุธ อีกทั้งแบ่งออกเป็นสี่สายดังนี้คือสายสนับสนุน สายโจมตี สายป้องกันและสายควบคุมโดยปกติแล้วผู้ฝึกตนจะมีเพียงหนึ่งวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรากฏผู้ฝึกตนที่มีมากกว่าหนึ่งวิญญาณยุทธ์ เพราะส่วนมากแล้วบุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นแต่ผู้ที่มีชื่อเสียงในยุทธภพกันทั้งสิ้น”
“นอกจากที่ผู้ฝึกตนจะแบ่งระดับขั้นพลังเพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งแล้ว ในร่างกายของผู้ฝึกตนหรือแม้กระทั่งคนธรรมดาล้วนประกอบไปด้วยปราณธาตุดิน ปราณธาตุน้ำ ปราณธาตุลม ปราณธาตุไฟเป็นสี่ธาตุพื้นฐานอย่างที่เจ้ารู้ อีกทั้งยังมีสองปราณธาตุพิเศษคือปราณธาตุไม้และปราณธาตุทองที่สืบทอดจากเชื้อสายกษัตริย์ บ้างก็ว่ายังมีอีกหนึ่งปราณธาตุพิเศษที่ไม่พบเจอมานานแล้วคือปราณธาตุพิษ และยังมีอีกถึงสองปราณธาตุในตำนานนั่นคือปราณธาตุแสงและปราณธาตุมืด สิ่งเหล่านี้มีการบันทึกไว้ให้รุ่นหลังได้รับรู้โดยทั่วกันสืบมา สำหรับสีของวิญญาณยุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณธาตุต้นกำเนิดที่ครอบครอง”
ในโลกของผู้ฝึกตนแบ่งออกเป็นสี่ปราณธาตุธรรมดาดังนี้
ปราณธาตุดิน (สีน้ำตาลเหลือง -สีน้ำตาลส้ม -สีน้ำตาลเเดง)
ปราณธาตุน้ำ (สีฟ้า -สีคราม -สีน้ำเงิน)
ปราณธาตุลม (สีเขียวอ่อน -สีเขียวน้ำตาล -สีเขียวเข้ม)
ปราณธาตุไฟ (สีเหลือง -สีเหลืองส้ม -สีส้ม)
แบ่งเป็นสามปราณธาตุพิเศษดังนี้
ปราณธาตุพฤกษา (ไม้) (สีน้ำตาลอ่อน -สีน้ำตาลเเดง -สีน้ำตาลเข้ม)
ปราณธาตุทอง (โลหะ) (สีขาวทอง -สีเงินทอง -สีทอง)
ปราณธาตุพิษ (สีเหลืองดำ -สีเขียวดำ -สีม่วงดำ)
และแบ่งเป็นสองปราณธาตุในตำนานดังนี้
ปราณทิวาธาตุ (แสง) (สีเหลืองทอง -สีส้มทอง -สีเเดงทอง)
ปราณรัตติกาลธาตุ (มืด) (สีดำขาว -สีดำเทา -สีดำทอง)
โดยปกติผู้ฝึกตนจะสามารถใช้วิญญาณยุทธ์ได้เพียงหนึ่งเท่านั้น โดยเชื่อว่าจะเป็นการสืบทอดทางสายเลือดจากฝั่งบิดาหรือฝั่งมารดาของตน แต่ใช่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจะมีวิญญาณยุทธ์ได้เพราะหากว่าในร่างกายไม่มีความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้วิญญาณยุทธ์ได้เช่นกัน
สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณยุทธ์และพลังวิญญาณ หากไร้ซึ่งพลังวิญญาณแล้ววิญญาณยุทธ์ก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งธรรมดาไร้ค่า เป็นเพียงวิญญาณยุทธ์ขยะเพียงเท่านั้น แต่เมื่อใดที่ผู้ฝึกตนสามารถทะลุเขตขั้นระดับขุนพลวิญญาณและมีระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มสูงขึ้น วิญญาณยุทธ์ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปด้วยได้เช่นกัน...
"ผู้ฝึกตนเเต่ละคนจะสามารถใช้ได้สูงสุดเพียงหนึ่งปราณธาตุที่ได้รับสืบทอดมาจากทางฝั่งบิดาและจากฝั่งมารดาไม่ทางใดทางหนึ่ง และน้อยเสียยิ่งกว่านักหากจะพบเจอผู้ฝึกตนที่สามารถมีปราณธาตุได้มากกว่าหนึ่งขึ้นไป เพราะหากในร่างกายไม่มีซึ่งความสมดุลมากเพียงพอก็จะไม่สามารถเรียกใช้ปราณธาตุได้แต่อย่างไรแล้วก็ใช่ว่าทุกปราณธาตุจะเกื้อกูลกันเสมอไปเพราะในบางครั้งผู้ถือครองสองปราณธาตุบางคนก็หักล้างกันจนทำร้ายผู้ถือครองเสียเองก็มีให้เห็น...”
“หากทำการปลุกพลังวิญญาณในช่วงอายุที่มากขึ้นเท่าไหร่ความเจ็บปวดในขณะนั้นก็จะทวีเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน...ในยามนี้เจ้าอายุสิบสี่ปีถือว่าเกือบถึงเกณฑ์กำหนดในการปลุกพลังวิญญาณแล้ว หากว่าไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ เจ้าจะรับมือกับความผิดหวังอีกครั้งได้หรือไม่เล่า?" เยว่ซิถามกลับไปให้อีกฝ่ายได้ตัดสินใจอีกครั้ง
“ท้ายที่สุดแล้วจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตามตัวข้าล้วนยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่หากว่าข้าสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งเหนือผู้คนทั่วไปจนสามารถปกป้องตัวเองและดูแลท่านแม่ได้ต่อให้เส้นทางเดินหลังจากนี้ต้องพบเจอความเจ็บปวดหรืออุปสรรคเพียงใดข้าก็ยินดีทั้งสิ้นขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับมารดาด้วยความหนักเเน่นไม่หวั่นไหว
“อย่างไรก็ตามแต่ใช่ว่าทุกคนที่จะโชคดีสามารถใช้ถึงสองปราณธาตุได้เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับปราณธาตุจากฝั่งบิดามารดาของตนก็จริง แต่หากเกิดความไม่สมดุลกันก็จะสามารถใช้ได้เพียงแค่ปราณธาตุเดียว ส่วนอีกหนึ่งนั้นจะกลายเป็นปราณธาตุรองที่ต้องอาศัยโอสถระดับสูงในปลุกกระตุ้นให้สามารถใช้งานได้ไม่ต่างกับปราณธาตุหลัก” เย่วซินค่อย ๆ อธิบายให้หนิงอ้ายให้เข้าใจด้วยความใจเย็นเปรียบดั่งอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์
พรึบ!
วูบ!
วิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี สถิตร่าง!!!
เยว่ซินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเป็นท่วงท่าที่สวยงามพร้อมกับปลดปล่อยพลังวิญญาณของตนเองออกมา ก่อนที่จะปรากฏวงแหวนเวทย์อักขระเปล่งแสงรัศมีขึ้นโดยรอบพื้นที่ยืนอยู่ เหนืออุ้งมือซ้ายของนางได้ปรากฎเป็นบุปผาเพลิงสีเหลืองส้มขนาดเท่ากับลูกแก้วสามดอกที่ลอยวนไปโดยรอบฝ่ามือ คลื่นความร้อนระอุได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณนี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ราชทินนามของมารดาคือจักรพรรดิวิญญาณสายโจมตีระดับที่39 นี่คือวิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคีเป็นปราณธาตุไฟสายโจมตี เเต่ละปราณธาตุจะเเบ่งระดับความเข้มข้นออกเป็นสามขั้น สีเหล่านี้จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งที่ถือครองอยู่”
“นอกจากนี้แล้วผู้ฝึกตนยังสามารถดูดซับผลึกปราณธาตุเพื่อเพิ่มความเเข็งแกร่งของปราณธาตุต้นกำเนิดของตน และหากดูดซับกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรเข้ากับร่างกายก็จะสามารถเรียกใช้ทักษะความสามารถของสัตว์อสูรมาผสานเข้ากับการต่อสู้ได้เช่นกัน ซึ่งต้องเลือกกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรที่มีอายุสอดคล้องกับระดับพลังวิญญาณของตนด้วย เพราะหากว่ามีการประสานกระดูกวิญญาณที่มีอายุมากและข้ามระดับมากเกินไปก็อาจจะเกิดอันตรายชีวิตเลยทีเดียว...” เยว่ซินมองหน้าเด็กหนุ่มในขณะที่อธิบายพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย เพราะนางสัมผัสได้ว่าบุตรของนางมีชะตาที่รุ่งโรจน์เหนือกว่าผู้ใดจะก้าวข้ามถึงเขตขั้นนั้นได้เสมอเหมือน
“ผู้ฝึกตนสามารถเลือกเพิ่มคุณสมบัติลงไปในวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดได้ เช่นการเสริมความแข็งแร่งของร่างกาย การเพิ่มความทนทาน ความยืดหยุ่น แน่นอนว่าย่อมมีตัวเลือกมากมายที่จะเลือกใส่ลงไปในวิญญาณยุทธ์...”
“สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่าวิญญาณยุทธ์จะเป็นปราณธาตุใด ล้วนขึ้นอยู่กับวิธีการฝึกฝนและเส้นทางที่เราเลือกเดินทั้งสิ้น!”
“มารดาของเจ้าในยามนี้มิได้เชี่ยวชาญในเชิงยุทธ์ดั่งเช่นวันวานแล้ว แต่ถึงอย่างไรมารดาของเจ้าผู้นี้ได้รับมอบสมบัติของตระกูลหวังที่ส่งต่อกันมา คงถึงเวลาที่ต้องส่งมอบให้กับเจ้าเสียที...” เยว่ซินตอบกลับไปแต่ท้ายประโยคนั้นคล้ายกับว่าคุยกับตัวเองเสียอย่างนั้น
“กลับเข้าเรือนกันเถิด...มารดายังต้องเตรียมสิ่งของที่ท่านตาเจ้ามอบให้สำหรับการปลุกพลังวิญญาณให้กับเจ้า” หนิงอ้ายที่ตอนนี้พยายามเรียบเรียงข้อมูลและทำความเข้าใจในสิ่งที่ตนได้ฟังเมื่อสักครู่ เมื่อเห็นว่ามารดาเดินไปยังเรือนเล็กไปไกลแล้วเขาจึงเร่งความเร็วเดินตามไปในทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ใบหน้างดงามฉายรอยยิ้มเปล่งประกายถึงความสุขที่เอ่อล้นจนบ่าวรับใช้ในเรือนก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดังกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน
บ่าวรับใช้ที่อยู่โดยรอบของศาลาริมสระบัวเมื่อครู่ที่ได้ยินบทสนทนาของนายของตนทั้งสองต่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีที่แล้วตอนที่คุณชายของตนไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ นอกจากจะทำให้คุณชายน้อยเสียใจแล้วจากที่เคยเป็นเด็กที่ร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสเเต่กลับสุขภาพแย่ลงอีกทั้งยังกลายเป็นเด็กที่เงียบขรึมแทบไม่มีรอยยิ้ม เอาแต่ศึกษาตำราอยู่แต่ในห้องบางครั้งก็นั่งอยู่ตรงศาลาริมสระบัวทั้งวัน
อีกทั้งยังถูกนินทาจากบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นในจวน แทบจะไม่มีความเคารพคุณชายของตนเสียด้วยซ้ำ เคราะห์ดีเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังจากที่คุณชายไม่สบายและหายฟื้นจากไข้ ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมาถึงแม้จะพูดจาแปลก ๆ ไปบ้างแต่ก็กลับมาร่าเริงมีรอยยิ้มและซุกซนสมวัยอีกครั้ง นับว่าเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต