หยางเจี้ยนคิดขึ้นมาคราใดก็ให้รู้สึกโกรธมากจริงๆ
ห้องหอวันนั้นเดิมทีเป็นห้องนอนของหยางเจี้ยน เรือนที่ภรรยาพำนักอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเรือนหลักของเขา
การที่ชายหนุ่มเลือกนอนในห้องหนังสือทุกคืนเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะไป๋หมิงเยว่! นางได้สร้างบาดแผลในใจให้เขาอย่างสุดซึ้ง ยิ่งคิดหยางเจี้ยนก็ยิ่งอับอายและโกรธเกรี้ยวผสมปนเปจนหน้าดำคล้ำไปหมด
ความรังเกียจสายหนึ่งพุ่งปะทุเต็มทรวงอกทันที ภรรยาพระราชทานของเขานางนี้ทำอย่างไรก็ชอบไม่ลง!
ครู่หนึ่งเสียงของจิ้นเหอพลันดังทุ้มต่ำจากนอกห้อง
“ท่านแม่ทัพ สาวใช้เรือนฮูหยินใหญ่นำน้ำแกงบำรุงมาส่งให้ขอรับ”
หยางเจี้ยนรับเสียงเฉยชา “เข้ามา”
ประตูถูกเปิดออก จิ้นเหอรับน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยใหญ่จากสาวใช้มาวางลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเงียบๆ
หยางเจี้ยนยกน้ำแกงขึ้นดื่มอย่างไม่รู้รสชาติ ไม่นานต่อมาแม้รู้สึกร้อนผ่าวแปลกประหลาดก็มิสนใจ
สองเค่อ[1]ให้หลัง สาวใช้ของเรือนมารดาก็มาอีกครา จิ้นเหอส่งเสียงทุ้มต่ำอีกรอบ “ท่านแม่ทัพ ฤกษ์งามยามดี ได้เวลาเข้าหอแล้วขอรับ”
“อืม...” เสียงตอบรับของหยางเจี้ยนยังคงราบเรียบไร้ระลอกคลื่น ทว่ากายแกร่งกลับรู้สึกวูบวาบไปหมด
ประกายเพลิงรุมเร้าค่อยๆ ถูกจุดขึ้นในแววตา ความร้อนแรงค่อยๆ แผดแสงแรงกล้าออกมาเด่นชัด ท้ายที่สุดไฟอารมณ์ร้อนรุ่มก็ลุกท่วมร่าง
ย่อมเป็นน้ำแกงที่ถูกส่งมาจากเรือนมารดา
แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าผู้อาวุโสในจวนกำลังต้องการสิ่งใด เขาจึงลุกขึ้นออกจากห้องหนังสือ ตรงไปที่เรือนอนุคนงาม เพื่อทำตามปรารถนาของทุกคนในสกุลหยาง ความคาดหวังจากพวกเขา หยางเจี้ยนพร้อมแบกรับไว้อย่างไม่อิดออด
ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์สุกสกาว ดวงดาวพราวระยับ แสงสีนวลสบายตาสาดแสงทอดยาวลงมาส่องกระทบเรือนร่างสูงส่งของแม่ทัพบูรพา แลดูสง่างามหาใดเทียม
หยางเจี้ยนเดินอย่างสุขุมเยือกเย็นมาตามทางเดินกรวดขาวและแผ่นศิลา ทว่าภายในใจกลับกระตือรือร้นมาก
อาจเป็นปกติตามประสาของบุรุษวัยหนุ่มแน่นที่มีเลือดลมร้อนรุ่มเป็นทุนเดิม หรือเพราะฤทธิ์ยาในน้ำแกงที่ทำให้เพลิงอารมณ์ปะทุเดือดพล่านก็สุดรู้ ยามนี้ชายหนุ่มจึงก้าวเท้าหนักแน่นมั่นคง เดินตรงไปอย่างไม่มีลังเล
จิ้นเหอคนสนิทที่เดินตามหลังเริ่มรู้สึกไม่ว่าถูกต้อง
“ท่านแม่ทัพ!”
“หืม...”
“เอ่อ...ท่านเดินมาผิดทางแล้วขอรับ”
“...!?”
เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน หยางเจี้ยนจึงต้องเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมอง แล้วเขาก็เห็นเรือนสุดปลายทาง
เรือนนั้นยังคงมีแสงเทียนเล็ดลอดออกมาริบหรี่ ทว่าชั่วครู่ก็ดับมืดลงเฉกเช่นทุกวัน เป็นเรือนที่ยังคงไม่เคยจุดโคมแดงรอเขา
นางไม่เคยใส่ใจว่าเขาจะกลับเรือนหรือไม่?
น้ำแกงสักถ้วยก็ไม่เคยส่งไปให้ที่ห้องหนังสือ!
เป็นภรรยาประสาอันใด?
แววเกลียดชังสายหนึ่งวาบผ่านม่านตาไปอย่างลึกล้ำ หยางเจี้ยนสะบัดแขนเสื้อเสียงดังพรึบ เดินเลี้ยวไปอีกทางอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย ซักพักร่างสูงก็ค่อยๆ ห่างจากเรือนของภรรยาเอกอย่างหมิงเยว่ไปไกล
ใช้เวลาแค่ไม่นาน เบื้องหน้าในระยะสายตาเย็นชาของแม่ทัพหนุ่มจึงปรากฏเรือนเล็กท่ามกลางสวนพฤกษา มีการประดับประดาโคมแดงงามตา บ่งบอกได้ว่าสตรีด้านในยินยอมพร้อมปรนนิบัติเพียงใด
---[1] หนึ่งเค่อประมาณ 15 นาที
ซิงเยว่ยังไม่เดินเข้าไป เพียงยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยกิริยานิ่งเงียบภาพที่สะท้อนเข้าสู่ม่านตาคือบิดานั่งยิ้มในหน้า แววตาอบอุ่นมากล้น เขาก้มมองบุตรสาวผู้น่ารักน่าชังอย่างเอื้อเอ็นดูสุดหัวใจ ส่วนมารดานั่งพะเน้าพะนอลูบหลังเบาๆ กล่าวสนับสนุนบุตรสาวทุกวาจาเป็นภาพของครอบครัวรักใคร่ปรองดองอย่างแท้จริงซ่งหลันจวิ้นยังไม่มา คงกำลังอาบน้ำผลัดอาภรณ์ทว่าเพียงสามคนพ่อแม่ลูกนี้ก็เพียงพอแล้วถึงกระแสความรักที่ท่วมท้น“ท่านพ่อ นี่คือหยกพกที่พี่หย่งปินมอบให้ข้าเจ้าค่ะ”ซ่งหลันอวี้ส่งเสียงกังวานใสไม่ขาดสายพร้อมล้วงเอาหยกเนื้อดีขึ้นมาโอ้อวดแก่สายตาบิดาเป็นหยกพกพาประจำกายของหย่งปินจริงๆหญิงสาวกล่าวอีกว่า “พี่หย่งปินบอกว่าภายหน้าจะมีข้าเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว พวกท่านเป็นพยานนะ หากมีสตรีใดกล้าสานสัมพันธ์กับเขา ต้องช่วยกันขับไล่ไปให้ไกล”จูซิ่วเห็นเช่นนั้นรีบส่งเสริม “สองคนนี้สนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก เผยท่าทีต่อกันชัดเจน เห็นทีคงต้องหมั้นหมายกันเสียแล้วกระมัง ท่านพี่คิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ?”ซ่งเสวียนชิงพยักหน้ายิ้ม กล่าวคำว่าดีๆ ติดกันซ่งหลันอวี้เปลี่ยนท่าทีจากสดใสเป็นกระเง้ากระงอด “ท่านแม่ แต่พี่ซิงหลานมักจ
เรือนซิงเยว่หญิงสาวกลับเรือนมาออกแบบกลไกใช้ยิงขนาดเล็ก เหมาะสำหรับเด็กไว้ยิงไม่ต่างจากธนูคันใหญ่และหน้าไม้ สิ่งนี้มีช่องเก็บลูกดอกเล็กๆ บรรจุติดกับกลไก เพียงยึดให้มั่นแล้วพลิกมือจนเกิดเสียงดังกริ๊ก ลูกดอกคล้ายธนูจะเข้าสลัก ยิงได้ไกลในเสี้ยวเวลา“ข้าจะทำให้หลันจวิ้น”หญิงสาวบอกเสี่ยวชางผู้เป็นลูกมือประกอบกลไกตามคำสั่ง ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะในเรือน ขะมักเขม้นกับกลไกนี้“ดูเจ้าเชี่ยวชาญยิ่งนัก เคยประกอบกลไกหรือ?”ซิงเยว่ถามเสี่ยวชางที่มีท่าทางปราดเปรื่องเหลือเกิน มองประเมินภาพแบบร่างกลไกของนางเพียงแค่ชั่วครู่เดียว กลับประกอบออกมาได้อย่างคล่องแคล่วสมบูรณ์แบบหลิวไท่หยางแทบทำไม้ปักมือตนเองขณะเผลอไผลแสดงความสามารถของตนออกไป ทว่าพริบตาก็ยกยิ้มโง่งม แล้วกล่าวเยี่ยงคนเขลาว่า “เมื่อก่อนตอนยังเป็นเด็กชาย ไม่มีข้าวกิน ข้าจึงชอบเข้าป่าล่าสัตว์ ชอบการยิงนกตกปลา เคยทำกับดักมากมายขอรับ”แท้จริงกลไกเยี่ยงนี้ในกาลก่อนล้วนเป็นเขาเองที่เพียรศึกษาแล้วนำมาสอนนางเพื่อเพิ่มการจู่โจมยามปล้นชิง ซิงเยว่ยามนั้นชอบมาก นางนำไปดัดแปลงอย่างชาญฉลาด ทว่ามิได้ทำเพื่อการปล้นชิง หากแต่กลับทำแล้วนำไปขาย จากนั้นก็เรียก
เขาผู้นี้คือเสี่ยวชางหย่งปินถอนหายใจเฮือก นึกชังกับบ่าวชายคนสนิทของคุณหนูใหญ่เหลือเกิน แต่จนใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะผู้นี้คือคนโปรดของนางชายหนุ่มเบี่ยงตัวเลี่ยงออกหลบเจ้าท่อนไม้ยักษ์ เพื่อยื่นใบหน้าขาวๆ ของตนให้พ้นใบหน้าดำทะมึนของอีกคน ทว่าทำอยู่นานล้วนไร้ผล คนสูงสองคนจึงยืนประจันหน้ากัน หลิวไท่หยางไม่มีทางยอมให้บุรุษใดเกี้ยวพาซิงเยว่ทั้งนั้น ส่วนหย่งปินเองก็ไม่ยอมให้ใครขัดขวางทางรักของตนเช่นกัน ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอสตรีถูกใจเช่นนี้บุรุษแค่นเสียงลอดไรฟันใส่หน้ากันในระยะเผาขน“เจ้าทาสชั้นต่ำ หลบไป!” หย่งปินมองเหยียดหลิวไท่หยางแค่นเสียงเย็นชา “ข้าไม่ปล่อยคนถ่อยเข้าใกล้นางแน่!”“เจ้าว่าใครถ่อย?”“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามักแสดงท่าทีกับซ่งหลันอวี้” น้ำเสียงหลิวไท่หยางเจือกระแสเหยียดหยันแววตาเยียบเย็น “มีแต่คนถ่อยเท่านั้นที่ทำพี่น้องต้องแย่งชิง ช่างไร้ยางอาย!”“เจ้า!” หย่งปินยิ่งเดือดดาล เขายิ้มเยาะ “พี่น้องแย่งชิงแล้วอย่างไร ข้าย่อมดูแลได้ดีทั้งหมด ทุกคน!”หลิวไท่หยางหรี่ตา สุ้มเสียงหยาบกระด้างมากขึ้น “คิดอยากเลี้ยงดูสตรีทั้งเมืองก็เรื่องของเจ้า แต่ต้องไม่ใช่คุณหนูของข้า ไสห
เรือนใหญ่ในฮูหยินเอก“ท่านแม่ ข้าไม่ยอมนะ”ซ่งหลันอวี้มีท่าทีเกรี้ยวกราดอย่างน้อยครั้งจะเป็น หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่เคยมีผู้ใดทรงอิทธิพลมากพอจะทำให้นางเผยด้านนี้ออกมา ทุกวันเด็กสาวจึงมักจะแสดงออกได้อย่างน่ารักน่าชังงดงามจับตาทว่าวันนี้เมื่อพี่สาวปรากฏตัว ทุกสิ่งจึงไม่เหมือนเดิม“พี่ซิงหลานทำเกินหน้าที่ เกินหน้าเกินตาไปหรือไม่”เพราะภายในห้องยามนี้ไม่มีใคร ซ่งเสวียนชิงไปติดต่อกิจธุระด้านนอก จูซิ่วจึงมิได้ตำหนิติเตียนบุตรสาว“โธ่เอ๋ย! อวี้เอ๋อร์ เจ้าใจเย็นก่อน ซิงหลานไร้ตัวตนนานถึงสิบปี นางเพิ่งมาก็คงอยากแสดงอะไรให้ดูก็เท่านั้น มิได้เก่งกาจอะไรหรอก อีกอย่าง ท่านพ่อจะอย่างไรก็รักเจ้า รักหลันจวิ้น ผู้อื่นก็แค่บุตรสาวของอดีตภรรยาผู้ล่วงลับ”ยามเอ่ย สีหน้าจูซิ่วฉายแววเยาะหยันตามน้ำเสียง ไหนเลยยังมีแม่เลี้ยงใจดีที่เผยต่อธารกำนัลซ่งหลันอวี้แค่นเสียงฮึ “แต่ท่านพ่อรักมันมาก”จูซิ่วผลิยิ้มเย็น “ท่านพ่อแค่รู้สึกผิด เจ้าอย่ากังวล”แสงอรุณรุ่งของวันใหม่ ขับเน้นความผ่องใสให้ยิ่งเปล่งประกายเจิดจ้าไปทั้งลานฝึกซิงเยว่ไม่รู้ตัวว่าแม้แต่ยามที่นางยืนนิ่งๆ ทำเพียงมองประเมินผู้คนฝึกซ้อมเงียบๆ เรือนกายขาวเ
เพียงครู่ ซิงเยว่ก็ยิงธนูดอกแรกออกไปอย่างอ่อนแรง ผลที่ได้คือลูกธนูตกลงที่เบื้องหน้า ห่างจากเป้ามากมายนักจังหวะนั้นพลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักแฝงกระแสเย้ยหยันดังแว่วมาเป็นซ่งหลันอวี้ที่ยืนแสยะยิ้มสาแก่ใจอยู่ไม่ไกลซิงเยว่ไม่สนใจ หลิวไท่หยางยิ่งไม่ให้ค่า เขาหันไปหยิบลูกธนูมาอีกทั้งกระบอกไม้ไผ่“คุณหนูลองยิงใหม่”ซิงเยว่หยิบลูกธนูมายิงอีกคราคราวนี้ลูกธนูเข้าเป้าทันทีอย่างน่าอัศจรรย์หญิงสาวหยิบลูกธนูมายิงอีกครั้ง คราวนี้ยิงทีเดียวสองดอกและเข้าเป้าทั้งสองดอก นางหยิบมาอีกสามดอก เสียงฉึกดังขึ้นติดๆ กันในพริบตาหญิงสาวยิงเข้าเป้าตรงจุดสีแดงทีเดียวทั้งสามดอกเท่านั้นยังไม่พอ คราวนี้ซิงเยว่หยิบลูกธนูมาถึงสี่ดอก นางกางนิ้วหนีบลูกธนูด้วยมือขวา มือซ้ายกำด้ามคันธนูแน่น ก่อนพลิกเป็นแนวราบขนานกับช่วงบ่า ยกขึ้นเล็กน้อยช้าๆจังหวะที่ม่านตาหรี่ลงนางยิงส่งไป รวดเร็วดุจสายฟ้าเสียงฉึกๆ ดังติดๆ กันอีกครา ธนูแต่ละดอกเข้าเป้าที่ตั้งเรียงรายทั้งหมดสี่เป้าด้วยกันนับเป็นฝีมือก้าวกระโดดที่ทำคนถึงขั้นตื่นตะลึง เหล่าบุรุษถึงกับทึ่ง อึ้งกันทั้งลานฝึก เงียบกริบเลยทีเดียวซิงเยว่ยืนมองลูกธนูนิ่งๆ นึกชื่นชมผลงา
ซิงเยว่พลิกคันธนูไปมา คลึงลูกธนูในมืออีกครู่หนึ่ง เพื่อทำความรู้จัก เพราะนางไม่แน่ใจนักว่าเคยยิงธนูหรือไม่หลิวไท่หยางขยับกายเบี่ยงออกด้านขวา เพื่อให้นางเห็นเป้าในระยะสายตาได้ชัดเจน “คุณหนู เป้าอยู่ทางนั้น”หญิงสาวละสายตาจากลูกธนูมองตามคำ “อ้อ...”จังหวะนั้นบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา กล่าวทักทายด้วยสุ้มเสียงทุ้มนุ่ม “คุณหนูใหญ่คงยังไม่คุ้นชินธนูกระมัง ให้ข้าคอยดูแลชี้แนะอย่างใกล้ชิดดีหรือไม่?”เขาผู้นี้มีฐานะเป็นถึงรองหัวหน้าสำนักคุ้มภัย ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงเพรียว บุคลิกท่วงท่าสง่างามนักหลิวไท่หยางขมวดคิ้ววูบ รีบเบี่ยงตัวมายืนบังร่างของซิงเยว่จนมิด แววตาดำจัดเย็นชามาก ดั่งกลัวใครมาพรากคนสำคัญไปบุรุษผู้เดิมจ้องบ่าวชายด้วยสายตากังขา เขาคิดไม่ถึงว่าในจวนซ่งจะซื้อทาสได้ดี มีบุรุษที่ตัวโตโดดเด่นถึงเพียงนี้ชายหนุ่มทั้งสองยืนตระหง่านจ้องหน้ากันเงียบงัน บดบังสตรีผู้หนึ่งจนคล้ายถูกปราการหินกลืนหายซิงเยว่ยืนนิ่งไม่ว่าอะไร เพียงปล่อยให้เสี่ยวชางปกป้องได้เต็มที่ร่างใหญ่ของหลิวไท่หยางจึงยืนตระหง่านดุจกำแพง มิให้ใครสั่นคลอนทะลวงเข้ามาในอาณาเขตหวงห้ามทั้งสิ้น เขามองผู้มาใหม่ประดุจพลเมืองดี