4
ต่างคนต่างพึ่งพากัน
หลังจากนั้นนางก็ได้แต่นั่งฟังเขากล่าววาจาวาดฝันเรื่องราวที่เขาอยากทำกับฮูหยินของเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่นางแน่นอน
“อิ่มแล้วหรือ” เขากล่าวพลางมองอาหารที่ตนคีบให้นางจนพูนชาม
นางช่างกินน้อยเสียจริง...
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็กินยา” เขากล่าวพลางรับชามยามา
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะยกชามยาขึ้นกินจนหมด
“เก่งมาก” แววตาของเขามีประกายเอ็นดูพาดผ่าน
“ข้ากินยาแล้ว ท่านล่ะเจ้าคะ”
“พี่กินแล้ว”
“กินตอนไหนเจ้าคะ” นัยน์ตาดอกท้อที่จับจ้องราวกับผู้ใหญ่กำลังจับโกหกเด็กทำให้เขายิ้ม
“พี่กินก่อนที่จะพาเจ้าลงจากรถม้า” คำโกหกของเขาทำให้บรรดาผู้ติดตามลอบยิ้ม
ไม่ว่าคุณชายจะเก่งกาจเพียงใดแต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับฮูหยินน้อย
“บังเอิญจริงเชียวที่เจอพวกเจ้า” บุรุษในอาภรณ์สีขาวเดินเข้ามาทักทาย
“คารวะท่านหมอเจ้าค่ะ” นางลุกยืนทักทายท่านหมอ
“อย่ายืนเช่นนั้น ประเดี๋ยวจะเจ็บข้อเท้าเอา” เขาใช้โอกาสนี้รั้งตัวนางให้นั่งลงบนตักของตน
“ตามสบายแม่นาง หากมิรังเกียจข้าขอร่วมโต๊ะได้หรือไม่” ท่านหมอกล่าวก่อนจะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกนาง
“ข้ารังเกียจ...”
นางที่นั่งอยู่บนตักเขารีบใช้มือปิดปากเพื่อหยุดวาจาไม่น่าฟังของบุรุษที่ตอนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีตน
“พวกข้ากินอาหารอิ่มแล้ว หากท่านหมอจะกินอันใด ประเดี๋ยวข้าจะช่วยเรียกเสี่ยวเอ้อร์นำอาหารชุดใหม่มาให้ท่านนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณแม่นาง เจ้าช่างเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา แต่อย่าไปใจดีเช่นนี้พร่ำเพรื่อมิเช่นนั้นเจ้าอาจจะตกเป็นอาหารของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์” คำกล่าวของท่านหมอเทวดา ทำให้บุรุษอีกคนคิ้วกระตุก รู้สึกอยากจะซัดพลังไร้รูปใส่สหายของตนเหลือเกิน
ใช่แล้ว หมอเทวดาผู้นี้เป็นสหายของเขา การมาเจอกันที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
‘เจ้าคนปากมาก หุบปากของตนเสีย มิเช่นนั้นข้าจะส่งข่าวให้กับคนผู้นั้นว่าเจ้าอยู่ที่นี่’ เพราะเขาตัวใหญ่กว่า นางจึงไม่ได้เห็นสายตาดุที่เขากำลังจ้องมองตอบโต้กับสหาย
‘ข้าแค่สงสารกระต่ายตัวน้อยจึงอยากตักเตือน ผิดด้วยหรือ’ ไม่รู้ไปทำเวรกรรมอันใดจึงได้ถูกจิ้งจอกจ้องจับกินเช่นนี้
‘ขอบคุณเจ้าที่ชี้แนะ ข้าเริ่มอยากเป็นคนดีด้วยการส่งข่าวให้นางว่าเจ้าอยู่ที่ใด’
‘ข้ายอมแพ้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้วก็ได้’ สุดท้ายหมอเทวดาที่รูปงามและเก่งกาจเช่นตนก็ต้องพ่ายแพ้บุรุษผู้นี้อีกครั้ง
“ท่านหมออยากกินอันใดก็สั่งเถิดเจ้าค่ะ เพื่อตอบแทนที่ท่านช่วยเหลือ ข้าจะเลี้ยงท่านเองเจ้าค่ะ” ซูหนิงเซียนที่ละความสนใจจากเสี่ยวเอ้อร์ที่มาเก็บอาหารบนโต๊ะ หันมากล่าวกับท่านหมอ
“มิรบกวนแม่นาง” ลู่จื้อกล่าวด้วยท่าทางเกรงใจ
“ฮูหยิน ที่ท่านหมอปฏิเสธเช่นนี้ แท้จริงเขาอาจจะร่ำรวยกว่าพวกเราก็ได้ เจ้ากินข้าวอิ่มแล้ว พี่จะพาไปส่งที่ห้อง” ซีซวนหรือ หยางซีซวนกล่าวพลางยกตัวสตรีที่นั่งอยู่บนตักขึ้นเพื่อโอบอุ้ม
“อ่ะ...ท่าน” นางตกใจกับการเคลื่อนไหวของเขา จึงรีบใช้สองมือโอบรัดคอเขาเอาไว้
“หากหวงแหนมากถึงเพียงนั้น กลับถึงเมืองหลวงก็รีบแต่งงานเข้าจวนเสีย ทำเช่นนี้สตรีจะเสียหายได้” ท่านหมอเทวดามองสหายที่โอบอุ้มสตรีที่หมายตาจากไปพลางกล่าวราวรำพึงรำพัน
หลายวันมานี้เขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว สหายทั้งทำร้ายตนเองแล้วไปนอนแช่น้ำให้นางมาพบ ทั้งยังแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อหวังจะได้อยู่ใกล้นาง หากเขาไม่ได้เป็นสหายกับคนผู้นี้มาหลายปี เขาคงจะคิดว่าสหายหมายปองนางมาตั้งแต่เด็ก ความปรารถนาจึงมากล้นเช่นนี้
ด้านบุรุษรูปงามที่โอบอุ้มพาฮูหยินของตนไปส่งที่ห้อง นัยน์ตาดำกวาดมองไปรอบๆ เพื่อตรวจดูความผิดปกติก่อนจะวางนางลงบนเตียง
“จะอาบน้ำหรือไม่ พี่จะได้ช่วย...”
“ไม่เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” กล่าวจบเขาก็ทรุดตัวคุกเข่าลงบนพื้น
“ท่านจะทำอันใดเจ้าคะ” นางกล่าวพลางดึงเท้าหนีเมื่อเห็นเขาทำท่าจะจับข้อเท้าตน
มันไม่เหมาะสม นางเป็นเพียงฮูหยินรับสมอ้าง จะให้เขาปรนนิบัติถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
“พี่แค่จะถอดรองเท้าให้เจ้า แล้วจะได้ทายาพันผ้าให้เจ้าใหม่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าทำเองได้”
“พี่อยากปรนนิบัติฮูหยินของพี่”
.....................
ระวังนะคะ พี่เขาอ้อนทีใจละลายเลยน๊าาา
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”