ตอนที่ 12 อันตราย!!
‘ป้า...อ่ะ...ทำไมไม่รั้งลินให้อยู่กับเราล่ะ ปล่อยให้กลับไปแบบนั้นมันอันตรายนะครับ’ รามเอ่ยบอกกับป้าของตนด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงคนร่างบางอย่างไม่ปิดบัง
‘เห้ออออ แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อหลายปีมานี้หนูลินเขาเองก็เอาแต่เข้มแข็งมาโดยตลอดอีกทั้งไม่เคยเอ่ยปากพึ่งพาใคร หรือแม้แต่ระบายความในใจให้ป้าฟังเลยแม้สักครั้ง แล้วอีกอย่างป้าเองก็เป็นห่วงหนูลินไม่แพ้แกหรอกย่ะ...’ ป้านีบอกหลานชายอย่างถอดถอนใจ ก่อนจะมองตามหลังร่างบางไปโดยที่สายตาแสดงความเป็นห่วงไม่ต่างจากสายตาของหลานชายตน
เสียงของทั้งสองป้าหลานลอยแว่วตามหลังฉันมาและทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกตื้นตันใจกับความเป็นห่วงที่ทั้งสองป้าหลานมีให้ฉันมากแค่ให้ แต่ทว่า...ถึงยังไงฉันก็ต้องกลับไปที่บ้านของตัวเองอยู่ดี เพราะฉันเองก็ไม่อยากจะหลบหน้าหนีปัญญาที่เกิดขึ้น เพราะถ้าฉันหนีฉันก็คงต้องหนีไปตลอดชีวิต...
ฉันเดินมาด้วยร่างกายที่โรยราเหนื่อยล้า จนกระทั่งสองขาพามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ร่างกายที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูคล้ายกับขาที่ก้าวต่อไปไม่ออก สายตาที่จ้องมองไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวจนเผลอทำให้เกิดความกลัวขึ้นมา แต่เพราะว่าบ้านหลังนี้มันยังมีกลิ่นอายของพ่อและครอบครัวของฉันอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงฉันก็จะต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไปให้ได้
แกร๊ก ~~ แอ๊ดดดด...
ฉันกลั้นใจบิดลูกบิดประตูหน้าบ้านเข้าไป ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้งแล้วทำตัวเป็นเสมือนธาตุอากาศอย่างที่เคยทำมาพร้อมกับรีบสาวเท้ายาว ๆ ไปด้วยความเร็ว เพื่อเดินผ่านสองร่างที่กำลังนัวเนียกันอยู่ที่โซฟาอย่างไม่นึกอายฟ้าอายดินไปให้เร็วที่สุด
‘อุ๊ย...คริคริ...อย่าจับตรงนั้นซี้...พี่จั๊กจี้ไปหมดแล้ว’ เสียงของยัยผู้หญิงไร้ยางอายที่เพิ่งเสียผัวอย่างอดีตแม่เลี้ยงของฉันกำลังหัวเราะต่อกระซิกอยู่กับคู่ขาอย่างไม่มียางที่หน้า ส่วนฉันที่พยายามเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากรับรู้ภาพน่ารังเกียจก็ได้แต่รีบสาวเท้าก้าวเดินให้เร็วยิ่งขึ้น
แต่ทว่า...ความเร็วของขาก็ดูจะยังช้าไปสำหรับคู่ผีเน่ากับโลงผุที่กำลังจะเล่นบทเลิฟซีนตรงโซฟาอยู่ดี
‘อ้าว...นั่นลูกเลี้ยงพี่นี่ครับ สวัสดีครับ...เอ่อ...น้อง...’ เสียงของผู้ชายที่เป็นคู่ขาของผู้หญิงหน้าด้านคนนั้นตะโกนตามหลังฉันมา และนั่นก็ทำให้ฉันตกใจจนเปลี่ยนจากการก้าวขายาว ๆ เป็นวิ่งขึ้นห้องไปแทน
พอถึงห้องนอนของตัวเอง ฉันก็รีบปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนาอย่างไว ก่อนจะพาร่างที่เหนื่อยล้าจนแทบจะยืมไม่ไหวเดินทิ้งตัวลงไปนั่งอย่างอ่อนแรงอยู่ด้านข้างที่นอน
และเมื่อความเงียบเหงาเข้าปกคลุมหัวใจดวงน้อย ๆ อีกครั้ง ก็ทำให้หยาดน้ำตาที่คิดว่าน่าจะแห้งเหือดไปตั้งแต่ส่งพ่อให้ออกเดินทางไกลแล้วให้กลับย้อนไหลออกมาอีกครั้งเป็นทาง
‘ฮึก ฮึก...ฮืออออ ~~ พ่อค่ะ...ลินคิดถึงพ่อจังเลยค่ะ’ ฉันเอามือกุมหน้าตัวเองร้องไห้อย่างสุดจะกักกลั้น พร้อมกับความรู้สึกของหัวใจที่พังทลายปวดร้าวไปหมดได้กลับคืนมาให้รู้สึกอีกครั้ง โลกทั้งโลกที่เหมือนกับว่ามันพัง แต่กลับมีฉันเพียงคนเดียวที่ต้องเผชิญหน้ากับมัน
ความรู้สึกโหยหาความอบอุ่นจากคนเป็นพ่อถาโถมเข้ามาจนไม่อาจจะพรรณนาเป็นความรู้สึกได้ แม้ว่าที่ผ่านมาฉันกับพ่อจะเฉยเมยต่อกันมากเพียงใด แต่ลึก ๆ แล้วในใจเราสองคนต่างรู้ดีว่าเรายังรักและคอยห่วงใยกันอยู่เสมอมา เพียงแต่ว่าพ่อของฉันท่านที่ได้รับความเจ็บปวดกับสิ่งที่แม่ได้ทำเอาไว้ไม่ไหว จึงไม่อาจที่จะทำใจให้มองใบหน้าอันเป็นดั่งสัญลักษณ์ของความรักเมื่อครั้งยังหวานชื่นอย่างฉันได้อย่างสนิทใจ
ส่วนฉันเองก็มีความผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่ต่างกัน นั่นก็เพราะถ้าฉันได้ปล่อยปละละเลยความรู้สึกผูกพันที่เคยมีต่อคนเป็นพ่อมากเกินไปจนเกินเยียวยา เพียงเพราะคิดว่าถึงยังไงฉันก็ยังมีท่านอยู่ข้างกาย อีกทั้งยังคิดว่าถึงยังไงกลับบ้านมาก็ได้เจอหน้ากันทุกวันอยู่ดี และถึงแม้ว่ามันจะไม่อบอุ่นเหมือนดั่งเดิมก็ตาม แต่ฉันเองที่เลือกจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามทางของมัน โดยลืมไปว่า...ทุกความสัมพันธ์ทุกคนก็ควรจะพยายามและทำให้ครอบครัวที่เหลืออยู่กลับมาอบอุ่นให้ได้เหมือนเดิม ไม่ใช่ปล่อยให้คนใดคนหนึ่งพยายามอยู่เพียงฝ่ายเดียว
ความคิดที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายในวันที่สายไป ยิ่งตอกย้ำหัวใจฉันให้เจ็บปวดเมื่อต้องจมอยู่กับความจริงที่ว่าฉันไม่อาจจะกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว แม้กระทั่งสิ่งที่ฉันคิดเอาเองง่าย ๆ อย่างเช่นว่า ถ้าทำตัวดีไม่มีปัญหา ทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีตัวตน ฉันที่คิดแค่ว่าถ้าทำเพียงแค่นี้ก็คงพอที่จะไม่ทำให้พ่อของฉันต้องเหนื่อยใจแล้ว
แต่ทุกอย่างมันกลับ...ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่มันกลับกลายเป็นว่าฉันเองที่ใช้สองมือของตัวเองผลักทุกอย่างออกไปให้พ้นตัวจนหมด...จนทุกอย่างมันสายเกินไปอย่างไม่น่าให้อภัย...
และนอกเหนือจากสิ่งอื่นใดเมื่อบางสิ่งบางอย่างมันไม่เคยให้โอกาสเราเป็นครั้งที่สอง...
อย่างเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้ที่เกิดขึ้นมันได้ตอกย้ำแล้วว่าฉันไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวหรือโอบกอดความรักของพ่อให้กลับมาได้อีกแล้ว โอกาสที่ไม่มีอีกแล้ว...ไม่มีแม้กระทั่งร่างกายของท่านที่จะให้ฉันได้กอดได้สัมผัสอีก ไม่มีอีกแล้วคนเป็นพ่อ...คนที่เป็นดั่งสายใยความผูกพันเดียวที่เหลืออยู่ของฉัน...
น้ำตาที่ต่างพรั่งพรูไหลออกมาไม่ขาดสาย และเมื่อบวกเข้ากับความเหนื่อยล้าในตลอดหลายวันที่ผ่านมาทำให้ฉันฟุบหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
จนกระทั่ง...เมื่อฉันมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างสาวเหมือนถูกอุ้มในท่าเจ้าสาวจนตัวลอย...
‘พ่อ...ค่ะ’ เสียงแผ่วเบาถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากสีชมพูสวยที่แห้งผาก รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นโดยที่เปลือกตายังคงปิดปรือเสมือนอยู่ในความฝัน เนื่องจากความคิดถึงบิดาชั่วขณะนั้นทำให้หญิงสาวลืมไปว่า ณ เวลานี้บิดาของเธอไม่อยู่มาอุ้มเธอเหมือนเด็ก ๆ อีกแล้ว
และในขณะที่สมองกำลังประมวลผลหลังจากเพิ่งจะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ความจริงที่ฝังอยู่ในหัวใจว่าบัดนี้ผู้เป็นบิดาไม่ได้อยู่ดูแลเธออีกแล้ว ก็ทำให้สติวิ่งเข้ากลับสมองมาจนขมวดคิ้วถามตัวเองในใจว่า...
แล้ว...คนที่อุ้มฉันอยู่ตอนนี้คือใครกัน!!
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ