รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสีครามค่อย ๆ ถูกปิดบังด้วยเมฆหนา โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันเช่นกันณ ลานกว้างด้านหน้าโรงเตี๊ยม ที่ถูกจัดการพื้นที่จนโล่ง เสื่อผืนใหญ่ถูกวางกลางลานเช่นเช่นวันก่อน ขณะที่คนจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิง และบ่าวจากโรงเตี๊ยมอีกหลายคนรวมตัวอยู่ห่าง ๆ เฝ้าดูเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเช้านี้ด้วยหัวใจที่เต้นรัวซูหรงในชุดสีแดงเข้มขลิบทองยืนอยู่กลางลาน สง่างามและเยือกเย็น ด้านหลังของนางคือเฉินอี้ ที่มายืนคุ้มกันห่าง ๆ เผื่อการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จแสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆลงมา ซูหรงยืนรอไม่นานนัก ร่างของหญิงสาวในชุดสีม่วงเข้มก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นั่นคือ ร่างหุ่นเชิดของอวี้เซี่ยหง ประมุขพรรคมาร ส่วนตัวของผู้ควบคุมหุ่นเชิดมนุษย์นั้น ชักใยด้วยเส้นใยพลังปราณจากที่ห่างไกล ไม่มีผู้ใดมองเห็นตัวจริง นอกจากนางก็มีผู้ติดตามชุดดำสองคน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เห็นเพียงลูกตาเท่านั้นถึงอย่างนั้นแม้พลังที่แผ่ออกมา จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งจากตัวจริง แต่กลิ่นอายความน่าสะพรึงกลับยังชัดเจน แต่ซูหรงไม่หวาดเกรงสักนิดเดียว นางไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ นางเพียงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
แสงแดดยามสายของวันต่อมาสาดทาบลงบนพื้นไม้ของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น กลิ่นหอมของใบชาอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในเรือนครัว เสี่ยวซุ่ยยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้ เตรียมน้ำชาสำหรับแขกในโรงเตี๊ยมอย่างขะมักเขม้น ใบหน้านวลผ่องของนางมีรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาแจ่มใส ท่าทางขยันขันแข็งดุจบ่าวหญิงสามัญทั่วไปทว่าทันใดนั้น เศษความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านหัว เกี่ยวกับการชงชา ปรุงโอสถสมุนไพร ทว่าไม่กี่อึดใจมันก็หายไปราวหมอกที่จางหาย นางจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว แล้วทำงานต่อไปในฐานะบ่าว“เสี่ยวซุ่ย ไปเก็บผ้าที่ลานด้วยนะ แดดกำลังดีแบบนี้ คงแห้งหมดแล้วล่ะ” เสียงพี่หลินดังมาจากหน้าประตู“เจ้าค่ะ พี่หลิน” เสี่ยวซุ่ยรับคำอย่างว่าง่าย เช็ดมือลวก ๆ แล้วรีบก้าวออกจากครัว “ข้าจะไปเก็บผ้าเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”ในขณะเดียวกัน ณ ห้องลับด้านบนสุดของโรงเตี๊ยม ประตูบานหนักค่อย ๆ เปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวในชุดสีแดงเข้มขลิบทอง นางคือซูหรง ที่เพิ่งออกมาหลังจากทำพิธีสร้างยันต์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยจากการใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตาแสดงความมั่นใจและเฉียบขาดเหมือนเดิม“ท่านออกมาแล้ว!” เฉินอี้ที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็
ล่วงเข้าสู่ยามเย็น แสงแดดอ่อนคล้อยทาบลงบนแนวหลังคาโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น เงาไม้ทอดยาวอยู่บนพื้นไม้เรียบ เสียงลมกระทบหน้าต่างเบา ๆ กล่อมให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยหลังความวุ่นวายในยามสายจางหายในห้องพักด้านใน ร่างของเสี่ยวซุ่ยนั่งพิงหมอนอิง ดวงตายังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากอาการที่เพิ่งฟื้น ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อบานประตูถูกเคาะเบา ๆ ก่อนที่เฉินอี้จะก้าวเข้ามาด้วยท่าทางระมัดระวัง เขามีผ้าห่มบางผืนหนึ่งพับอยู่ในมือ ใบหน้าแม้จะยังมีร่องรอยของความอ่อนล้า แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโล่งใจ“เจ้าไม่แล้วหรือ? ท่านหมอว่าเจ้าควรพักดูอาการอีกคืน” เขาเอ่ยเสียงเบา เสี่ยวซุ่ยหันมามองเขา สบตาเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ“ข้านอนมานานพอแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบเบา ๆเฉินอี้เดินเข้ามาใกล้ วางผ้าห่มไว้บนเก้าอี้ตัวข้างฟูก ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างร่างนาง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย“เสี่ยวซุ่ย… ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า” เขาเริ่ม นางก็เลิกคิ้วน้อย ๆ“เจ้าจำไม่ได้ใช่ไหม ว่าตอนที่ข้าจะถูกสังหารในลานนั่น... อยู่ ๆ ก็มีแสงพลังสีฟ้าสว่างวาบออกจากฝ่ามือของเจ้า แล้วพลังในร่างของข้า… มันระเบิดขึ้น เหม
ยามบ่าย โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลังความโกลาหลวุ่นวายเมื่อยามสายสิ้นสุดลง ท้องฟ้าแจ่มใส ลมอ่อนพัดผ่านชายผ้าม่าน เสียงนกร้องจาง ๆ ลอยมากับแสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้บานเล็กในห้องพักชั้นบนของอาคารหลัก หมอจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่มาด้วยกัน กำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อตอนสายอย่างละเอียดจ้าวหยางนอนอยู่บนเตียงไม้สาน ร่างของเขาถูกพันผ้าไว้หลายแห่ง ดามด้วยเฝือกไม้ โดยเฉพาะช่วงไหล่ และซี่โครง ที่โดนบีบขยี้ด้วยมือขนาดยักษ์“ซี่โครงด้านซ้ายร้าวห้าซี่ ขาวสองซี่ กระดูกไหล่ขวาเคลื่อน... ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการพักรักษาตัว กว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง” หมอวัยกลางคนพยายามอธิบายอาการบาดเจ็บให้เหล่าสำนักคุ้มภัยที่เหลือ รวมถึงเฉินอี้ได้ฟัง “โชคดีที่พลังภายในของเขาสูงมากกว่าคนทั่วไป ร่างกายจึงยังพอเยียวยาตัวเองได้... อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น แต่ไม่ใช่วันสองวันนี้”จากนั้นหมอก็พาทุกคนไปยังในอีกห้องหนึ่ง อวี้ไป๋เฉินเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นหลังหมดสติไประยะใหญ่ ข้างกายเขาคือเสี่ยวผิงหลานชายพี่หลินที่มาดูแล เขาขยับตัวช้า ๆ ใช้มือยันร่างขึ้น
กลุ่มควันสีเทาเริ่มจางลงหลังการต่อสู้ที่รุนแรงสิ้นสุดลง เฉินอี้ยืนอยู่กลางลาน ไอพลังสีขาวรอบกายยังคงแผ่ซ่าน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องร่างอวี้เซี่ยหงที่ลุกขึ้นมายืนขึ้นอีกครั้งพร้อมบอกว่านี่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดมนุษย์ทว่ามันไม่เหมือนท่ายืนของคนปกติ แขนห้อยข้างลำตัวอย่างไร้พลัง สายตาเลื่อนลอย สีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างกระตุก ราวกับไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่เพิ่งได้สังเกต เส้นใยสีม่วงอ่อนบางเฉียบที่มองแทบไม่เห็นผูกอยู่ทั่วร่างของนาง มันเรียวเล็กเท่าเส้นผมยากต่อการสังเกต เส้นใยเหล่านั้นหลายเส้นเชื่อมต่อกับสักที่ที่ไกลออกไป คอยส่งต่อกระแสพลังมายังร่างของนาง ทว่าตอนนี้มันขาดสะบั้นไปหลายเส้น เช่นที่แขนสองข้าง อาจเพราะการต่อสู้กับเขาเมื่อครู่ จึงทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายนี้ผิดปกติไปมาก“เหมือนเจ้าจะเห็นเส้นใยพลังปราณแล้วสินะ…” เจ้าของเสียงนั้นกล่าวขึ้นมา “ใช้แล้ว ร่างที่เจ้าสู้ด้วย เป็นเพียงหุ่นเชิดมนุษย์ เป็นสมุนในพรรคที่ที่แต่งตัวเหมือนข้า กับได้รับการถ่ายลมปราณบางส่วนจากตัวข้ามาให้เท่านั้น แล้วข้าคอยควบคุมระยะไกลเท่านั้น เจ้าล้มมัน
อวี้เซี่ยหงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันจาง ๆ ที่ยังลอยล่อง มือเทียมพลังปราณสีม่วงเข้มขนาดใหญ่ที่ยังเหลืออยู่สี่เส้น วางสองผู้กล้าลง ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความแปลกใจปนไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นร่างของเฉินอี้ที่ควรจะอ่อนล้าและสิ้นหวังในก่อนหน้า บัดนี้กลับยืนตรงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว พลังลมปราณแผ่พุ่งออกจากกายสีขาวนวลราวหมอกยามเช้า กล้ามเนื้อทุกส่วนกระชับราวกับฝึกมานาน แผ่นหลังตั้งตรง นิ่งเหมือนยอดเขาใหญ่“กล้ามาก ที่เจ้าคิดว่าจะมาต่อกรกับข้าได้ด้วยตัวคนเดียว... เจ้าบ่าวกระจอก!”เสียงของนางเปล่งออกมา ก่อนที่แขนเทียมยาวแปดวาเส้นหนึ่งจะฟาดมาทางเขาด้วยพลังมหาศาล ทว่าเฉินอี้กลับก้าวเท้ากระชับตัว มือขวาหมุนวนปัดแรงพุ่งของแขนยักษ์ด้วยความแม่นยำ ส่งไปยังมือซ้ายที่แบรออยู่จากนั้นมือซ้ายของเขาก็จับแน่นตรงข้อมือเทียมของแขนพลังปราณนั้น ตามด้วยมือขวาที่ตามมาประกบเหมือนพนมมือ แล้วพลันพุ่งลอดผ่านใต้แขนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้าวพร้อมกับก็หมุนสะโพก หมุนเอว บิดลำตัวทั้งร่างด้วยจังหวะที่แม่นยำราวสายน้ำหมุนวน!แขนเทียมที่เชื่อมต่อกับร่างต้นถูกบิดจนผิดรูป เขาหมุนต่ออีกรอบ สองรอบ สามรอบ ด้วยท่าเท้าปทุมยาตรา ข้อมือ