ผลจากการโหมงานหนักทำให้เสวียนหนี่สิ้นใจตายคาโต๊ะทำงาน เดิมทีคิดว่าความตายคือจุดจบแท้จริงแล้วมันคือจุดเริ่มต้น เพราะวิญญาณของเธอได้ทะลุมิติเข้ามายังยุคโบราณล้าหลัง เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งทำให้ฉู่เสวียนหนี่เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างของคุณหนูสามตระกูลฉู่ที่มีชีวิตสุดแสนบัดซบ ถูกพิษแมงมุมได้รับผลข้างเคียงจนไม่สามารถพูดได้ ญาติพี่น้องขี้อิจฉากล่าวหาว่ามีดวงชะตาเป็นดาวไม้กวาด ล้างผลาญบิดามารดา ใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นภัยพิบัติที่จะทำให้ทั้งตระกูลล่มสลาย ฉู่เสวียนหนี่จึงต้องถูกส่งตัวไปที่อารามบนเขาต้าซานเพื่อสะเดาะเคราะห์กรรมครั้งนี้...
view moreทาบทามนางไปเป็นสะใภ้
เสียงวิ่งย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบตามมาด้วยร่างของเด็กชายคนหนึ่งโผล่พ้นชายป่า ป๋อเหวิน บุตรชายคนโตของฉู่มู่เฉินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาบอกซูหนี่ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมมารดาด้วยอาการตื่นตระหนก เขาและเสวียนหนี่น้องสาวคนเล็กได้ชวนกันเล่นซ่อนหาบริเวณหลังจวน โดยที่ตนเป็นคนซ่อนตัวแล้วให้อีกฝ่ายเป็นคนตามหา เวลาไล่หลังผ่านไปได้หนึ่งเค่อ ป๋อเหวินไม่เห็นเสวียนหนี่จึงออกจากที่หลบซ่อนร้องเรียกหานาง ทว่าไม่พบแม้กระทั่งเงา
“ทำเช่นไรดี ฮูหยินใหญ่ต้องตีข้าแน่ ข้าจะทำเช่นไรดีซูหนี่”
เขาถามน้องสาวเสียงสั่น ขอบตาแดงรื้นราวกับว่าน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จะหล่นแหมะอยู่รอมร่อ แต่ไหนแต่ไรฉู่ป๋อ
เหวินมักจะมีนิสัยหัวอ่อนขี้ขลาด และทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะวิ่งเต้นหาคนช่วยอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งฉู่ซูหนี่ที่อายุน้อยกว่าเขาก็ยังหวังยึดเอาเป็นที่พึ่งฉู่มู่เฉินเป็นผู้นำตระกูลฉู่ ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสาม มีภรรยาเอกนามว่าซินหยาง เมื่อแปดปีก่อนนางได้ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนตั้งชื่อให้ว่าฉู่เสวียนหนี่ นอกจากนั้นเขายังมีบุตรชายและบุตรสาวที่เกิดจากเจียวเหมยซึ่งเป็นอนุ บุตรชายคนโตฉู่ป๋อเหวินอายุย่างสิบเอ็ดหนาว และบุตรสาวคนรองฉู่ซูหนี่อายุเก้าหนาว
ปกติแล้วฉู่เสวียนหนี่จะติดพี่ชายคนโต ส่วนซูหนี่ซึ่งเป็นพี่รองไม่ค่อยสุงสิงกับพี่น้องคนอื่น ๆ มากนัก หรือถ้าหากมีโอกาสได้เล่นด้วยกันอีกฝ่ายก็มักจะหาเรื่องกลั่นแกล้งน้องสาวคนเล็กจนได้รับบาดเจ็บเนื้อตัวเขียวช้ำอยู่เป็นประจำ ด้วยสาเหตุนี้ฉู่เสวียนหนี่จึงไม่ค่อยให้ความสนิทสนมกับพี่สาวเท่าไหร่นัก
“ข้าจะทำอย่างไรดี หากนางเป็นอะไรขึ้นมาข้าต้องถูกตีแน่ ๆ”
เหงื่อกาฬเม็ดเล็กผุดขึ้นที่หน้าผาก เขาพูดพลางย่ำเท้าสลับไปมา เนื่องด้วยลึกเข้าไปนั้นเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากต้นไม้สูงตระหง่านและหญ้ารกชัฏยังมีสัตว์ป่าหลายชนิด รวมไปถึงสัตว์ป่าดุร้ายที่พร้อมกระโจนปลิดชีพไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่
“อย่าตาขาว! มีคนอื่นรู้หรือไม่ว่าท่านพี่พานางเข้าไปเล่นหลังจวน”
“ไม่ ไม่มีผู้ใดรู้ เช่นนั้นข้า... ข้าต้องรีบไปแจ้งท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ก่อนว่าเสวียนหนี่หายตัวไป”
เด็กชายพูดจบก็ทำท่าจะวิ่งกลับไปที่เรือนหลัก ทว่าก็ถูกผู้เป็นน้องสาวรั้งตัวไว้เสียก่อน นางมองหน้าพี่ชายด้วยแววตานิ่งเฉยไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับการที่อีกฝ่ายหายตัวไป ก่อนหน้านี้นางกับพี่ชายก็มักจะไปเล่นบริเวณนั้นอยู่เป็นประจำ ซึ่งมันก็ไม่เห็นว่ามีอะไรให้น่าเป็นห่วง
วันนี้เรือนใหญ่ค่อนข้างวุ่นวายนัก ท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่คงไม่มีเวลามาคอยดูแลบุตรสาวของตนเองหรอก เพราะซีฮันอ๋องมาเยี่ยมเยือนบิดาถึงจวน ทำให้เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ต่างถูกเรียกไปปรนนิบัติรับใช้ สาวใช้ที่คอยดูแลเสวียนหนี่ก็ถูกเกณฑ์ไปด้วย ทำให้อีกฝ่ายพ้นขอบเขตระยะสายตาผู้ใหญ่ ครั้นพอถูกพี่ชายคนโตชวนไปเล่นก็หายตัวไปอีก
ซีฮันอ๋องนับเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอันดับต้น ๆ แต่ไม่มีผู้ใดพูดได้ว่าเทียบเท่ากับกษัตริย์ เพราะต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรพูดถึง ด้วยความที่ซีฮันอ๋องเป็นผู้กุมอำนาจเสียส่วนใหญ่ เป็นดั่งนิ้วมือที่คอยชักใยหุ่นเชิดจึงไม่มีผู้ใดอาจหาญลบหลู่ การที่ซีฮันอ๋องมาเยี่ยมจวนตระกูลฉู่ครั้งนี้ถือเป็นหน้าเป็นตาแก่ตระกูล ผู้ใหญ่ทุกคนจึงต้องอยู่เพื่อต้อนรับอย่างดีจะได้ไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
“พี่ใหญ่ ช้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่” เด็กหญิงที่มีใจริษยาได้คิดบางสิ่งบางอย่างออก มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยนึกถึงคำพร่ำสอนของมารดาที่บอกให้นางชิงดีชิงเด่นกับฉู่เสวียนหนี่ คิดได้เช่นนั้นนางจึงแสร้งแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจพี่ชายอยู่บ้าง “ตอนนี้ท่านพ่อ ฮูหยินใหญ่ และท่านแม่ของเรากำลังต้อนรับการมาของซีฮันอ๋องอยู่ เวลานี้เด็กอย่างพวกเราไม่สมควรเข้าไปยุ่มย่าม”
“นี่... เจ้าหมายความว่า!” ป๋อเหวินมีท่าทีมึนงง ไม่เข้าใจว่าน้องสาวกำลังหมายถึงอะไร
“เสวียนหนี่กับท่านพี่เล่นซ่อนหากันอยู่ไม่ใช่หรือ บางทีนางอาจไม่ได้หายไปไหน เผลอ ๆ หากนางหาพี่ใหญ่ไม่เจอก็อาจจะเดินกลับจวนเองด้วยซ้ำ” ฉู่ซูหนี่เอ่ยแนะนำพี่ชาย
“ตะ...แต่เสวียนหนี่” เด็กชายมีท่าทีลังเล
“หากท่านพี่ไปแจ้งฮูหยินใหญ่ว่าบุตรสาวของนางหายตัวไปตอนที่กำลังเล่นอยู่กับท่านพี่” นางเว้นจังหวะเล็กน้อย ค่อยเสริมอย่างจริงจังว่า “ฮูหยินใหญ่จะต้องฆ่าท่านพี่ตายแน่”
“ฆะ... ฆ่าเลยหรือ!” ฉู่ป๋อเหวินมีท่าตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด ความที่ตนเองยังเป็นเด็กจึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
“อืม! ใช่” ฉู่ซูหนี่พยักหน้าช้า ๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ นางลูบหลังมือพี่ชายปลอบขวัญแล้วเสนอทางออกวิธีอื่นให้ โดยที่ป๋อเหวินไม่รู้เลยว่าภายในใจของนางนั้นกำลังคิดการใดอยู่
“อีกเพียงไม่นานก็จะเย็นแล้ว ยามนั้นเมื่อท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ไม่เห็นว่านางกลับจวน พวกเขาก็จะออกตามหาตัวนางเอง จำไว้ว่าท่านพี่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ทำตามที่ข้าบอกแล้วท่านพี่จะไม่มีความผิด”
“ขะ... ข้าต้องทำเช่นนั้นหรือถึงจะไม่มีความผิด” เด็กชายยังมีสีหน้าเป็นกังวล เขาเชื่อในคำพูดของน้องสาวทุกประการ
“ใช่แล้ว...ข้าหวังดีกับท่านพี่นะเจ้าคะ” นางพยักหน้าหงึกหงัก แต่ถึงกระนั้นผู้เป็นพี่ชายก็ยังคงไม่มั่นใจ เขายังเด็กนักยังไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมอันใดทั้งสิ้น
“แต่... แต่ฮูหยินใหญ่จะไม่ทำอะไรข้าจริง ๆ หรือถ้านางรู้ภายหลัง”
“แล้วนางจะทำอันใดพี่ใหญ่ได้เล่า หากพี่ใหญ่ยืนกรานว่าไม่รู้ไม่เห็น” นางบอกกล่าวอย่างใจเย็น
ความคิดของนางไปไกลเกินกว่าเด็กวัยเก้าขวบแล้ว นางไม่ได้พูดเพราะความไร้เดียงสา แต่พูดเลียนแบบตามคำสั่งสอนของมารดาต่างหาก สาเหตุหลักที่บิดาโปรดปรานท่านแม่เป็นพิเศษ เพราะท่านได้ให้กำเนิดป๋อเหวินซึ่งเป็นบุตรชายคนแรกของตระกูล สำหรับท่านพ่อที่เป็นขุนนางระดับสาม การที่ได้บุตรชายถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่าบุตรสาวเสียอีก
ส่วนซินหยางแม้จะเป็นภรรยาเอกแต่นางไม่สามารถมีบุตรชายให้แก่ท่านพ่อได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานเทียบเท่ากับท่านแม่ที่เป็นเพียงอนุ
ด้านซีฮันอ๋องที่อยู่พูดคุยกับฉู่มู่เฉินจนถึงยามเซิน ทันทีที่ส่งอีกฝ่ายเสร็จเจียวเหมยจึงได้ถามผู้เป็นสามีอย่างใคร่รู้ เพราะนางยังคงไม่กระจ่างกับสิ่งที่ซีฮันอ๋องพูดเมื่อครู่
“ท่านพี่ หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ท่านอ๋องอยากหมั้นหมายเสวียนหนี่ไว้ให้บุตรชายคนโต ข้าเข้าใจถูกหรือไม่”
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” ฉู่มู่เฉินหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะการที่ได้เกี่ยวดองกับซีฮันอ๋องเป็นสิ่งที่เขาปรารถนามาตลอด ในที่สุดเสวียนหนี่ก็ทำให้เขาสมหวังโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอใด ๆ
“โชคเข้าข้างจริง ๆ ในที่สุดข้าก็จะได้เกี่ยวดองกับซีฮันอ๋องแล้ว” อีกฝ่ายเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี ส่งผลให้เจียวเหมยรู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย เพราะเหตุใดสตรีที่ท่านอ๋องหมายตาเอาไว้ให้บุตรชายถึงไม่เป็นบุตรสาวของนาง ไม่รู้ว่าเสวียนหนี่มีวาสนาดีขนาดไหนกัน ถึงได้มีตระกูลทรงอิทธิพลที่สุดในแคว้นเถียนมาทาบทามไว้ตั้งแต่ยังเด็กเช่นนี้
เจียวเหมยพยายามข่มกลั้นความริษยาไว้ภายใน ก่อนจะแสร้งปั้นหน้ายิ้มเสมือนยินดีกับอีกฝ่ายไปด้วย “การเกี่ยวดองกับท่านอ๋องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ตระกูลฉู่ของเราจะได้มั่นคงยิ่งกว่าเดิม ข้าดีใจกับท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ ยินดีกับเสวียนหนี่และฮูหยินใหญ่ด้วย”
ซินหยางมองดูทั้งคู่แย้มยิ้มหัวเราะให้กันอย่างมีความสุข นางจึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ใจจริงแล้วนางไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายกับการทาบทามในครั้งนี้เท่าใดนัก เพราะนางมองเจตนาของคนผู้นั้นออก การที่เขาอยากได้เสวียนหนี่ไปเป็นสะใภ้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่ฉู่มู่เฉินที่อยากได้ซีฮันอ๋องมาคอยหนุนรากฐานตระกูลให้มั่นคงหรอกนะ แต่อีกฝ่ายก็กระหายอำนาจไม่แพ้กัน
ดังนั้นแม้ตระกูลฉู่จะมีอิทธิพลไม่เทียบเท่ากับท่านอ๋อง แต่ก็มิได้น้อยหน้ากว่าตระกูลอื่น ๆ ออกจะเป็นหมายเลขหนึ่งเสียด้วยซ้ำเมื่อพิจารณาดูดี ๆ
“แล้วนี่! เสวียนหนี่ไปไหน วันนี้ข้ายังไม่เห็นนางเลย” ครั้นเมื่อหัวเราะจนพอใจเขาจึงได้หันมาถามภรรยา
“น่าจะเล่นอยู่ที่ศาลากลางสวนเจ้าค่ะ” นางตอบกลับ
“อืม! ฮูหยิน ต่อไปนี้เจ้าต้องดูแลบุตรสาวของเราให้ดี นางจะเป็นตัวนำโชคมาสู่ตระกูลเราเข้าใจหรือไม่” เขาเอ่ยกำชับภรรยา
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” ซินหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในใจรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย
ลึกเข้าไปในป่าหลังจวนตระกูลฉู่ เสวียนหนี่ร่ำไห้น้ำตาอาบแก้มด้วยความหวาดกลัวจับจิต เด็กหญิงตัวน้อยเดินไปไม่รู้ทิศรู้ทาง ด้วยความที่ยังเด็กมากนักและไม่รู้ว่าตนเองกำลังหลงทางอยู่ในป่า นางจึงเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าฟังดูน่าขนลุก เสวียนหนี่พยายามสะกดกลั้นเสียงสะอื้นให้เงียบลง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าได้มีบางอย่างที่อันตรายกว่า สิ่งนั้นคือแมงมุมพิษร้ายแรงมันกำลังไต่จากชายอาภรณ์ขึ้นมาที่บริเวณลำคอ เมื่อเสวียนหนี่รู้สึกตัวนางจึงรีบปัดมันออกให้พ้น ทว่ากลับถูกแมงมุมกัดเข้าที่ปลายนิ้ว ความเจ็บปวดจากการถูกกัดทำให้นางเผลอปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาอย่างลืมตัว ระยะแรกเด็กหญิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมหาศาลจนยกแขนไม่ขึ้น แต่เวลาผ่านไปไม่นานกลับรู้สึกชาไปทั้งตัวไร้เรี่ยวแรงจะขยับกาย ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็พลันตกอยู่ในความมืดมิด เสียงกรีดร้องดังอยู่ในหูได้ไม่นานสติสัมปชัญญะของนางก็พลันดับวูบลงไปพร้อมกับร่างน้อย ๆ ที่ทิ้งตัวหมดสติลงแนบผืนพสุธา
มันควรเป็นของเจ้าจบคำห่าวอู๋ก็ทำท่าจะเฉือนคอนางจริง ทว่าทันใดนั้นได้มีเม็ดหมากล้อมสีดำพุ่งมาโดนมือจนมีดสั้นหล่นไปกำลังวังชาของผู้มีวรยุทธย่อมต้องรุนแรงกว่าคนธรรมดาหลายเท่าแรงดีดถึงได้มีน้ำหนักมหาศาลอีกทั้งยังรู้สึกชาจนแทบจะกำมือไม่ได้ ห่าวอู๋อึ้งอยู่นานพยายามเพ่งสายตามองหาที่มาของเม็ดหมากล้อมในความมืด และแล้วเสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังมาจากทางหน้าต่าง“ของแบบนั้นมันจะไปมีได้อย่างไรกันเล่า”…หึ…หึเงาร่างในอาภรณ์สีดำทมิฬพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขันเสียงหัวเราะของเขากังวานดั่งเสียงพญามัจจุราชร่างนั้นนั่งพิงขอบหน้าต่างด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อน ห่าวอู๋เบิกตาโพลงเพราะจดจำน้ำเสียงอันคุ้นหูนี้ได้เป็นอย่างดี…หงอี้เฉิน ไอ้ปีศาจหงอี้เฉิน!ก็ในเมื่อเขาให้คนจับตาดูอี้เฉินที่เรือนเฝิ่งหงแล้ว คนเหล่านั้นก็รายงานว่าอี้เฉินยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดทำไมเจ้าคนชั่วถึงมาโผล่ที่เรือนไป่เหอได้ทันเวลาพอดี“หลาน
นางนั่นแหละที่เย็นชาวันรุ่งขึ้นเสวียนหนี่มาที่ห้องครัวแต่เช้าตรู่นางเอาอำพันดอกท้อที่ตากจนแห้งแล้วมาตุ๋นรวมกับสมุนไพร พอเสร็จแล้วกะจะให้สาวใช้นำไปให้อี้เฉินที่เรือนเฝิ่งหงเพื่อตอบแทนที่เขาชี้ทางไปป่าท้อให้นางในวันนั้นนางนั่งรออยู่ในห้องครัวมาแล้วพักหนึ่งแต่ก็ยังไม่มีสาวใช้สักคนผ่านมาอีกทั้งอำพันดอกท้อที่นางตั้งใจตุ๋นอย่างดีก็เริ่มจะอุ่นแล้วดังนั้นเสวียนหนี่จึงต้องยกไปให้เขาที่เรือนเฝิ่งหงด้วยตนเอง ระหว่างทางที่เดินอยู่นั้นนางสังเกตว่าต้นฝูหรง(พุดตาน)กำลังเบ่งบานแล้ว นางจึงเดินอ้อมไปให้ไกลหน่อยแต่ก็ไม่วายถูกละอองเกสรที่ลอยมาตามลมเล่นงาน ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของร่างนี้จะแพ้เกสรฝูหรงเช่นเดียวกันคิดแล้วเสวียนหนี่ก็แย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะจามออกมาหนึ่งฟอดใหญ่อี้เฉินที่มองลงมาจากหน้าต่างเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของนางแต่เขายังทอดมองด้วยสายตานิ่งเฉย เมื่อนางเข้ามาใกล้ ๆ ก็ได้วางถ้วยอำพันตุ๋นไว้ที่โต๊ะน้ำชาแล้วเอ่ยบอกเขา“ตอบแทนที่วันนั้นท่านชี้ทางให้ข้า”
คิดจะทำอะไรกันแน่“พูดจาเหลวไหล นางเพิ่งเข้ามาหุบเขาได้ไม่นานจะไปมีหลักฐานเกี่ยวกับคดีวางเพลิงได้อย่างไรถ้ามีจริงเหตุใดไม่รีบนำออกมา"ห่าวอู๋สวนกลับเสียงขึงขังเขาลืมตัวไปชั่วขณะว่าควรสงวนอาการไว้ต่อหน้าคนในตระกูลมากมายเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเผยสันดานดิบได้ดั่งใจปรารถนาเมื่อปลายระยะสายตาสบเข้ากับรอยโค้งที่ริมฝีปากของหลานชายจึงรู้ตัวว่าพลาดท่าอย่างจังเขาไม่ควรตื่นตระหนกเกินความจำเป็น!นี่คือเรื่องจริงหรือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อยั่วโทสะเขากันแน่อี้เฉินกำลังปั่นประสาทเขาอยู่อย่างนั้นหรือ…เจ้าคนสารเลวนั่นคิดจะทำอะไรอีก!“ท่านห่าวอู๋กล่าวได้ถูกต้องแล้ว”เสียงหวานใสตอบกลับซูหนี่เงยหน้าขึ้นมามองผู้คนโดยรอบแล้วพูดต่ออย่างไม่อายปาก“ข้าจะมอบหลักฐานให้ท่านประมุขในคืนวันแต่งงาน”“แต่งงาน!”ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างเห็นต้องกันว่าสตรีน
ข้าอยากรอด“เจ้า…คิดว่า…ข้าเป็นคนอย่างไร”“…ทะ ท่าน”ชั่วพริบตาเดียว เขาคว้าตัวนางอย่างรวดเร็ว ใช้มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยของนางให้แนบใบหน้ากับโต๊ะน้ำชาแล้วดึงมีดพกเล่มเล็กออกมาจากใต้ผ้าคาดเอวปักลงที่โต๊ะในระยะเฉียดใบหน้างามไม่ถึงสองชุ่น ซูหนี่ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด นางสั่นเทาไปทั้งร่าง คิดไม่ถึงเลยว่าประมุขหงที่นางพึงใจเขาในวันแรกจะป่าเถื่อนได้ขนาดนี้ต่อหน้าผู้อื่นถึงเขาจะไม่ไว้ไมตรีอย่างไรแต่นั่นก็เป็นเพียงคำพูดหาใช่การกระทำไม่เมื่อได้อยู่สองต่อสองเขาเปิดเผยตัวตนออกมาอย่างชัดเจนราวต้องการจะบอกเป็นนัยว่าไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย“ท่านประมุขขออภัย ขออภัยท่านประมุขข้าผิดไปแล้ว”หญิงสาวในอาภรณ์ชมพูรีบร้อนบอกออกไปพลางใช้ฝ่ามือทั้งสองข่มโต๊ะน้ำชาไว้เพื่อยันกายไม่ให้ลื่นไถล แรกเริ่มที่เข้าหาเขาวันนี้ก็เพื่อบีบรัดเขาให้เร่งการแต่งงาน…ทว่ายามนี้จนมุมเสียแล้วคนผู้นี่ไม่ใช่ว่าจะใช้มารยาเกลี้ย
อำพันดอกท้อป่าท้อทางทิศตะวันตกถานถานจอดเกวียนแล้วกระโดดลงมายืนแหงนหน้าขึ้นมองต้นท้อหนาทึบอย่างตื่นตาตื่นใจ ตอนที่เขาเป็นเด็กไม่ทราบมาก่อนว่าเคยมีที่แบบนี้ในหุบเขาหากจำไม่ผิดบริเวณนี้เมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้วเป็นเพียงพื้นที่รกร้างมีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกชัฏ ต้นท้อเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติเพราะขึ้นเรียงแถวเป็นระเบียบ คาดว่าคงมีใครบางคนปลูกขึ้นมามากกว่า"ต้นท้อพวกนี้ใครปลูกกันนะ"ถานถานพูดขึ้นแล้วใช้มือเหี่ยวย่นลูบคลำต้นท้อ เขาพิจารณาแล้วว่าอายุของต้นท้อเหล่านี้น่าจะเกือบสิบปีได้"ไม่น่าจะมีเจ้าของนะเจ้าคะ ถ้ามีเจ้าของจริงเหตุใดประมุขหงไม่บอกข้า""ช่างเถอะๆ แล้วเราจะเอาอย่างไรต่อ"เสวียนหนี่เดินไปใกล้ ๆ ต้นท้อต้นหนึ่ง นางชี้ให้ถานถานดูในส่วนที่นางต้องการพอถานถานเห็นว่าเป็นแค่ยางของต้นท้อเขาก็พูดขึ้น“นี่นะหรืออำพันที่เจ้าว่า นี่มันยางไม้ชัด ๆ”“ยางไม้นี่แห
ค้าอำพันเขาถามกลับอย่างอยากรู้ และคิดไปเองว่านางอาจอยากพูดเรื่องที่นางเป็นตัวจริง ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายอยากพูดกลับกลายเป็นเรื่องอื่นไปเสียอย่างนั้น“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินพ่อเฒ่าอวิ๋นเหอบอกว่าฟางเหนียงขึ้นไปเก็บลูกท้อบนเขา…แล้ว…เอ่อ...คือว่า.."“เจ้าอยากไปแสดงความเสียใจกับพ่อเฒ่าอวิ๋นเหอหรือ”“หากมีโอกาสข้าก็อยากจะไปเจ้าค่ะติดตรงที่ว่าภายในระยะหนึ่งปีนี้ข้าต้องรีบหาเงินมาชดใช้คลังเสบียงช่วยตาแก่ถานถาน”เขาถอนหายใจเอื่อย ๆ สุดท้ายแล้วภายในใจของนางก็ยังคงคิดเรื่องหาเงินเพียงเท่านั้นเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ถ้านางทำสำเร็จเขาก็จะเบาใจขึ้นมาก“อยากถามอะไรกันแน่”“ข้าอยากถามเกี่ยวกับป่าท้อเจ้าค่ะ”“ป่าท้อ?”อี้เฉินสงสัยจนต้องย้ำทวนอีกรอบ สิ้นฤดูกาลลูกท้อออกผลไปแล้ว ตอนนี้ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลินางมาถามเกี่ยวกับป่าท้อเอายามนี้ไม่ช้าไปหน่อยหรือ สถานที่แห่งนั้นมีต้นท้อม
Mga Comments