มู่อันเหมยชาติก่อนเธอหนีการแต่งงานเพียงเพราะคิดว่า ว่าที่สามีนั้นเป็นเพียงอดีตนักโทษ แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลาย หลังจากที่รู้ว่าชายคนรักที่เธอหนีตามไปกลับยัดเยียดคำว่าเมียน้อยให้เธอ โดยที่เธอไม่รู้ตัว
View Moreมู่อันเหมย ลูกสาวคนรองของบ้านรองมู่ เธอไม่ชอบความยากจนและไม่อยากทำงานในคอมมูน จึงตั้งใจเรียนจนจบมัธยมเพื่อสอบเข้าโรงงานยาสูบของรัฐในเมือง
บ้านรองมู่นั้นอยู่ด้วยกันห้าชีวิต โดยมีมู่เสียนเป็นหัวหน้าครอบครัว มีนางจางหลานเป็นภรรยา ลูกชายคนโตชื่อมู่เฟยหยวน อายุยี่สิบห้าปี คนเล็กชื่อมู่กวนอี อายุสิบสามปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น และมีมู่อันเหมยเป็นลูกคนรองและเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว
แม้ว่าบ้านรองมู่จะยากจนสักเพียงใด ทว่าทุกคนกลับตามใจเธอทุกอย่าง ขอเพียงมู่อันเหมยเอ่ยปากมาเท่านั้น
ในวันที่มู่อันเหมยเรียนจบมัธยมปลาย เธอรีบวิ่งเข้ามาแจ้งแก่ครอบครัวด้วยความดีใจ
“พ่อ แม่ ฉันเรียนจบแล้ว อีกสองวันโรงงานยาสูบจะเปิดรับพนักงานใหม่ ฉันขอไปลองสอบดูนะ”
มู่อันเหมยเป็นหญิงสาวที่เอาแต่ใจตนเอง รักสวยรักงาม ยิ่งงานในคอมมูน ที่ทุกบ้านต้องเข้าไปทำงานแลกแต้มเธอยิ่งไม่เคยย่างกรายเข้าไปที่แห่งนั้น เพราะเธอกลัวผิวเสีย
ซึ่งแตกต่างจากเด็กสาวบ้านอื่น เมื่อไหร่ที่ถึงวันหยุดหรือปิดภาคเรียน เด็กจากครอบครัวอื่นต่างก็วิ่งกรูกันเข้ามาเพื่อขอทำงานแลกแต้ม หวังว่าแรงกายอันน้อยนิดของพวกตนจะทำให้ครอบครัวมีอาหารมากขึ้น
“หากลูกมั่นใจก็ทำเถอะ พ่อไม่ห้าม แต่มันต้องใช้เงินเยอะหรือเปล่า พ่อได้ยินว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกันด้วยไม่ใช่เหรอ”
เรื่องอื่นเขาไม่มีปัญหา แม้ว่ามู่อันเหมยจะไม่ชอบทำงานบ้านหรือไม่ยอมทำงานในคอมมูนช่วงวันหยุด แต่เรื่องการเรียนเธอกลับทำได้ดีจนน่าตกใจ และเขาเชื่อว่าหากได้สอบเข้าทำงานที่โรงงานยาสูบ เป็นไปไม่ได้ที่ลูกสาวของเขาจะสอบไม่ผ่าน ทว่าสิ่งที่เขากังวลนั้นกลับเป็นเงินที่ต้องใช้จ่ายนั่นเอง
“เรื่องค่าใช้จ่ายอาจจะมีค่ะ แต่ว่ามันคุ้มนะคะหากฉันได้งาน เงินเดือนของพนักงานใหม่เริ่มต้นที่ยี่สิบห้าหยวน ฉันตั้งใจจะส่งกลับมาให้พ่อกับแม่ด้วยนะ จะได้ช่วยค่าใช้จ่ายในบ้าน”
เธอพยายามพูดโน้มน้าวครอบครัว ทว่าพี่ใหญ่อย่างมู่เฟยหยวนกลับไม่เห็นด้วย หากครอบครัวต้องไปกู้เงินเพื่อมาจ่ายใต้โต๊ะให้กับมู่อันเหมย
“แต่ผมไม่เห็นด้วยครับพ่อ แต่ละปีส่วนแบ่งอาหารและเงินที่ได้รับแทบไม่พอใช้ ทำไมเราต้องสร้างหนี้ยืมคนอื่นเพียงเพราะอยากให้อันเหมยเข้าทำงานในโรงงานยาสูบด้วยล่ะ หากคิดว่ามีความสามารถพอก็ใช้ความสามารถของตนเองสิ จะเดือดร้อนหาจ่ายใต้โต๊ะทำไม” และที่เขารู้ จ่ายใต้โต๊ะนั่นเงินไม่ใช่น้อย ขั้นต่ำก็เป็นร้อยหยวน
“มันไม่มากขนาดนั้นหรอกพี่ใหญ่ สหายพ่อของเสี่ยวฟางทำงานเป็นหัวหน้าแผนกที่นั่น พอจะมีเส้นสายอยู่บ้าง เราเพียงแค่ซื้อของขวัญติดไม้ติดมือเท่านั้นเอง พรุ่งนี้พ่อของเสี่ยวฟางจะพาไปแนะนำให้รู้จัก”
มู่อันเหมยรีบอธิบาย แม้ว่าเธอไม่ค่อยกลัวใครในบ้านทว่าพี่ชายคนนี้เธอรู้สึกเกรงเขาไม่น้อย
“อืม หากมั่นใจว่าใช้เงินเพียงแค่หาซื้อของขวัญพี่จะจัดการให้ แต่ก็อย่าลืมสัญญาแต่งงานล่ะ พี่ให้เวลาหนึ่งปี พ่อจะได้ไม่เสียคำพูด”
มู่เฟยหยวนตกลงที่จะหาเงินมาให้ ถ้าหากอันเหมยได้งานที่โรงงานทำย่อมเป็นเรื่องดี ทว่าพ่อกลับมีคำมั่นสัญญาที่ให้กับบ้านเฉิน ซึ่งก็คือเฉินหยางคุน ชายหนุ่มประวัติไม่ค่อยดีเนื่องจากเคยติดคุกทหารมาก่อน
แม้ว่าเฉินหยางคุนจะประวัติไม่ขาวสะอาด ทว่าเขากลับมีน้ำใจกับทุกคน ครอบครัวของเฉินหยางคุนเหลือเพียงแม่และน้องสาวเท่านั้น
ครั้งนี้เขาคงต้องไปขอความช่วยเหลือบ้านเฉินอีกครั้งเสียแล้ว
“ทำไมฉันต้องแต่งงานด้วยล่ะพี่ใหญ่ แค่คำขอบคุณที่พ่อจะตอบแทนลุงเฉิน มันไม่เกี่ยวกับฉันนะ อีกอย่างลูกชายบ้านเฉินเคยติดคุกทหารมาก่อน ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
แม้ในอดีตลูกชายบ้านเฉินจะเคยเป็นทหารแต่ก็เคยติดคุกมาก่อน อีกทั้งใบหน้ายังมีรอยแผลเป็นแบบนั้นอีก ต่อให้บ้านเฉินพอจะมีฐานะอยู่บ้าง เธอก็ไม่คิดจะเกี่ยวดองด้วยแน่
เธอเหมาะกับคนมีหน้ามีตา หรือทำงานดีในโรงงานไม่ใช่ชาวบ้านที่มีคดีติดตัวเช่นนี้
“อันเหมย น้องจะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก แม้จะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตกลงกันก็จริง แต่เราคือลูก ย่อมต้องทำตามเพื่อแสดงความกตัญญู”
หากเรื่องอื่นเขายอมน้องสาวคนนี้ได้ทุกอย่าง ทว่าเรื่องนี้เขาไม่มีทางยอม สิบปีก่อนลุงเฉินได้ช่วยชีวิตพ่อไว้ ทั้งสองจึงตกลงว่าจะให้เฉินหยางคุนแต่งงานกับอันเหมย ต่อให้เวลานี้ลุงเฉินจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม บ้านรองมู่ยิ่งต้องทำตามที่ลั่นวาจาไว้
“หนึ่งปีก็หนึ่งปี จากนั้นค่อยว่ากันเถอะพี่ใหญ่” มู่อันเหมยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับพี่ชาย เธอจึงตัดปัญหาด้วยการตอบรับแบบส่ง ๆ จากนั้นจึงรีบเดินเข้าห้องตนเอง
“นับวันอันเหมยนิสัยจะแย่กว่าเดิมนะครับพ่อ พูดอะไรนิดอะไรหน่อยก็เถียงทุกคำ”
“ช่างเถอะเจ้าใหญ่ ยังไงลูกก็ให้เวลาน้องหนึ่งปีไม่ใช่เหรอ ว่าแต่ลูกจะเอาเงินที่ไหนให้น้อง”
คนเป็นพ่อได้แต่ห้ามทัพ อาจจะเกิดจากเขาเองที่คอยตามใจอันเหมยมาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาจึงกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเช่นนี้
“คงต้องรบกวนบ้านเฉินก่อนน่ะครับ อีกอย่างผมจะลองหาวันหยุดดู เผื่อว่าในตลาดมืดมีงานอะไรให้ทำ อย่างน้อยมีค่าแรงส่วนนี้จะได้ทยอยคืนบ้านเฉินและยังเอามาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้บ้าง”
ทุกครั้งที่เขาเข้าไปหางานทำในตลาดมืด เขาก็ยังได้เงินกลับมาทุกครั้ง มากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับงานที่เขาได้
“มันอันตรายหรือไม่ลูก การค้าในช่วงนี้กวดขันไม่น้อยเลย พวกทหารแดงก็วนเวียนไม่หยุด แม่กลัวว่าลูกจะเกิดเรื่อง”
นางจางหลานเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง บางครั้งลูกชายของเธอแอบเอาสัตว์ป่าที่ล่าได้ไปขาย เธอใจไม่ดีเลยสักครั้ง กลัวว่าจะโดนจับได้ แต่เพราะฐานะทางบ้านไม่สู้ดี ลูกชายของเธอจึงยังคงดื้อดึงและยืนยันที่จะทำ
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ สบายใจได้ ผมระวังตัวทุกครั้งที่เข้าไปในที่แห่งนั้น”
มู่เฟยหยวนไม่อยากให้ครอบครัวไม่สบายใจ ทว่าเวลานี้ทหารแดงคือสิ่งที่น่ากลัวของชาวบ้าน ทุกครั้งที่เข้าตลาดมืด เขาต้องดูลู่ทางให้ดี เพราะไม่อยากเกิดเรื่องจนทำให้ครอบครัวต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย
หลังจากนั้นมู่เฟยหยวนจึงไปรบกวนบ้านเฉินอีกครั้ง ซึ่งนางเฉินและลูกชายอย่างเฉินหยางคุนไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจ แถมยังหยิบเงินให้ตามจำนวนที่ขอยืมอย่างไม่รีรอเช่นกัน
ในที่สุดมู่อันเหมยก็สอบเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้อย่างที่ตั้งใจ เรื่องนี้ทำให้บ้านรองมู่ต่างก็ดีใจมาก ชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็อิจฉา แม้กระทั่งบ้านสามยังคล้ายจะเข้ามาบังคับให้มู่อันเหมยสละสิทธิ์ให้ กรณีนี้สามารถทำได้เพราะเป็นคนในตระกูลเดียวกัน
ทว่ามีหรือที่มู่อันเหมยจะยอม เธออุตส่าห์ฝ่าฟันจนเข้าทำงานในโรงงานยาสูบได้ จะมาปล่อยให้บ้านสามยึดครองได้อย่างไร
หญิงสาวทำงานด้วยความดีใจที่สามารถหลุดพ้นจากคอมมูนได้ การทำงานของเธอแม้จะไม่เข้าตาเพื่อนร่วมงานหลายคน เพราะใบหน้าที่สวยสะดุดตาและรูปร่างที่ชวนมอง ทำให้เป็นจุดสนใจของเหล่าบรรดาชายหนุ่มในโรงงาน
หนึ่งในนั้นคือว่านปี่หมิง เขาเป็นชายหนุ่มต่างเมือง ใบหน้าโดดเด่น พูดจาดี เอาใจเก่ง และดูอบอุ่นในสายตาของมู่อันเหมยไม่น้อย เขาจึงครองใจของมู่อันเหมยอย่างง่ายดาย
“จะกลับบ้านเหรอครับ ให้ผมไปส่งไหม” ว่านปี่หมิงกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบวกกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไม่ได้บอกกับครอบครัวเรื่องของเรา”
ในเวลานี้มู่อันเหมยและว่านปี่หมิงคบหาดูใจกันแล้ว ทว่าชายหนุ่มกลับให้คนรักปิดบังเพื่อนร่วมงานไว้ก่อน เขาใช้ข้ออ้างเรื่องของการเลื่อนตำแหน่งของตนเอง กลัวว่าจะเกิดปัญหาหากมีเรื่องชู้สาวขึ้น ซึ่งมู่อันเหมยยอมรับอย่างง่ายดายเพราะคิดถึงอนาคตของคนรัก
“เมื่อไหร่คุณจะบอกครอบครัวล่ะครับ ผมจะได้เข้าไปทำความรู้จักกับครอบครัวคนรักของผมเสียที อย่าลืมว่าเราเป็นมากกว่านั้นแล้วนะครับ”
สายตาที่หวานหยดส่งไปยังมู่อันเหมย ทำให้หญิงสาวอายจนหน้าแดง ไม่ใช่เธอไม่อยากพากลับไปพบหน้าครอบครัว ทว่าตัวเธอเองยังมีสัญญาแต่งงานกับลูกชายบ้านเฉิน ซึ่งทางครอบครัวคงไม่ยอมแน่หากเธอล้มเลิกงานแต่งในครั้งนี้
อีกทั้งในเวลานี้เธอได้ตกเป็นของคนรักทั้งกายและใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลับบ้านคราวนี้เธอต้องไปคุยกับลูกชายบ้านเฉินเป็นการด่วน คงไม่มีชายคนใดอยากแต่งงานกับหญิงที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วแน่
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว
Comments