ภายหลังอู๋เป่ยจากไป พร้อมพาเอาผู้บุกรุกฝ่ายธรรมสามคนออกไปด้วย แขกในโรงเตี๊ยมก็ทยอยกลับเข้าด้านในตามปกติ กลีบดอกไม้ปลิวว่อนตามสายลม เฉินอี้ยืนอยู่ที่ลานหน้าโรงเตี๊ยมคนเดียวชั่วครู่ ก่อนจะหันมองไปทางรั้วไม้ข้างลาน ร่างบางของเสี่ยวซุ่ยยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตากลมโตของนางยังแดงเล็กน้อยจากน้ำตาก่อนหน้านี้ ขณะนี้นางกำลังพยายามปัดเศษกลีบดอกไม้ที่ติดผมของตนอย่างใจลอย
เฉินอี้เดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบ ราวกลัวจะรบกวนความสงบของช่วงเวลานั้น ก่อนจะเริ่มเอ่ยวาจาเมื่อนางหันมามองเขา
“เมื่อครู่ข้าคิดว่า... ข้าอาจจะได้ลาจากโลกนี้แล้ว ถ้าท่านอู๋เป่ยไม่ช่วย” เสียงเฉินอี้เอ่ยขึ้นเบา ๆ พลางยิ้มจาง ๆ เสี่ยวซุ่ยหันมามองเขา ดวงตานางสั่นระริก
“อย่าพูดแบบนั้นอีกนะเจ้าคะ... หากท่านเป็นอะไรไป ข้าคง...”
นางหยุดประโยคไว้เพียงเท่านั้น คล้ายไม่กล้าพูดให้จบ เฉินอี้ก็ยิ้มให้นาง ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นว่านางไม่พูดเองสักที
“เสี่ยวซุ่ย… ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน หรือจริง ๆ แล้วเจ้าเป็นใคร แต่ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าคือครอบครัว...”
คำพูดนั้นทำให้นางต้องเงยหน้ามองเขา ดวงตานั้นเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนที่