[หอเยว่เซียน]
เว่ยฟางเฟยนั่งรถม้าคันใหญ่มาจอดหน้าหอบุปผชาติของตนแต่เช้าตรู่ ยามเช้าที่ผู้คนพลุ่กพล่านเช่นนี้หากสตรีที่ลงจากรถม้าคันใหญ่ของตำหนักฉือเหอเป็นผู้อื่นคงถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับผู้คน แต่บัดนี้สตรีที่ก้าวลงมากลับกลายเป็นภาพคุ้นชินตาของผู้คนในย่านหอคณิกาแห่งนี้เสียแล้ว ‘นางเพียงผู้อาศัย ที่บังเอิญโชคดีที่มีบุญคุณของบรรพบุรุษค้ำคอ ถึงได้ยังเชิดหน้าชูตาอยู่ได้ทั้ง ๆ ที่ บิดาต้องโทษขังคุก อดีตบุตรีขุนนางกังฉิน’
ทันทีที่ร่างบอบบางเย้ายวนทรงเสน่ห์ก้าวลงจากรถม้าเหล่าบรรดาบุรุษแลสตรีทั้งที่เป็นลูกค้าและไม่ใช่ต่างจ้องมองนางอย่างสนใจ ด้วยเพราะฟางเฟยมักแต่งกายงดงามเย้ายวนโดดเด่น ผิวขาวประดุจหยกมันแพะ ดวงหน้าเล็กกระจ่าง สวมใส่อาภรณ์สีแดงเด่นบางเบาราวกลุ่มหมอกปกคลุมในยามเช้า คลุมไหล่ด้วยผ้าไหมเนื้อดีขับเน้นเนินอกขาวเนียนแลสัดส่วนร่างกายมองแล้วดูเย้ายวนซ่อนเสน่ห์น่าค้นหา ชายแขนชุดปักลวดลายดอกมู่ตานขลิบทองบ่งบอกฐานะว่ามิได้ต้อยต่ำ แขนอาภรณ์ถูกแหวกกว้างลู่ลม คาดรัดเอวด้วยผ้าคาดปักลายบุปผาโรยห้อยหยกระหย้าสีชิงยามเมื่อนางก้าวเดินทำให้ป้ายหยกแกว่งไกวชวนให้เป็นที่น่าจับจ้องแลเผลอไผล ผมยาวดำสนิทถูกรวบครึ่งศีรษะปักด้วยปิ่นลายมังกรเกี้ยวหงส์ยามเมื่อนางก้าวเดินเกิดเป็นเสียงประหนึ่งเสียงขลุ่ยคลอเคล้า สวมต่างหูหยกรูปหยดน้ำสีเหลืองยวนตา ดูรวม ๆ แล้วช่างดูแปลกตาโดดเด่นเย้ายวนชวนลุ่มหลงมิเหมือนสตรีทั่วไปที่มองแลพบได้ตามท้องถนน
“นายหญิง” ซูเซียงที่กำลังต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อเมื่อหันมาเห็นผู้เป็นนายมาก็รีบปลีกตัวออกมาเอ่ยต้อนรับในทันที
“ซูเซียง เรียบร้อยดีรึไม่” ฟางเฟยกวาดสายตามองโดยรอบหอบุปผชาติของตนก็นึกชื่นใจที่ร้านนั้นคึกคักตั้งแต่เช้า ถือว่าในเรื่องร้าย ๆ ก็ย่อมมีเรื่องดีอยู่บ้าง พลันความคิดก็หวนกลับไปถึงค่ำคืนที่ผ่านมาระหว่างหนานอ๋องกับตน ทำให้ฟางเฟยต้องรีบสะบัดศีรษะไปมาช้า ๆ กับความคิดไร้สาระ ก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในร้านเพื่อตรวจดูบัญชีเสียหน่อย แต่ยังเดินมิได้ถึงครึ่งก้าวกลับถูกเหล่าทหารมากมายกรูเข้ามายืนขวางหน้านางไว้เสียแล้ว ทำให้นางพลันชะงักพร้อมทั้งขมวดคิ้วมุ่นอย่างนึกสงสัยเหตุการณ์ไม่ปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ค้นให้ทั่ว!” เสียงเข้มของทหารฉกรรจ์รูปร่างปราดเปรียวเข้ามายืนขวางหน้าฟางเฟย ใบหน้าเรียบนิ่งแลดูดุดันจนมองแล้วทำให้ดูน่าหวาดหวั่นยิ่ง การที่ทหารมาล้อมหอบุปผชาติขึ้นชื่อแห่งนี้นั้นแม้เป็นยามเช้าตรู่แต่ก็ทำให้เป็นที่สนใจของผู้คนในระแวกนั้นเป็นอย่างมาก ผู้คนมากมายต่างรุมกรูกันเข้ามามุงดูเหตุการณ์จนกลับกลายเป็นเบียดแน่นพร้อมทั้งเสียงพูดคุยถามถึงที่ไปที่มาของเรื่องราวกันจนอื้ออึงดังไปทั่วทั้งตรอกถนน
“คุณหนู!/นายหญิง!” ซูหนิวและซูเซียงรีบดึงแขนผู้เป็นนายเข้ามากอดแน่นอย่างตกใจ
“นี่เรื่องอะไรกัน! ซูหนิว ซูเซียงไม่ต้องกลัว” ฟางเฟยแม้ตกใจในคราแรกแต่สัญชาตญาณทำให้นางกันบ่าวรับใช้และคนของตนให้อยู่ด้านหลัง เหตุใดทหารพวกนี้ถึงได้มาปิดล้อมหอเยว่เซียนของตนแต่เช้าตรู่กันนะ รึมีเรื่องอันใดเช่นนั้นหรือ! คนร้ายรึ!
“ก็มาจับคนร้ายนะสิ!” เสียงทุ้มเข้มดุดันคุ้นหูดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะปรากฏตัวขึ้น เพียงได้ยินเสียงฟางเฟยก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าคือผู้ใด นางจึงเงยหน้าขึ้นมองให้เต็มตาก็เห็นว่าหนานจวิ้นอ๋องกำลังเดินตรงเข้ามาหานางด้วยท่วงท่านิ่งสงบ ใบหน้าเรียบตึงหากแต่รอบตัวนั้นกลับแฝงด้วยกลิ่นอายความสูงศักดิ์อยู่ในที
“หนานจวิ้นอ๋อง!” ฟางเฟยหลุดอุทานออกมา สีหน้านางนั้นดูงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่มิน้อย จับคนร้าย! ในหอเยว่เซียนของนางงั้นหรือ คนร้ายที่ไหนกัน
“หึ!” เจิ้งหนานเมื่อแลเห็นสีหน้าตกใจของนางก็ยิ้มเหยียด ก่อนที่สายตาคมจะมองเห็นการแต่งกายของนาง และทันทีที่แลเห็นฉับพลันคิ้วเข้มก็เกิดกระตุกในทันที กรามแกร่งกัดแน่นจนมือใหญ่เผลอคว้าเอาข้อมือบางของนางฉุดรั้งให้เข้าไปด้านในหอเยว่เซียนด้วยกันอย่างรวดเร็ว
‘แต่งตัวบ้าอะไรของนางกัน!’ เจิ้งหนานสบถในใจอย่างหงุดหงิด ให้ตายเถอะนางจะเปิดเผยเนื้อหนังให้ผู้อื่นเชยชมเช่นนั้นหรือ เป็นสตรีเช่นไรช่างไม่รู้จักความอายเลยเสียจริง
ฟางเฟยเดินก้าวต่อขึ้นไปยังห้องส่วนตัวเพื่อตรวจบัญชีหลังไม่ได้มาสะสางนานเสียหลายวัน หลังจากมองหาผู้เป็นสามีและบิดามิพบนางนั่งสะสางบัญชีเพียงมินานก็มีมือใหญ่สอดเข้าโอบเอวนางจากด้านหลัง และกลิ่นนี้ท่าทางเช่นนี้นางรับรู้ได้ในทันทีว่าคือผู้ใด“ท่านอ๋อง” ฟางเฟยยิ้มอบอุ่นส่งให้ผู้เป็นสามีที่วันนี้การแต่งกายดูผิดแผกไปนัก อาภรณ์สีเรียบมองดูแล้วราวกับเป็นคุณชายตระกูลใหญ่สักตระกูลแต่ใบหน้าและท่าทางยังคงแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมาโดยรอบ“วันนี้เป็นวันหยุดข้าและท่านพ่อตา วันนี้พวกเราจึงมาช่วยเจ้าหนึ่งวัน” เจิ้งหนานเอ่ยจบก็ประทับจุมพิตที่แก้มนุ่มของนางไปหนึ่งคราหนัก ๆ“อืม เช่นนั้นรึเจ้าคะ เช่นนั้นหอเยว่เซียนของข้านี้นับว่าไม่เหมือนผู้ใดจริง ๆ มีคนงานเป็นถึงหนานจวิ้นอ๋องและเจ้ากรมพระคลัง แถมอดีตขันทีใหญ่อย่างเสี่ยวกงกงด้วยหนึ่งคน ฮึ ๆ” ฟางเฟยเอ่ยพร้อมทั้งหัวเราะออกมาอย่างขำขัน ก่อนจะพิงศีรษะเข้ากับแผ่นอกแกร่งของผู้เป็นสามีอย่างออดอ้อน สายตาก็ไล่อ่านบัญชีร้านไปพลาง ๆ“ก็เจ้านั้นวาสนาดีได้แต่งข้าเป็นสามีเช่นไรเล่า”“ท่านอ๋องเพคะ หวานจนเลี่ยนแล้ว” ฟางเฟยแกล้งเย้าสามีที่ระยะหลังมักป้อนคำหวานให้นางจนวัน
เป็นเวลากว่าบ่ายคล้อยที่ฟางเฟยตื่นขึ้นมา วันนี้นางมิต้องไปเคารพผู้ใดเจิ้งหนานเมื่อคืนเขากำชับนางไว้ว่าอีกสักสองสามวันค่อยเข้าวังไปเคารพไทเฮาและฮองเฮา ด้วยพระองค์ฝากความมาถึงว่าไม่เร่งรีบอันใดจวนอ๋องอยู่นอกวังการเดินทางก็ลำบากอยู่ พระองค์ยังไม่อยากรบกวนเวลาของสามีภรรยาเท่าใดนัก อีกอย่างเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธีอะไรนัก“พระชายาตื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกงกงเดินเข้ามารอท่าเตรียมรับใช้“แล้วเอ่อ...ท่านอ๋องเล่า” ฟางเฟยตื่นขึ้นมาก็ถามหาสามีเป็นอันดับแรก ส่วนซูหนิวนั้นนางรู้อยู่แล้วว่าคงไปดูแลหอบุปผชาติแทนนาง“เอ่อเข้าวังแต่เช้าตรู่พร้อมท่านเว่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ วันนี้พระองค์มีว่าราชการจึงฝากให้กระหม่อมดูแลพระชายาให้ดีพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวกงกงเอ่ยด้วบใบหน้าแสดงความปิติยินดี เขายิ้มกว้างกว่าทุกคราที่ฟางเฟยเคยพบเจอ ก่อนจะหันไปเรียกนางกำนัลที่รอรับใช้สองคนมาช่วยพยุงนางที่ยังรู้สึกเจ็บร้าวบริเวณกึ่งกลางกายขึ้นพร้อมทั้งปรนนิบัติอาบน้ำ‘ให้ตายเถิดข้ามิน่าเหิมเกริมกับท่านอ๋องเลยจริง ๆ ข้าประเมินกำลังเขาต่ำไปมากนัก’ ฟางเฟยคร่ำครวญในใจก่อนจะนิ่วหน้าพร้อมทั้งหลุดเสียงครางน้อย ๆ ยามที่น
“อื้อ อะอ๊า ทะท่านอะอ๋อง อื้อ” ฟางเฟยบัดนี้ขยับสะโพกถูไถถ้ำบุปผาของตนเข้าบดเบียดกับหน้าขาแกร่งของเขารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงอารมณ์ที่กำลังจู่โจมนาง และยิ่งลิ้นหนาของเขาก้มลงดูดดึงแลบีบเคล้นปถุนถันคู่งามของตนอย่างหิวกระหายประหนึ่งทารกแล้วนั้นนางยิ่งทวีอารมณ์ปรารถนาในตัวเขารุนแรงยิ่งขึ้น นางนึกขัดใจเล็กน้อยที่วันนี้เขาไม่จู่โจมนางในทันทีกลับอิดออดไปเสียเช่นนั้นจนเมื่อนางใกล้เข้าใกล้จุดสูงสุดเวลานี้นายหญิงแห่งหอเยว่เซียนจึงเลือกเอาหนึ่งในวิชาสอนสตรีและกระบวนท่าในตำราร้อยบุตรขึ้นมาปรนนิบัติผู้เป็นสามีแทน ในเมื่อเป็นสามีภรรยากับแล้วก็ย่อมเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนั้นวันนี้นางจะให้เขาเป็นฝ่ายร้องขอ ในเมื่อเขาวันนี้ต้องการกลั่นแกล้งนางเช่นนั้นนางจะให้บทลงโทษแก่สามีรูปงานเองในวันนี้“อึก ๆ” เจิ้งหนานเวลานี้ตาเบิกกว้างเมื่อหวางเฟยตัวน้อยพลิกตัวขึ้นนั่งควบกดทับบนแท่งหยกแกร่งของตนแม้ยังไม่สอดใส่แต่เวลานี้เจิ้งหนานนั้นหัวใจแกร่งแทบทะลุออกมายังภายนอกอกแกร่งเข้าเสียแล้ว“ท่านอ๋อง...อะอื้ม...ท่านพี่...” ฟางเฟยก้มเอ่ยประชิดริมฝีปากหนาอย่างยั่วเย้า สะโพกนั้นก็หมุนควงคลึงแท่งหยกของเขาไปมาอย่างช้ำชองตามวิ
เช้าวันนี้นับเป็นวันที่ฤกษ์ดีและเป็นมงคลที่สุดในรอบหลายปีของจวนหนานอ๋อง ทั่วทั้งจวนประดับตกแต่งด้วยผ้าและข้าวของสีแดงทั้งจวนใหญ่แลถนนหนทางและด้านหน้าหอเยว่เซียนนั้นเต็มไปด้วยกระดาษสีแดงเขียนอักษรมงคลและคำอวยพร ฟางเฟยสวมใส่ชุดสีแดงปักลวดลายมงคลตระการตา ชุดนี้ไทเฮาประทานให้กับหลานสะใภ้หลวงเช่นนางด้วยพระองค์เอง ซึ่งหลังจากวันนั้นที่กลับไปไทเฮาก็ส่งช่างหลวงมาที่จวนมาวัดตัวนางละไม่นานชุดแต่งงานนี้ก็ถูกนางกำนัลประจำกองภูษานำมาส่งให้ในอีกสามวันต่อมา ร่างบางถูกพาเดินไปตามทางเดินศีรษะนั้นมีผ้าสีแดงปกคลุมอยู่ ด้วยความที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั้นอาศัยอยู่ในจวนเดียวกันการรับตัวเจ้าสาวจึงเป็นเพียงการเดินข้ามตำหนักเท่านั้น แต่หนานจวิ้นอ๋องหลานรักไทเฮาและพระราชนัดดามีชื่อในฮ่องเต้เหยียนโจวแต่งพระชายยาทั้งทีจะให้น้อยหน้าได้เฉกเช่นใด ฉะนั้นแม้ไม่มีเกี้ยวแปดคนหามมาส่งเจ้าสาวแต่กลับเป็นสินสมรสพระราชทานจากวังหลวงทั้งจากฝ่าบาทและไทเฮาประทานมาให้คนทั้งคู่แทน ลือกันว่าหัวขบวนถึงจวนหนานอ๋องแล้วแต่ท้ายขบวนนั้นกลับพึ่งออกห่างจากกำแพงพระราชวังพียงไม่กี่จั้ง นับว่าเป็นงานมงคลที่จัดได้ยิ่งใหญ่และสมฐานะแลพระเกียรติอยู่ม
หลังไทเฮากลับไปค่ำคืนนี้นางตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างกับหนานจวิ้นอ๋องวันนี้จึงตั้งใจอาบน้ำตั้งแต่หัวค่ำก่อนจะนอนพักสายตารอเขากลับมาที่ตำหนักของตน“หืม หอมยิ่งนักข้าชักเสพติดเจ้าเสียแล้วกระมัง เหตุใดวันนี้นอนเร็วนักเล่า” เจิ้งหนานที่อาบน้ำเรียบร้อยก็ตรงเข้าไปก้มใบหน้าคมเข้มที่มีไรหนวดเคราขึ้นจาง ๆ อิงแอบซุกซบกับฟางเฟยที่นอนหลับตานิ่งบนเตียงในทันที ก่อนเปลี่ยนเป็นตวัดให้นางนอนหนุนแขนแกร่งของตนแทน“อื้อ ท่านอ๋องมาแล้วหรือ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะพูดคุยกับพระองค์เสียหน่อยเพคะ”“อืม เจ้าว่ามาเถอะ” เจิ้งหนานนอนหลับตานิ่งแต่มือหนายังคงลูบหลังนางเล่นไปมา“หากว่าพวกเรากราบไหว้เพียงฟ้าดินได้รึไม่” ฟางเฟยเอ่ยเสียงอู้อี้ใต้อ้อมแขนแกร่งเจิ้งหนานพอได้ยินฟางเฟยเอ่ยเช่นนั้นก็ถึงกลับชะงัก เขานิ่งพินิจความคิดของนางเพียงครู่ ก่อนจะบอกกล่าวถึงเหตุผลที่กระทำพิธีเรียบง่ายเช่นนางว่าไม่ได้“แต่หากว่าพระองค์แต่งข้าเป็นพระชายาแล้วเช่นนั้นข้าจะสามารถดูแลหอเยว่เซียนได้อีกรึไม่ เช่นนั้นจะไม่เสื่อมเสียไปถึงพระองค์หรอกหรือ รึไม่เช่นนั้นพวกขุนนางที่ยืนคนละฝ่ายกับพระองค์จะไม่...อื้อ” ฟางเฟยยังเอ่ยมิจบก็ถูกหนานจวิ้นอ๋องจุมพิตปิด
ฟางเฟยเวลานี้นั่งดื่มชาชมดอกบัวในเก๋งหลังใหญ่ ในมือบางนั้นถือม้วนราชโองการจากฝ่าบาทอยู่ในมือด้วยจิตใจล่องลอย หากแต่ใบหน้านั้นกลับสว่างวาบมุมปากแต้มประดับยิ้มน้อย ๆ“เอ๊ะ คุณหนูดูนั่นสิเจ้าคะ” ซูหนิวชี้ให้ดูสองบุรุษที่เดินเคียงข้างตามกันไปด้วยท่าทีพูดคุยหยอกล้อกันไปตลอดทางเดินให้ผู้เป็นนายได้มองชัด ๆ“นะนั่นท่านพ่อนี่ แล้วก็ท่านอ๋อง…” ฟางเฟยเห็นภาพบุรุษที่เริ่มซึมซับเข้ามาในใจนางขึ้นทุกวันก็พลันเกิดความอุ่นวาบขึ้นมาใจและนางมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะตัดสินใจแน่ชัดว่าต่อไปจะดำเนินชีวิตไปในทิศทางใด‘ในเมื่อพระองค์ใส่ใจข้าและพิสูจน์ชัดแล้วว่ามิได้ไร้ใจ อีกทั้งเป็นที่พักพิงให้ข้าได้ยามข้ามีภัย นี่ก็เพียงพอแล้วกระมัง’ ฟางเฟยเมื่อคิดตกดีแล้วพลันถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลงในใจ เอาเถิดในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ย่อมไม่กลัวผลลัพธ์“แม่นางเว่ย ๆ แฮ่ก ๆ” เสี่ยวกงกงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหานางถึงด้านในเก๋งหลังใหญ่ ขันทีวัยกลางคนมีสีหน้าแตกตื่น ก่อนเขาจะยืนหอบหายใจเพียงครู่ก็ละล่ำละลักเอ่ยกับนาง“ทะไทเฮาเสด็จขะขอรับ แฮ่ก ๆ เกรงว่าพระองค์จะตั้งใจมาพบท่านกระมัง ทะท่านรีบไปเถิด”“ฮ่ะห๊ะ ทะไทเฮาเสด็จมาเช่นนั