ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้
พิธีจบการศึกษาโซนคณะออกแบบแฟชั่น งานแฟชั่นโชว์สำหรับนิสิตปี 3-4 มหาวิทยาลัย Art & Fashion Wang Cheng ฮ่องกง
เป็นประจำทุกปลายปีที่ทางมหาวิทยาลัยจะมีการจัดงานเพื่อให้นักศึกษาได้ทำการโชว์ฝีมือของตัวเอง และเป็นการประกาศกลายๆ ว่ากลุ่มคนเหล่านี้นั้นมีของพร้อมที่จะออกไปเฉิดฉายอยู่ในตลาดแฟชั่น แต่ก็มีบางคนที่ความสามารถโดดเด่น เข้าตากรรมการจนมีแบรนด์ดังเข้ามาจองตัวตั้งแต่สมัยเรียน หรือบางคนก็พ่อแม่ทุนหนา เปิดแบรนด์เป็นของตัวเองตั้งแต่เริ่มเรียนเลยก็มี
และฉัน ตติญา วีรวรวรรณ นักศึกษาสาวจากประเทศไทยสาขาวิชาออกแบบแฟชั่น ซึ่งกำลังจะเรียนจบจากที่แห่งนี้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ทางมหาวิทยาลัยได้จัดงานโดยการเช่าเรือสำราญขนาดใหญ่ที่จุคนได้หลักพันคน เพื่อพานักศึกษาในมหาวิทยาลัยรวมทั้งผู้ปกครองและแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมการชมนิทรรศการศิลปะแบบครบวงจรกันที่นี่
ถ้ามีคนถามว่าแค่นักศึกษาเรียนจบต้องจัดใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ มหา’ลัยเอางบมาจากไหน ฉันก็อยากจะบอกว่าครึ่งหนึ่งเป็นงบของมหาวิทยาลัย ส่วนอีกครึ่งเป็นของนักศึกษาออกเองซึ่งก็ต้องขอบอกว่า หนักอยู่!
แต่ช่างเรื่องนั้นเถอะ ตอนนี้การจบการศึกษามารออยู่ตรงหน้าแล้ว ฉันจะแคร์เรื่องนั้นไปทำไมกัน เงินก็ไม่ใช่เงินของฉันซะหน่อย
“คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
ระหว่างที่ฉันกำลังแต่งตัวให้นางแบบของตัวเองอยู่นั้น เสียงของ เคทลิน เพื่อนสาวลูกครึ่งฮ่องกง-อิตาลีแต่ว่าพูดไทยคล่องปรื๋อก็ได้ดังขึ้น เนื่องจากที่นี่นั้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะนานาชาติเลยมีนักศึกษาจากหลากหลายประเทศเข้ามาเรียน แม้ว่าชื่อเสียงจะไม่ดังเท่ามหาวิทยาลัยแฟชั่นในญี่ปุ่นหรืออเมริกาแต่ฉันก็เลือกที่นี่เพราะอาหารการกินค่อนข้างจะคุ้นปากเสมือนอยู่บ้าน
ส่วนยัยเคท เจ้าหล่อนบ้านอยู่ห่างจากมหา’ลัยแค่สามร้อยเมตร เข้ามาเรียนที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากอยู่บ้านเท่าไร
“อย่าตื่นเต้นไปเลยน่า เอาไว้แกได้ไปปารีสชั่นวีก ถึงตอนนั้นค่อยตื่นเต้น”
ระหว่างพูดฉันก็ใช้สัญญาณมือบอกให้นางแบบหมุนตัวไปด้วย ชุดที่จะใส่ขึ้นโชว์ในวันนี้เป็นงานออกแบบตลอดปีการศึกษาของฉัน ที่น่าภูมิใจที่สุดคือมันได้รับการคัดเลือกให้เป็นฟินาเล่ของโชว์ในวันนี้ด้วย นั่นหมายความว่าฉันจะต้องโดดเด่นมากที่สุดไม่แพ้นางแบบที่กำลังสวมชุดอยู่ นี่เป็นกระโปรงฟูฟ่องที่ดูแล้วเหมือนกำลังเดินอยู่บนเมฆ เกาะอกเป็นผ้าแก้วที่รีดอัดกลีบยับๆ ดูแล้วคล้ายกับคลื่นทะเล ฉันใช้เวลาอัดกลีบด้วยมือประมาณอาทิตย์หนึ่งได้ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่สุดของฉันเลย
“แกมีความฝันที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นก็ดีแล้ว ฉันเองจบไปไม่รู้เลยว่าอยากทำงานด้านแฟชั่นไหม ไม่แน่ว่าอาจจะไปเป็นสาวออฟฟิศที่ไหนสักที่”
เธอทำหน้าเซ็งๆ แล้วเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ระหว่างนั้นก็เติมหน้าทาปากไปเรื่อยๆ เพราะนางแบบของเคทแต่งตัวกันเสร็จหมดแล้ว
“สาวออฟฟิศก็ไม่แย่นะ แต่ว่าตอนนี้จ้องชุดจนเวียนหัวหมดแล้วอะ ขอไปสูดอากาศแป๊บหนึ่งนะ”
ฉันตรวจความเรียบร้อยของชุดเสร็จก็ต้องขอตัวออกมาจากตรงนั้นครู่หนึ่ง ยอมรับว่าวันนี้ตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวเองเลย และด้วยความที่เป็นงานเลี้ยงบนเรือ เวลาที่เรือแล่นออกไปมีการโคลงเคลงเบาๆ อยู่ตลอด วัยรุ่นเมาเรืออย่างฉันเลยต้องออกมาสูดอากาศเพราะยาแก้เมายังเอาไม่อยู่
“เฮ้อ ค่อยยังชั่ว”
วิวของทะเลฮ่องกงยามค่ำคืนนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากประเทศไทยมากนักหรอก แต่ตรงที่ฉันยืนอยู่ทำให้มันมีเสน่ห์มากกว่าที่เคย ก็เพราะบนฝั่งนั้นมีภาพของตึกมากมายที่เหมือนไม่เคยหลับใหล ไฟหลากหลายสีสันสะท้อนกระทบกับผืนน้ำเป็นภาพสวยงามแปลกตา มันทำให้ฉันคิดไปถึงเมืองที่ไม่เคยหลับใหลอย่างกรุงเทพฯ เลย
คงจะดีนะ ถ้าเกิดว่ากลับไปแล้วฉันจะยังมีโอกาสได้มองวิวสวยๆ แบบนี้ ใส่ชุดที่ฟูฟ่องเหมือนกับเจ้าหญิงในนิทาน สูดกลิ่นทะเลผสมกลิ่นคาวเลือด...
กลิ่นคาวเลือด อะไรนะ?
แกรก!
เสียงดังจากอีกฟากของระเบียงเรือที่แสนคับแคบทำให้ฉันสะดุ้งจนก้าวถอยหลังอัตโนมัติบวกกับกลิ่นคาวคลุ้งที่เข้ามาเตะจมูก ในช่วงนี้ที่ฉันจมูกไวต่อกลิ่นมากกว่าปกติเนื่องจากใกล้ประจำเดือนมามันทำให้อาการเมาเรือที่เพิ่งหายไปแทบจะกลับมาอีกครั้ง
“บอสเข้าไปเถอะครับ ตรงนี้พวกเราจัดการให้เอง”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นจากตรงนั้น ยิ่งทำให้เท้าของฉันถอยหลังมากกว่าเดิม กระทั่งหลังชนเข้ากับผนังเรืออันแสนเย็นเฉียบ แต่ก็ต้องหยุดอยู่แค่นั้นเพราะไม่มีที่ให้ถอยอีกแล้ว
ตรงนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วกลิ่นเลือดนี่มันอะไรกัน
“มึงคิดว่าตัวเองมาขวางแผนของกูได้แล้วจะช่วยคนรักของมึงได้งั้นสิ? เหอะ อ่อนหัด”
“กูก็ไม่คิดเหมือนกันนะว่าจะได้มาเจอเพื่อนเก่าที่นี่ ว่าแต่ช่วงนี้พูดไทยชัดดีนี่ สงสัยเหมือนกันว่ามึงวางแผนจะทำอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว”
ฉันเองก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าพวกนั้นคุยกันด้วยภาษาไทย! ถึงแม้ว่าฝั่งหนึ่งจะพูดแปร่งๆ แบบชาวต่างชาติก็เถอะ แต่อีกคนนี่พูดชัดมากๆ ไม่น่าเลยฉัน ทำไมต้องเกิดเรื่องขึ้นในภาษาที่ฉันฟังรู้เรื่องด้วย พวกเขากำลังทะเลาะกันแล้วมีคนเลือดตกยางออก ฉันเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก รีบหาทางหนีไปจะดีกว่า
ในหัวจินตนาการถึงเรื่องเลวร้ายมากมายที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หรือที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าฉัน หัวใจมันก็เต้นรัวจนห้ามเอาไว้ไม่อยู่ เหงื่อก็แตกพลั่กทั้งที่อากาศเย็นจะตายชัก
ฉันคงไม่ตายในวันจบการศึกษาของตัวเองหรอกใช่ไหม?
“ไม่แปลกใจสักนิดเลยเหรอ เพื่อนเก่าที่มึงทิ้งให้ตายคนนั้นทำไมมาอยู่นี่ได้”
คำนี้เขาพูดออกมาเป็นภาษาจีน และฉันเรียนที่นี่มากว่าสี่ปีก็ดันฟังออกทุกคำเสียด้วย เรื่องนี้มันน่ากลัวจนฉันขนลุกซู่ไปหมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ฉันได้แต่ภาวนาให้เรื่องนี้มันไม่จริง ให้มันเป็นแค่การซ้อมบทละครของเด็กนิเทศก็เท่านั้น
“คนอย่างมึงมันตายยาก ขนาดกองไฟยังเอามึงไปไม่ได้ นรกคงไม่ต้อนรับแล้วสิ” ส่วนคนนี้ตอบกลับเป็นภาษาไทย เป็นการคุยกันที่คนฟังออกสองภาษาอย่างฉันรู้สึกว่าสับสนสิ้นดี
“แย่จังนะ กูคิดว่าตอนนั้นมึงทำผิดต่อพวกกูเลยจะมาถามเอาคำขอโทษ แต่ดูจากหน้ามึงแล้วคงไม่สำนึก”
“ขอโทษ...เรื่องอะไรวะ เรื่องที่มึงทำพลาดแล้วเกือบทำให้ตัวเองตายเหรอ?”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ฉันกลับรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่ลอยมาตามลม ในอกของฉันมันปั่นป่วนเหมือนกับว่า...สายตาอาฆาตพวกนั้นกำลังจ้องฉันอยู่
“ก็ถ้ามึงจำไม่ได้ งั้นกูเอาสิ่งที่แฟนกูโดนไปลงกับคนรักของมึงดีไหม? ใครน้า...ยัยคนสวยๆ ที่มาจากมูลนิธิคนนั้นหรือเปล่า”
“ถ้ามึงกล้าแตะจันทร์จ๋า กูไม่เอามึงไว้แน่!!”
คราวนี้คนไทยคนนั้นถึงกับตะโกนขึ้นมาด้วยความเดือดดาล ฉันที่เห็นท่าไม่ดีเริ่มมองหาทางหนีทีไล่ แต่ตอนนี้ซ้ายมือของฉันคือด้านข้างเรือซึ่งไม่มีที่ให้เดินต่อแล้ว เนื่องจากเป็นจุดของหน้าต่างห้องพักจึงไม่มีระเบียงยื่นออกมา ส่วนขวามือนั้นคือทางเดินที่ฉันใช้เดินมาซึ่งทางเข้าไปข้างในเองก็เหมือนจะต้องผ่านตรงนั้นไปด้วย
“มีคนแอบดูครับบอส”
ทันใดนั้นเสียงของชายอีกคนก็ดังขึ้น คำพูดนั้นฉันได้ยินชัดเต็มสองหู ทำให้ต้องขนลุกซู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ตายโหง!
“เก็บมัน ส่วนไอ้หมอนี่...”
เดี๋ยวๆๆ เก็บมันที่ว่าหมายถึงอะไร เก็บฉันเหรอ หรือว่ามันไหน ได้โปรดระบุชื่อด้วยไม่อย่างนั้นฉันไม่รับนะ กรี๊ด!
“ทำไม มึงจะทำไมกู มึงติดค้างกูไอ้คามินทร์ มึงกล้าฆ่ากูลงเหรอ?” คำพูดของหนุ่มจีนทำให้บรรยากาศตรงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่คนสั่งเก็บ มัน คนนั้นจะตอบกลับ
“ปล่อยมันไป แล้วส่งคนไปคุ้มกันจันทร์จ๋าด้วย”
“รับทราบครับ”
เอาแล้วไง
เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้หัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้น ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้ ฉันเพิ่งจะอายุ 22 ยังเรียนไม่ทันจบด้วยซ้ำ ฉันอยากเป็นแฟชั่นดิไซเนอร์ อยากโลดแล่นในวงการแฟชั่น ไม่อยากมากลายเป็นศพนอนก้นทะเลตอนนี้
สายตาของฉันมองซ้ายแลขวาเพื่อหาทางรอด ตอนนี้รอบตัวฉันไม่มีอะไรที่พอจะหลบหรือเป็นอาวุธเลย คาดว่าพวกอุปกรณ์บนเรือที่เกะกะคงถูกเคลียร์ออกไปก่อนงานเริ่มจนหมดแล้ว และด้วยความที่งานจัดบริเวณชั้นล่าง ทำให้ตรงนี้ไม่มีคนหรือแม้แต่แสงไฟ
แต่พวกนั้นก็ไม่ได้ให้เวลาฉันคิดนานนัก เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาบีบให้ฉันต้องตัดสินใจอย่างเร็วที่สุด มองซ้าย แลขวา แล้วก็ชะโงกหน้าไปมองด้านข้างตัวเรือซึ่งมีไฟออกมาจากภายในห้องที่เปิดหน้าต่างเอาไว้อยู่ ดูจากระยะที่ราวเหล็กนี่ตั้งอยู่กับหน้าต่างห่างประมาณสองเมตรครึ่งได้ แม้ว่าฉันจะเป็นคนแขนขาสั้นด้วยความสูงที่ไม่ถึง 160 เซนติเมตร แต่ด้านบนก็มีราวเล็กๆ ให้พอจับและโหนตัวไปตรงนั้นได้อยู่
จากสถานการณ์ตรงหน้าฉันไม่มีเวลาให้ตัดสินใจด้วยซ้ำ เท้าก้าวขึ้นไปบนราวระเบียงได้ก็เอื้อมมือไปจับราวด้านบนและโหนตัวออกไปในทันที
“ไม่มีว่ะ ไปไหนแล้ววะ”
เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกนั้นมาถึงตรงที่ฉันอยู่ แค่นี้ก็ถือว่ารอดไปได้อย่างหวุดหวิด ทว่าตอนนี้ตัวฉันยังคงห้อยโตงเตงติดผนังเรืออยู่นั้นก็รู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่านหลังจนเสียววาบไปหมด เมื่อมองลงไปเบื้องล่างก็ถึงกับมือไม้อ่อน ภาพน้ำทะเลลึกทำให้ฉันกลัวจนแทบจะร่วงไปจากราวจับนี่อยู่แล้ว
แม่เจ้า หนีเสือปะจระเข้จริงๆ เลยฉัน ตอนนี้ไอ้พวกนั้นหาฉันไม่เจอเลยไม่ถูกเก็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะรอดจากการตกเรือตายนี่นา
แง พ่อจ๋าแม่จ๋า วันนี้ถ้าเกิดว่าหนูตายก็มารับหนูด้วยนะคะ พ่อกับแม่จงรู้ไว้ด้วยว่าลูกสาวของแม่มีโอกาสได้ตัดชุดที่สวยที่สุด แต่กลับไม่มีโอกาสได้เห็นมันเฉิดฉาย อย่างที่เขาว่างานของเราจะแมสก็ต่อเมื่อเราตายไปแล้ว นี่พระเจ้ากำลังจะยื่นโอกาสนั้นให้ฉันใช่ไหม
ฮือ ฉันยังไม่อยากตาย
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ