ดินสอไม้แท่งเดิมกับสมุดปกขาดที่ขอบยังคงวางอยู่บนโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าทอดผ่านใบมะละกอหน้าบ้านตกกระทบกับหน้าโต๊ะอย่างพอดิบพอดี เสียงไก่ขันแว่วมาเป็นระยะ บรรยากาศยามเช้าในหมู่บ้านก็ยังคงเหมือนเดิมทุกวัน แต่ภายในหัวใจของลุงเหมืองกลับเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
หลังจากที่กลับมาจากจังหวัดข้างเคียง ลุงเหมืองยังไม่ได้ตอบรับข้อเสนอเรื่องขอซื้อพันธุ์มะเขือเทศของคุณนายพันดาวทันที แม้จะเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจและให้เกียรติลุงเหมืองเป็นอย่างมาก แต่บางอย่างในใจลึก ๆ กลับกระซิบให้เขาลังเล กระซิบบอกว่า นี่ไม่ใช่ทางของเขา
ลุงเหมืองคิดหนักอยู่หลายวัน คิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในที่สุด เขาก็ตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่และหนักแน่น ลุงเหมืองกดมือถือโทรหาคุณนายพันดาวในตอนเช้าวันหนึ่ง ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นสูงน้ำเสียงของเขาไม่มีความลังเล
“ผมขอบคุณคุณนายมากนะครับสำหรับโอกาสและความกรุณาทุกอย่าง แต่เรื่องขอซื้อพันธุ์ ผมขอเก็บไว้กับตัวเองดีกว่าครับ เพราะสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่แค่เมล็ดพันธุ์ แต่มันคือรากของผมกับครอบครัว”
ปลายสายเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเข้าใจ
“ฉันเข้าใจค่ะลุง ขอบคุณที่พูดตรง ๆ นะคะ”
ในน้ำเสียงนั้นไม่มีความขุ่นเคืองใด ๆ ไม่มีการต่อรองเพิ่มเติม มีแค่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งในระหว่างคนสองคนที่แตกต่างกันเหมือนมาจากคนละโลกแต่มีหัวใจที่รักในสิ่งเดียวกัน
หลังจากวางสายจากคุณนายพันดาว ลุงเหมืองถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ รู้สึกเบาใจเหมือนยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก ถึงแม้จะไม่ยอมขายพันธุ์มะเขือเทศ แต่สิ่งที่เขาได้กลับมาก็ไม่ใช่น้อย ๆ เขาได้รับความรู้ใหม่ ๆ จากโรงเรือนของคุณนายพันดาวที่ไปเยี่ยมชมมา ลุงเหมืองได้จดทุกขั้นตอนการดูแลพืชในสภาพแวดล้อมควบคุมลงในสมุดบันทึกคู่กาย ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีราคาแพงแบบทีมงานของคุณนายพันดาว แต่เขาก็มีสมอง สองมือ และที่ดินผืนเดิมที่แสนคุ้นเคย
ลุงเหมืองเริ่มทดลองซื้อพลาสติกใสแบบประหยัดมากั้นพื้นที่เล็ก ๆ หน้าบ้านเพื่อใช้เป็นเรือนเพาะต้นกล้า เปลี่ยนเวลารดน้ำจากการใช้สายยางฉีดแบบมั่ว ๆ มาเป็นการรดน้ำตามรอบ ใช้ขี้เถ้าจากเตาฟืนมาผสมดินตามที่จดไว้ในสมุดบันทึก และเริ่มหาขวดน้ำเก่า ๆ มาตัดเป็นภาชนะทดลองปลูกแบบควบคุม
ใครจะว่าโบราณ ใครจะบอกว่านี่มันไม่ทันสมัยก็ช่างเขา แต่ลุงเหมืองเลือกที่จะเชื่อในความเรียบง่ายที่พอทำได้ในแบบของตัวเอง
ในวันจันทร์ถึงศุกร์ ลุงเหมืองยังคงทำงานเป็นภารโรงของโรงเรียนบ้านดอนแดงพัฒนาเหมือนเดิม และยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเช่นเดิม เด็กนักเรียนรู้จักเขาทุกคน ลุงเหมืองไม่ใช่แค่ภารโรงที่ทำความสะอาด แต่ยังเป็นเหมือนพี่เลี้ยงของเด็ก ๆ เป็นช่างประจำโรงเรียน เป็นคนตบหัวแล้วลูบหลังเวลาที่มีเด็กทะเลาะกัน
แต่ตอนนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ หลังเลิกเรียน ลุงเหมืองไม่ได้ขี่จักรยานเอาผักไปขายที่ตลาดเหมือนเดิมอีกแล้ว เขาเลือกกลับบ้านเร็วขึ้น เปลี่ยนเวลาขายผักมาเป็นเวลาคิด คำนวณ และปลูกมะเขือเทศเพิ่ม
ทุกวันเสาร์อาทิตย์ เขาจะวางมือจากเครื่องมือทำความสะอาด มาเปลี่ยนเป็นถือจอบ เสียบหมวกใบเก่าแล้วเดินไปดูแปลงปลูกผัก พร้อมกับจดบันทึกไว้ทุกอย่างว่าแสงแดดวันไหนแรงเกินไป ต้นไหนโตช้า หลังจากรดน้ำแล้วใช้เวลากี่วันกว่าจะออกดอก
ในตอนนี้ลุงเหมืองกำลังออกแบบ ‘วิธีการของตัวเอง’ อย่างจริงจัง จนกระทั่งวันหนึ่ง ลุงเหมืองไปตลาดในตัวอำเภอในตอนเช้าตรู่ตั้งใจจะไปซื้อเมล็ดผักเพื่อเอาไปปลูก และก็ได้พบใครบางคนที่นึกถึงอยู่ในใจโดยไม่คาดคิด
“อ้าว ลุงเหมือง” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง
ลุงเหมืองหันไปเห็นแพรในเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกระเป๋าผ้าสะพายข้างที่เต็มไปด้วยผักสด แพรยังคงยิ้มสดใสเหมือนเช่นเคย
“บังเอิญจังเลย ลุงมาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“ลุงมาซื้อของ หนูแพรล่ะ”
“หนูมาซื้อผักให้แม่ แล้วก็แวะเดินเล่นนิดหน่อยค่ะ”
“ดีเลย ๆ ลุงมีเรื่องอยากคุยด้วยพอดี”
ทั้งสองคนเดินไปนั่งลงที่โต๊ะม้าหินอ่อนตรงมุมข้างร้านกาแฟในตลาด ลุงเหมืองเล่าให้แพรฟังทุกอย่าง ตั้งแต่ไปดูโรงเรือนกับคุณนายพันดาว ไปจนถึงการตัดสินใจไม่ขายพันธุ์มะเขือเทศให้คุณนายพันดาว รวมไปถึงสิ่งที่เขากำลังทดลองทำในตอนนี้ แพรตั้งอกตั้งใจฟังทุกคำพูดของลุงเหมือง ไม่มีการพูดแทรกและไม่มีการขัดจังหวะใด ๆ
“หนูแพรยังจำคำที่หนูเคยพูดกับลุงได้ไหม” ลุงเหมืองถาม
แพรยิ้ม “เรื่องช่วยลุงถ้าลุงจะปลูกมะเขือเทศเพิ่มใช่ไหมคะ”
“ใช่...” ลุงเหมืองเอ่ยตอบพลางยิ้มบาง ๆ ส่งให้
“จำได้สิคะ ลุงจะเริ่มปลูกตอนไหนล่ะ”
“ลุงกำลังจะเริ่มแล้วล่ะ อยากจะขยับขยายจริงจังสักที ลุงไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไป ถึงจะเดินช้ากว่าคนอื่น แต่ก็อยากให้มันมั่นคงกว่าเดิม”
แพรพยักหน้า “แล้วลุงอยากให้หนูช่วยอะไรบ้างคะ”
“ลุงอยากได้สมองของหนุ่ม ๆ สาว ๆ แบบหนูมาช่วยคิด” ลุงเหมืองหัวเราะเบา ๆ
“พวกเรื่องวางผังแปลง การบันทึกผลผลิต การทำตารางเก็บเกี่ยว ลุงไม่ค่อยถนัด หนูช่วยดูให้หน่อยได้ไหม”
แพรหัวเราะตาม “แน่นอนอยู่แล้วค่ะ หนูเต็มใจมาก ๆ เลย”
วันนั้น กลายเป็นวันเริ่มต้นของทีมเล็ก ๆ ของลุงเหมือง ทีมที่มีแค่สองคน คือลุงเหมืองกับแพร แต่กลับมีความมุ่งมั่นเกินร้อย
แพรเป็นครูสอนที่โรงเรียนในตัวอำเภอ และจะมาที่บ้านของลุงเหมืองทุกวันเสาร์ที่ไม่ได้ไปสอนหนังสือ เธอช่วยลุงเหมืองวางผังพื้นที่ใหม่ ลอกแปลนลงบนกระดาษ เขียนตารางเก็บข้อมูลผลผลิต ถ่ายรูปแต่ละแปลงเก็บไว้เปรียบเทียบการเจริญเติบโต และสอนให้ลุงเหมืองใช้สมาร์ตโฟนเก่า ๆ ที่เพิ่งซื้อมาแบบมือสองในการถ่ายภาพและบันทึกทุกอย่างไว้ใน G****e Sheet
“นี่นะลุง แค่จิ้ม ๆ แล้วก็จะดูตารางได้เลย ต่อไปก็ไม่ต้องเปิดสมุดทุกครั้งแล้ว” แพรสาธิตให้ดู
“โอ้โห เทคโนโลยีสมัยนี้นี่มันเจ๋งจริง ๆ เลยนะ” ลุงเหมืองหัวเราะแบบคนที่เพิ่งเจอโลกใหม่
วันเวลาเดินต่อไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ผลผลิตชุดใหม่เริ่มทยอยออกผล ลูกใหญ่ขึ้น สีสวยขึ้น และที่สำคัญ มีระบบรองรับแล้ว
ลุงเหมืองยังคงเป็นภารโรงเหมืองคนเดิม ยังคงยิ้มให้เด็กนักเรียน ยังคงจูงจักรยานคันเก่าไปขายผักที่ตลาดในบางวัน แต่ในความเงียบของแปลงผักหลังบ้านและแปลงผักหลังโรงประชุมของโรงเรียน ในสมุดบันทึกที่มีตัวเลขเขียนไว้อย่างละเอียด และในรอยยิ้มของแพรทุกวันเสาร์ มันกำลังมีบางอย่างที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างเงียบงัน
สิ่งนี้มันไม่ใช่แค่มะเขือเทศ แต่คือความหวังเล็ก ๆ ของคนที่เลือกจะเดินในเส้นทางที่หัวใจตัวเองร้องบอกให้เดิน ถึงแม้เส้นทางนั้นจะเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครเลือกก็ตาม...