ฉู่เฟยถูกไทเฮาขับไล่ออกจากตำหนักใหญ่ สภาพราวกับสุนัขจรจัดที่สิ้นไร้หนทาง ใบหน้าหมองคล้ำอับอาย
นางเพิ่งจะเดินออกมาจากตำหนักฉือหนิง ก็ประจวบเหมาะกับองค์ชายเจ็ดที่กำลังเดินมาอย่างเร่งรีบ พลันขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แผนการหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ
องค์ชายเจ็ดเห็นฉู่เฟยก็รีบหยุดฝีเท้า “ลูกถวายบังคมฉู่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเขตพระราชฐานชั้นใน เหตุใดจึงรีบร้อนลนลานเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักกาลเทศะเสียเลย? ไม่มีท่าทีของความเป็นองค์ชายแม้แต่น้อย! เจ้าเร่งรีบไปทำอันใดกัน?”
ในใจของนางอัดแน่นไปด้วยความโกรธ กำลังกลุ้มใจที่ไม่มีที่ระบาย พอดีมาเจอองค์ชายเจ็ดผู้ดูอ่อนแอ ย่อมไม่ปล่อยไปง่ายๆ
องค์ชายเจ็ดกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งให้ลูกเป็นรองแม่ทัพ ติดตามท่านแม่ทัพจางไปยังดินแดนทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ที่มา หนึ่งคือเพื่อแจ้งข่าวดี สองคือเพื่อมาทูลลาไทเฮา เมื่อมีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้ ในใจจึงค่อนข้างตื่นเต้น การกระทำจึงดูเร่งรีบไปบ้าง เกือบจะล่วงเกินฉู่เฟยแล้ว ขอท่านโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ...”
ฉู่เฟยเลิกคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้าก็แค่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเพียงรองแม่