“เฮ้ย!” ทานากะอุทานออกมาแล้วเบียดตัวฝ่าฝูงชนไปที่ประตูใหญ่ บริเวณทางเข้างาน
“บอกให้คนพวกนั้นออกไปซะ! บอกให้พวกเขาออกไป!” การ์ดหนุ่มร้องสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น แต่เจ้าหน้าที่ ณ จุดนั้นมีแค่ สามสี่คน กับจำนวนคนที่มีมากกว่าจึงทำอะไรไม่ได้มาก อีกทั้งกลุ่มผู้สื่อข่าวทั้งหลายทั้งเบียด ทั้งดันตรงทางเข้า แล้วแถมยังมีกล้องในมือพร้อม ความกระหายอยากในการหาข่าว มีมากกว่าจรรยาบรรณเสียแล้ว
“นี่มันอะไรกัน แค่รัฐมนตรีฯ มาแค่คนเดียวทำไม พวกนักข่าวถึงได้ตื่นเต้นกันขนาดนี้ล่ะ” ทานากะตะคอกออกมาอย่างหัวเสีย กับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ทำหน้าเหรอหราทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน“ เอ่อ..คือว่า..คนที่มากับท่านรัฐมนตรีฯ เป็นดาราดังที่มีข่าวคึกโครมอยู่ตอนนี้น่ะสิครับ” ทานากะถึงบางอ้อ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ลำพังถ้ารัฐมนตรีฯ มาคนเดียวคงไม่วุ่นวายอย่างนี้กระมัง
“ เฮ้อ!” บอดี้การ์ดหนุ่มได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างระอา พร้อมกับโมโห พวกบรรดากองทัพนักข่าวทั้งหลาย ไม่เคารพกฎกติกากันบ้างเลย เพราะคนที่จะเข้ามาในงานได้นั้น ต้องมีบัตร และต้องได้รับการตรวจสอบก่อนที่จะปล่อยให้เข้ามาในงานได้ ทานากะตัดสินใจก้าวเข้าไป เดินดุ่ม ๆ ฝ่าฝูงชนนักข่าวไปยังบริเวณลงทะเบียน ในขณะเดียวกันนั้น ท่านรัฐมนตรีฯ กระทรวงวัฒนธรรมก็กำลังก้าวเข้ามาในงานพอดิบพอดีเช่นกัน
“ ขอดูบัตรด้วยครับ!” การ์ดหนุ่มเอ่ยออกไปด้วยภาษาไทยที่ค่อนข้างชัดแจ๋วเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ เปรมศักดิ์หันมาทางชายหนุ่มแทบจะทันที“หืมม์ .. ว่าไงนะ”
“ขอดูบัตรเชิญของท่านด้วยครับ” ทานากะจำเป็นต้องพูดซ้ำออกไป จังหวะเดียวกันกับเลขาของเปรมศักดิ์ก็ปราดเข้ามาทันที แต่ท่านรัฐมนตรีฯ ยกมือห้ามไว้เสียก่อน
“ ไม่เป็นไร กฎก็ต้องเป็นกฎสิ” ท่านผู้นำกล่าวก่อนจะดึงบัตรเชิญในกระเป๋าเสื้อสูทราคาแพงออกมา ยื่นให้กับบอดี้การ์ดหนุ่ม
“ เรียบร้อยใช่ไหม เข้าไปได้หรือยัง?” ทานากะรับบัตรเชิญมาเช็ค สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเปรมศักดิ์
“ เรียบร้อยครับ เชิญท่านได้เลย แต่คุณผู้หญิงท่านนี้ล่ะครับ มีบัตรเชิญหรือเปล่า?” บอดี้การ์ดหนุ่มหันความสนใจมาทางสาวสวยรูปร่างบอบบาง หล่อนมาในชุดราตรียาวสีแดงสด คอเสื้อคว้านลงมาลึก เกือบ ๆ ถึงร่องอกขาวกระจ่าง ไม่แน่ใจนักว่าด้านหลังจะเป็นเช่นเดียวกันหรือเปล่า ส่วนกระโปรง ก็แหวกด้านข้างขึ้นมาจนเห็นเรียวขาขาวสวยสดชัดเจน
“ฉันน่ะหรือ”ดาราสาวสวยย้อนถามด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความประหลาดใจไม่น้อย
“………” ทานากะเพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้น เหมือนแสดงให้รู้ว่าได้พูดประโยคเมื่อสักครู่ชัดเจนแล้ว
“นี่คุณ ฉันมากับท่านรัฐมนตรีนะ ฉันจำเป็นจะต้องมีบัตรเชิญด้วยเหรอ? ท่านคะ.. นี่มันอะไรกันคะ?” ในตอนท้ายดาราสาวหันมาขอความเห็นจากท่านรัฐมนตรีฯ พร้อมกับทำท่าทางฟึดฟัดอย่างขัดใจ
“ คุณผู้หญิงคนนี้ เขามากับฉัน” ผู้ใหญ่ท่านนั้นหันมาพูดกับทานากะ บรรดานักข่าวต่างก็ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า กล้องของกองทัพนักข่าว ยกขึ้นเพื่อเก็บรายละเอียดกันให้พรึบอย่างพร้อมเพรียง
“ แต่ทว่าไม่มีบัตรเชิญ ก็เข้าไม่ได้ครับ นอกจากว่า.. ผู้ที่มากับท่านจะต้องเป็นภริยาเท่านั้น”
“ อะไรนะ!” ณ บริเวณนั้นเงียบไปถนัดใจ กลุ่มนักข่าวเงียบเสียงลงด้วยความฉงน ต่างก็ทำตาเป็นประกาย เมื่อทราบว่า ภาพต่อไปจะต้องได้ลงข่าวหน้าหนึ่งของวันพรุ่งนี้แน่ แล้วกล้องโทรทัศน์หลาย ๆ ช่องก็เริ่มทำงานอีกครั้ง ส่วนกล้องถ่ายภาพนิ่ง ก็เตรียมที่จะเก็บภาพเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดเรื่องขึ้นในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน
“กฎก็ต้องเป็นกฎ ที่ทุกคนต้องทำตามนะครับท่าน บุคคลทั่วไปที่ไม่มีบัตรเชิญ จะสามารถเข้ามาชมงาน ได้ในวันพรุ่งนี้ครับ ผมจึงขอเชิญคุณมาวันพรุ่งนี้แทนดีไหมครับ”ในตอนท้ายประโยค การ์ดหนุ่มหันไปทางดาราสาวแทน
“ ห๊า..นี่พูดอะไรออกมาน่ะ ไอ้ยุ่น แกเป็นใครถึงได้กล้าพูดออกมาอย่างนี้ หึ..สงสัยว่าคงไม่อยากทำงานที่นี่ เสียแล้วกระมัง” ท่านรัฐมนตรีฯ กล่าวออกมาอย่างเดือดดาล สุดจะทนกับวาจาที่ดูไม่ทุกข์ร้อนของทานากะเป็นกำลัง
“ ก็แล้วแต่ท่านนะครับ ผมทำตามหน้าที่เท่านั้น” หึ..เพราะคนที่จะมาไล่เขาออกจากการเป็นบอดี้การ์ดมีคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ คัทซึฮิโกะ ฮิโรยูกิ เจ้าของ อัญมณีเพชรพลอยเหล่านี้ต่างหากเล่า ป่านนี้เขาคงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง จากกล้องวงจรปิดที่ส่งตรงไปยังห้องพักสุดหรูบนชั้นสิบสองแล้วกระมัง ทานากะกระตุกยิ้มที่มุมปาก ยืดตัวตรง กางขาออกเล็กน้อยพลางสบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง
“แก..แกต้องการอะไรกันแน่ ฉันจะจัดการไล่แกออกทันทีเลยคอยดู!” ทานากะโค้งคำนับช้า ๆ อย่างท้าทาย สร้างความโมโหเดือดดาลให้กับท่านรัฐมนตรีเป็นเท่าทวีคูณ“ โอ๊ย! นี่มันอะไรกัน เสียอารมณ์หมด ถึงเข้าไปในงานได้ก็ไม่สนุกแล้ว ฉันจะกลับล่ะ หลีกไป!” ดาราสาวตะวาดแว๊ดออกมาอย่างสุดทนกับเหตุการณ์ตรงหน้า ก่อนจะไล่ตะเพิดบรรดานักข่าวให้หลีกทาง
“อ๊ะ! ดะ..เดี๋ยวสิ นาตาลี รอฉันก่อน” เปรมศักดิ์ร้องห้ามดาราสาว ก่อนจะถลาตัวตามอย่างร้อนรน ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่นับว่าเป็นลางสังหรณ์ของทานากะกังวลอยู่ก็เกิดขึ้นจริง ๆเมื่อเขาสังเกตเห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่มีท่าทางแปลก ๆ ตั้งแต่เข้ามาในงานแล้ว การ์ดหนุ่มพยายามจับตามองอยู่ตั้งแต่ตอนที่หมอนั่นเข้ามาในงาน เขามีบัตรเชิญเข้ามาในงานด้วย แต่ทานากะก็ยังติดใจสงสัยอยู่ดี ชายร่างสูงพอประมาณ สวมเสื้อสูทผูกไท แต่ดูมอมแมมยังไงอยู่ แถมทรงผมที่ดูเหมือนไม่ได้หวีก่อนมางาน ใบหน้าซูบผอมอย่างคนเร่ร่อน ก่อนหน้านั้นเขากวาดสายตาหาชายคนเมื่อครู่ แต่พอบรรดานักข่าวกรูกันเข้ามา เขาก็ไม่สามารถมองเห็นชายคนนั้นอีก นึกว่าออกจากงานไปแล้ว แต่..มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ
การกระทำของทั้งสองได้เรียกน้ำตาให้กับคนที่พบเห็น บริเวณห้องฉุกเฉินได้เป็นอย่างดี ชั่ววินาทีนั้นราวกับว่าได้หยุดทุกสิ่งทุกอย่างให้หยุดอยู่กับที่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วยที่ร้องโอดโอย เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลบริเวณหน้าขา เพิ่งถูกเข็นผ่านเข้ามาภายใน ต้องหยุดชะงักงันไปชั่วขณะ เหลือบมองมายังคู่หนุ่มสาวทั้งสองด้วยความงุนงงสงสัย ลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่ไปเลยทีเดียว ทางด้านผู้สูงอายุทั้งสาม ถึงกับอึ้งไปกับการกระทำของทั้งสองหนุ่มสาว ความรู้สึกตื้นตัน และเห็นความตั้งใจจริงของทั้งสอง แสดงให้รู้ว่าพวกเขารักกันมากมายขนาดไหน ฝ่ายชายถึงกับสามารถตัดขาดจากสมบัติและวงศ์ตระกูลได้เลย เพื่อแลกกับการได้ครองรักกับหญิงสาวร่างเล็กบอบบางข้างกาย ลี ฮาซันถึงกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตา มองไปทางด้านผู้เป็นสามีคล้องวงแขนเข้ากับลำแขนของอีกฝ่ายซุกหน้ากับอกของสามี ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ทางด้านลี จางชีก็มีอาการไม่ต่างจากกันนัก จึงแตะที่แขนของภรรยาอย่างปลอบประโลม ชายชราหนึ่งเดียวนั้นก็ไม่ได้มีอาการแตกต่างจากคนอื่นเท่าใดนัก ร่างที่ค่อนข้างค้อมเล็กน้อย ไขว้มือที่เหี่ยวย่นไว้ด้านหลังข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างวางอยู่บน
น้ำรินพยายามลืมตาตื่น รู้สึกมึนงงไปหมด อาการคลื่นไส้ จะเป็นลม หายเป็นปลิดทิ้งหลังจากที่ได้ให้น้ำเกลือ และนอนพักเต็มอิ่มแล้ว ดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำอุ่น ๆ เค็ม ๆ ถูกเช็ดออกจากดวงหน้าด้วยนิ้วเรียวใหญ่อย่างเบามือของผู้เป็นสามี“ตื่นแล้วหรือ? เป็นไงบ้าง? ยังเวียนหัวอยู่หรือเปล่า?” คำถามรัวถี่ติด ๆ กันจนคนถูกถามแทบตอบไม่ทัน จึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ หล่อนไม่อยากให้เขาเป็นกังวลมากนัก“ไอ้หมอหัวล้านกับเจ้ายูมันให้เธอกลับบ้านได้ แต่ฉันว่าเธอยังไม่แข็งแรงดีเลย ยังไงนอนพักดูอาการที่นี่สักคืนดีไหม” ผู้เป็นภรรยาส่ายหัวดิกเมื่อ ได้ยินผู้เป็นสามีบอกให้นอนพักที่นี่สักคืน“ไม่เอาค่ะ หายดีแล้ว ไม่เวียนหัว ไม่คลื่นไส้ ไม่มีอาการอะไรทั้งนั้นแล้ว ฉันหายดีแล้วจริง ๆ นะคะ” อยากจะบอกเหลือเกินว่า แค่ตื่นขึ้นมาแล้วได้เจอหน้าเขา มาอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้อาการต่าง ๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีเลยล่ะ“จริงนะ ห้ามโกหก เป็นพยาบาลอะไรไม่ชอบโรงพยาบาลเฮ้อ!” ชายหนุ่มชะโงกหน้า มองเสี้ยวหน้าภรรยาตัวน้อยด้วยความมันเขี้ยว มือใหญ่วางแปะที่ศีรษะเล็กนั้น เขย่าเบา ๆ อย่างเอ็นดู“กลับบ้านกันเถอะนะคะ” คนไข้ตัว
“ดี..แล้วก็เอาหัวล้าน ๆ ของไอ้หมอคนเมื่อกี้ออกไปห่างเมียกันหน่อยได้ไหม กันไม่ชอบขี้หน้ามันเลยว่ะ” ฮิโรยูกิหันมากระซิบข้างหูเพื่อนรักทันทีที่หันไปเห็นแพทย์คนเมื่อสักครู่ เดินเลี่ยงออกไปทางด้านซ้ายของเตียงคนไข้ นั่นก็เรียกรอยยิ้มให้ยูอิจิได้เป็นอย่างดี ขี้หึงจริง ๆ นะเพื่อนเรา แม้แต่หมอแก่ร่างท้วม กับหัวที่มีผมทางตอนหน้าเหลือน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง ไปหาว่าเขาหัวล้านซะนี่ ร้ายจริง ๆ“ออกไปก่อนเถอะเพื่อน ไม่ต้องห่วงทางนี้ กันจะช่วยดูให้อีกแรงหนึ่ง” คำยืนยันของยูอิจิ บอกว่าภรรยาของเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ร่างสูงจึงยอมถอยห่างออกมาแต่ไม่ได้ไปไหนไกล เขายังคงปักหลักยืนอยู่ห่าง ๆ ในมุมห้องแคบนั้น พลางกอดอกมองแพทย์และพยาบาลตรวจร่างกายหล่อนเงียบ ๆ“ฮีโร่..ฮีโร่..ตื่นเถอะ”“อ๊ะ! ฮ๊ะ! ยู..เมียฉันล่ะเมียฉันเป็นไงบ้าง!” ร่างสูงผวาตกใจตื่น เมื่อได้ยินเสียงยูอิจิปลุกให้ตื่น เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“หึ..ตื่นขึ้นมาก็โวยวายเลยนะ คุณน้ำรินปลอดภัยแล้ว หมอให้น้ำเกลือ แล้วย้ายเธอไปนอนพักดูอาการที่ห้องข้าง ๆ โน่นแล้ว”“เหรอ? แล้วอยู่ไหนล่ะ?”“เดี๋ยวสิเพื่อน นี่นายไม่อ
“อือ ๆ ก็ว่าอย่างนั้นล่ะ” แล้วก็มีเสียงงึมงำจากคนรอบข้าง ที่บ่งบอกว่าเห็นด้วยกับความเห็นของเขา และนั่นก็ให้คุณคิม เซยอนชักสีหน้าอย่างไม่พอใจให้สามีทันที“เอาอย่างนี้สิ อะไรที่เป็นฝีมือของเธอ เราก็ชิมอันนั้นก็แล้วกัน..เรามาวัดกันที่รสชาติเป็นไง” และก็เป็นท่านปู่อีกตามเคยที่เอื้อมมือมาช่วยหล่อนไว้ ทำให้น้ำรินลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก การทดสอบเรื่องอาหารผ่านไปด้วยดี ผลที่ออกมาหล่อนได้คะแนนเกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าสูงมากเลยทีเดียว และสุดท้ายก็คือการชงชาที่ถูกต้อง ขณะที่กำลังนำถาดน้ำชาไปเสิร์ฟให้ผู้หลักผู้ใหญ่นั้นเอง วูบหนึ่งหล่อนรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนจนแทบล้ม แต่ก็พยายามข่มใจไว้ พลางยืดอกขึ้นสูดลมหายใจเพื่อเอาออกซิเจนเข้าปอดลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดเรื่องที่หญิงสาวไม่ต้องการให้เกิดมันก็เกิดขึ้นจนได้“อุ๊บ! อ๊ะ!” เพล้ง! จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อกลิ่นของชาชั้นดีโชยมาแตะเข้าที่จมูก กลิ่นของมันทำให้แก๊สในกระเพาะอาหารปั่นป่วนจนวิ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอ แทบอ้วกออกมา เท่านั้นเองโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว หล่อนเผลอยกมือขึ้นมาปิดปาก ทำให้น้ำหนักถูกเทไปที่มืออีก
สามวันแล้วสินะที่หล่อนโดนการทดสอบแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคุณอาหญิง วันแรกเธอให้หล่อนขัดถูเครื่องใช้โบราณที่อยู่ในครัว ทำอยู่เป็นวันกว่าจะเสร็จก็เล่นเอามือถลอกไปเลยทีเดียว ถัดมาอีกวันหนึ่งหล่อนถูกทดสอบการทำอาหารซึ่งหล่อนถนัดนักล่ะ ไม่ว่าเธอจะสั่งให้ทำอะไรหล่อนก็ทำมันออกมาได้เป็นอย่างดี และนั่นก็ทำให้คุณลี ฮาซัน เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับหล่อนดีขึ้น วันนี้เธอช่วยสอนวิธีชงชาที่ถูกวิธีให้กับหล่อนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฮีจินมาเยี่ยมหล่อนเมื่อช่วงบ่าย ก่อนจะกลับหล่อนได้ยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ นั่นก็คือหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลีในแต่ละยุคสมัย คุณลีบอกว่าอีกสองวันจะมีการประชุมผู้อาวุโสของตระกูล ให้หล่อนเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงวันนั้นเธอบอกว่าจะคอยช่วยหล่อนอีกแรงหนึ่ง น้ำรินรู้สึกดีใจเหลือเกิน ที่สามารถเอาชนะใจคุณลี ฮาซันได้ เพียงแค่ระยะเวลาอันสั้น ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พ่อบ้านเก่าแก่ ต่างก็ให้ความเป็นกันเองกับหล่อนมากขึ้นผิดกับวันแรก ๆ ที่หล่อนมาถึงที่นี่ลิบลับ หญิงสาวกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งในช่วงเย็น หลังจากร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกับผู้ใหญ่เรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กก้าวเข้าไป
ช่วงเดือนพฤษภาคมที่เกาหลีแลดูสดชื่นนัก ความสวยงามของดอกไม้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ผลิดอกบานสะพรั่งก่อนที่จะมีใบสีเขียวชอุ่มตามมา ไกด์จำเป็นอธิบายให้หล่อนฟังว่า ริมทางที่รถวิ่งผ่านมาส่วนมากจะเป็นต้นเมเปิลต้นอึนแฮง ( ต้นแป๊ะก๊วย) ต้นบอทือ ( ต้นหลิว) ต้นบอช ( ต้นซากุระ) ต้นชัน (คล้ายต้นสน) ส่วนที่อยู่บนเนินเขาจะมีดอกจิลดัลแล สีชมพูอมม่วง ดอกแคนารีสีเหลือง และดอกซากุระ หรือดอกชนามู สีขาวอมชมพู ต่างผลิดอกออกมาประชัน เปรียบเสมือนสีผ้าต่าง ๆ พืด ปูประดับประดาไว้อย่างสวยงาม ต้นไม้ที่ให้ร่มเงา ยืนเรียงรายริมถนนเริ่มผลิใบอ่อนบ้างแล้ว ตามกิ่งก้านจะมีนกเจบีตัวเล็ก ๆ สีดำส่งเสียงร้องอย่างร่าเริง รถคันจิ๋ววิ่งลัดเลาะผ่านภูเขาที่ดูคดเคี้ยว จากกรุงโซลออกมาแถวชานเมือง ได้สักพักใหญ่ ๆ คนขับกิตติมศักดิ์ของหล่อนก็หักพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวขวาขึ้นไปบนเนินสูงเบื้องหน้า วิ่งผ่านรั้วกำแพงสูงใหญ่เข้าไปด้านใน ก่อนจะจอดนิ่งสนิทหน้าลานกว้าง น้ำรินก้าวลงจากรถพลางเหม่อ