ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง
“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า
“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า
“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย
“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยามนั้นข้าป่วยหนักเงินที่จะใช้ซื้อยารักษาโรคก็แทบจะไม่มี อาหารการกินก็ขัดสน กินไม่อิ่มนอนไม่อุ่นเพราะไม่มีเงินทองพอที่จะซื้อความสบายอันฟุ่มเฟือย พอไม่ค่อยได้กินอิ่มท้องร่างกายก็มักจะต้องต่อสู้กับความหนาวเหน็บ ข้าจึงไม่ค่อยจะมีกำลังเพียงพอที่จะต่อกรกับพิษไข้ ยามนั้นข้ารู้สึกท้อแท้เป็นอย่างมากจนคิดไปว่าในยามนั้นข้าอาจจะตายไปแล้วและกลายเป็นดวงวิญญาณที่เข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งโลกที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองและแปลกใหม่สำหรับข้า” โม่ชิงเยว่เอ่ยเล่าพลางหลับตาคิดถึงความทรงจำเกี่ยวกับความฝันที่นางไม่เคยลืมเลือนได้เลย
“สถานที่แห่งนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ดูแปลกตา ผู้คนมากมายต่างก็ใช้สิ่งประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่มีการแบ่งแยกชายหญิง สถานะทางสังคมของทุกคนเท่าเทียมกัน... อืม อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเท่าเทียมสักเท่าไหร่เพราะอย่างน้อยเงินก็เป็นตัวกำหนดฐานะของทุกคน ยิ่งมีเงินมากสถานะทางสังคมก็สูงมากสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตก็พลอยมีมากไปด้วย สิ่งหนึ่งที่ข้ารู้สึกริษยาพวกเขาก็คือสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามอำเภอใจภายใต้กฎหมายที่พวกเขาใช้เป็นกฎเกณฑ์ในการควบคุมความประพฤติของทุกคน แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ต่างมีอิสระทางความคิดอย่างเต็มที่ พวกเขาไม่เกรงกลัวที่จะสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ และนำพาให้ชีวิตของพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้ข้าได้ย้อนกลับมาดูตนเองว่าเพราะเหตุใดชีวิตของข้าจึงได้ตกต่ำได้ถึงขนาดนี้” โม่ชิงเยว่เอ่ยพลางลืมตาขึ้นมามองใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งที่ในยามนี้เขายืนอยู่ด้านหลังของนางแล้วกำลังก้มหน้าลงมาจ้องมองนางที่เอนกายพิงพนักเก้าอี้อยู่และยามนี้นางกำลังแหงนเงยใบหน้าขึ้นไปมองเขา
“ข้าโง่มากที่ใช้ความพึงพอใจของผู้อื่นมาเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของข้า ทั้งที่ความสามารถของข้าก็มี แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ของกุลสตรีที่ดีในแคว้นเหลียน แต่อย่างน้อยหากข้านำมาใช้ก็น่าจะเพียงพอที่จะหาเลี้ยงตนเองและลูกๆ ได้ ยังไม่นับความยึดติดโง่ๆ อีกหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตของข้าราวกับถูกกักขังจนทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบจะไม่ออก ข้าจึงคิดได้ว่าที่ชีวิตของข้าเป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะข้าถูกกักขังอยู่ที่เรือนเหมันต์ แต่เป็นเพราะข้ากักขังตนเองให้อยู่ในกรอบความคิดของตนเองต่างหาก” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ความสงสารและที่โม่ชิงเยว่ได้เห็นก็คือความรักความลุ่มหลงที่ฉายชัดออกมาจากดวงตาของเขา
“ข้าเอาแต่โทษท่านตลอดที่ทอดทิ้งข้าไปอย่างไม่ไยดี โทษสุ่ยอี้โหรว โทษมารดาและน้องสาวของท่านที่พากันมารุมรังแกข้า แต่ข้ากลับไม่ได้คิดโทษตนเองเลยว่าสาเหตุที่พวกนางรังแกข้าได้เป็นเพราะว่าข้ายินยอมให้พวกนางรังแกได้เอง” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็ส่ายหน้า
“อย่าได้โทษตนเองเลย ต้องโทษข้าที่คิดอ่านไม่รอบคอบ สนใจแต่ตนเองจนลืมคิดไปว่าเจ้าจะอยู่อย่างไรหากไม่ได้รับการปกป้องดูแลจากข้า” เมื่อซ่งเหวินจิ้งเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า
“ในเมื่อท่านเอ่ยมาถึงขนาดนี้ ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าล้วนยกให้เป็นความผิดของท่านให้หมดเลยก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ท่านต้องทำดีต่อข้าและลูกๆ ให้มาก เพื่อเป็นการชดเชยความผิดของท่าน” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็รีบพยักหน้าในทันที
“ตกลงตามนี้ ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องโทษตนเองแล้วถือว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของข้าก็แล้วกันนะ” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางค้อมกายลงมามากยิ่งขึ้นแล้วกระซิบกับนางเสียงเบา
“ต่อจากนี้ข้าจะคอยดูแลเจ้าให้ดี ปรนนิบัติพัดวีเจ้าไม่ได้ขาด” คำว่าปรนนิบัติพัดวีของเขาโม่ชิงเยว่จับน้ำเสียงที่สื่อถึงนัยอื่นของเขาได้แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี ริมฝีปากอันอบอุ่นของเขาก็กดลงมาแนบริมฝีปากของนางแล้ว เรียวลิ้นอันเปียกชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไม่ใด้ทำให้นางรู้สึกรังเกียจแต่อย่างใดแถมยังนำพาความแปลกใหม่ที่นางไม่คุ้นชินมาด้วย
โม่ชิงเยว่แหงนหน้ารับจุมพิตของเขาอย่างไม่ได้คิดจะบ่ายเบี่ยง ยามนี้นางคือฮูหยินของเขา อำนาจในจวนของเขาก็ตกอยู่ในมือของนาง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดเขาก็พร้อมจะสนับสนุนนางอย่างเต็มที่แล้วนางจะปฏิเสธเขาเพื่อทำให้ตนเองได้รับความยากลำบากอีกทำไม ที่สำคัญนางก็ไม่ได้รังเกียจเขามากถึงปานนั้นแล้วถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลที่นางเคยคิดจะฝากชีวิตและมอบหัวใจให้ ในเมื่อเขาทำดีต่อนางแล้วเช่นนี้นางก็จะไม่ถือทิฐิผลักไสเขาออกไปเพียงเพราะเรื่องเก่าๆ หรอก ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไปหากมัวแต่ยึดติดเรื่องเก่าๆ แล้วจะไปต่อข้างหน้าได้อย่างไร แต่แน่นอนว่าหากเขาทำให้นางรู้สึกผิดหวังอีกก็ไม่เป็นไร เพราะว่านางไม่คิดจะมอบความคาดหวังของตนเองไปให้ผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว
‘ข้าไม่ใช่คนไร้ค่า ไม่จำเป็นต้องร้องขอความเมตตาจากผู้อื่น เพียงแต่หากผู้อื่นหยิบยื่นความเมตตามาให้อย่างจริงใจแล้วเหตุใดข้าจึงจะต้องโง่เง่าปฏิเสธมันด้วยเล่า’ นี่คือความคิดของโม่ชิงเยว่ในยามนี้ แม้ว่านางจะชื่นชอบซ่งเหวินจิ้งแต่ยามนี้ความชื่นชอบของนางตั้งอยู่บนขอบเขตของความมีสติ ความรักอันลึกซึ้งของนางในยามนี้นางมอบให้แค่เพียงตนเองและลูกๆ ของนางเพียงเท่านั้น
จุมพิตของซ่งเหวินจิ้งไม่ได้กินเวลายาวนานนัก ด้วยเขาเกรงว่าหากลึกซึ้งและดูดดื่มมากไปกว่านี้เขาอาจจะควบคุมตนเองไม่ได้ แม้ว่าสตรีคนแรกที่เขาแนบชิดด้วยจะเป็นนางแต่เขาก็รู้ดีว่าหากนางไม่ได้ยินยอมพร้อมใจอย่างเต็มที่การแนบชิดสนิทเนื้อก็จะเป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ทางกายเพียงเท่านั้น ในยามนี้เขาที่ละโมบคิดอยากจะได้หัวใจของนางจึงทำได้เพียงอดเปรี้ยวไว้กินหวานค่อยๆ แสดงความจริงใจให้นางเห็นเพื่อให้นางยินยอมมอบร่างกายให้เขาอย่างเต็มอกเต็มใจอย่างแท้จริง
ดังนั้นช่วงเวลาที่ไม่ได้ออกจากจวนเช่นนี้เขาจึงมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่คอยวนเวียนอยู่รอบกายนางและลูกๆ แม้จะบอกว่าเพื่อเอาอกเอาใจนางและลูกๆ แต่เขาก็คิดว่าเป็นการเอาอกเอาใจตนเองเช่นเดียวกัน ในชีวิตของเขามีช่วงเวลาที่มีความสุขไม่มากนัก นอกจากยามที่ได้รับชัยชนะในสนามรบแล้วก็มีช่วงเวลานี้เพียงเท่านั้นที่เขารู้สึกว่าตนเองกำลังได้รับความสุขอยู่แม้ว่าจะยังไม่เต็มที่ แต่เขาก็รู้ตัวว่ายามนี้บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประดับอยู่บ่อยครั้งที่สุดในทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมา
ยามที่ซ่งเหวินจิ้งตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือม่านมุ้งในห้องนอนของโม่ชิงเยว่ที่ปรากฏเข้าสู่สายตา เขากะพริบตาอีกครั้งแล้วจึงได้พยายามทบทวนว่าเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความฝันหรือว่าเป็นความจริงกันแน่ กลิ่นกายอันหอมกรุ่นของนางแผ่กำจายไปทั่วม่านมุ้งอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะหอมกรุ่นติดตามร่างกายของเขาไปด้วย อีกทั้งปฏิกิริยาทางร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของเขาทำให้เขารู้ว่าสัมผัสอันน่าหลงใหลเมื่อคืนนี้ไม่ใช่แค่เพียงความฝัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ทำให้มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเขาในทันที“นอนตาลอยแล้วยิ้มราวกับคนเสียสติเช่นนั้นท่านทำให้ข้าชักจะรู้สึกหวาดกลัวท่านแล้วนะ” เสียงทักของโม่ชิงเยว่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งเหวินจิ้งพลันหายไปในทันที“มีสิ่งใดให้น่ากลัวกัน” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มอันหมิ่นเหม่ขึ้นมาคลุมร่างกายของตนเองเอาไว้ ด้วยไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าเตียงนั่งจ้องมองเขานานเท่าไหร่แล้ว“แล้วเจ้ายกเก้าอี้มานั่งจ้องมองข้าเช่นนี้ทำไมกัน” เมื่อเขาถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ยิ้มออกมา“เมื่อคืนนี้มีคนบอกกับข้าว่าอยากจะตื่นขึ้นมาพร้อมกันกับข้ามิใช่หรือ ข้าก็เลยมานั่งรอให้ท่า
หลังจากดูพลุไฟแล้วซ่งเหวินจิ้งและโม่ชิงเยว่ก็เดินไปส่งเด็กๆ กลับเรือนด้วยตนเอง แน่นอนว่าซ่งเหวินจิ้งย่อมจะต้องเดินตรวจตรารอบๆ เรือนด้วยตนเองอีกครั้งและยังกำชับให้คนของเขาคอยคุ้มกันจวนให้ดี อีกทั้งยังสั่งสาวใช้ภายในเรือนให้วันพรุ่งนี้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ของซ่งจื่อเยว่และซ่งจื่อเหยาไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่ เมื่อสั่งการทุกคนเสร็จเรียบร้อยดีแล้วเขาจึงได้เดินไปที่เรือนของโม่ชิงเยว่เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง พอเห็นว่าการรักษาความปลอดภัยของเรือนนี้แน่นหนาดีแล้วเขาจึงได้เข้าไปหาโม่ชิงเยว่ที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ภายในเรือน“ในเมื่อลงนามสงบศึกแล้ว คนของแคว้นต้าเป่ยก็ไม่น่าจะสร้างความร้าวฉานด้วยการลอบโจมตีท่านและครอบครัวอย่างที่ท่านกำลังกังวลอยู่” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ซ่งเหวินจิ้งส่ายหน้า“แคว้นต้าเป่ยแม้ว่าจะปกครองด้วยเชื้อพระวงศ์สกุลเซียว แต่สกุลที่กุมอำนาจทางกองทัพก็คือสกุลหม่า ข้าที่พึ่งจะฆ่าผู้นำสกุลและนักรบอีกหลายคนของสกุลหม่าย่อมจะต้องกลายเป็นเป้าแห่งความแค้นเคืองของพวกเขา แม้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาจะลงพระนามขอสงบศึกแล้ว แต่คนสกุลหม่าใช่ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้ขอแค่เพียงสิ้นไร้หลักฐานก็ไ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเป่ยส่งราชสาส์นมาขอเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังยินดีที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่ฮ่องเต้แคว้นเหลียนทุกปี เมื่อทางฝั่งแคว้นต้าเป่ยยินยอมอ่อนข้อให้จนถึงขั้นนี้มีหรือที่หลี่เฟยหลงฮ่องเต้จะปฏิเสธหลังจากนั้นจึงได้ส่งราชสาส์นตอบกลับไปด้วยความยินดี เมื่อมีสัญญาณว่าการศึกจะสงบอย่างถาวรเช่นนี้ ประชาชนในแคว้นต่างก็รู้สึกยินดีกันทั่วหน้า สงครามจบสิ้นแล้วก็หมายความว่าต่อไปพวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ไม่ต้องกังวลว่าคนในครอบครัวจะต้องไปพลีชีพเพื่อปกป้องแคว้นที่ชายแดนอีกจวบจนเมื่อมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการชาวบ้านร้านตลาดก็ต่างพร้อมใจกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลอง พลุไฟนับหมื่นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อโอ้อวดความงดงามท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ซ่งเหวินจิ้งยืนนิ่งจ้องมองพลุไฟเหล่านั้นด้วยสีหน้ากังวลใจเมื่อคิดได้ว่าท่ามกลางงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังมีคนของแคว้นต้าเป่ยเข้ามาแทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง ยามนี้เขาทำหอดูดาวให้สูงขึ้นแล้วรื้อหลังคาของหอดูดาวออก ทำให้เขาและครอบครัวสามารถชื่นชมความงามของพลุไฟได้อย่างเต็มที่“ท่านแม่! ท่านดูสิราวกับมีดอกไม้นับหมื่นกำลังแข่งกันเบ่งบานอย
ในขณะที่ทางจวนโหวมีคนกำลังพยายามเร่งสานความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ทางจวนตระกูลเหยียนหรืออดีตจวนไหวกั๋วกงก็กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความตึงเครียด เหยียนฮูหยินผู้เคยได้ดำรงตำแหน่งฮูหยินของท่านกั๋วกงก็กำลังนั่งร้องไห้อ้อนวอนขอให้บุตรชายหาหนทางช่วยสามีที่ในยามนี้ถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญา“เจ้าไม่คิดจะช่วยท่านพ่อของเจ้าจริงๆ หรือ เสียแรงที่พ่อของเจ้าทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า” เหยียนฮูหยินเอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาด้วยท่วงท่าที่ดูอ่อนแอและบอบบางราวกับว่าจะแตกหักได้ทุกเมื่อ“จะให้ข้าช่วยอย่างไร ให้ข้าไปคุกเข่าขอพระเมตตาแล้วทำให้ข้าและสกุลเหยียนทั้งสกุลถูกฝ่าบาทหวาดระแวงและคิดว่าพวกเราสกุลเหยียนมีความทะเยอทะยานในราชบัลลังก์เช่นนั้นหรือ ท่านแม่อย่าได้ลืมสิว่าฮุ่ยเอ๋อต้องเสียสละอะไรไปบ้าง ยามนี้นางกำลังได้รับความโปรดปรานท่านอยากให้ฝ่าบาททรงตระหนักได้ว่าการกระทำของท่านพ่อล้วนเป็นเพราะความทะยานอยากที่จะยึดครองกองกำลังของจวนโหวแล้วทำให้ชีวิตของฮุ่ยเอ๋อและองค์ชายน้อยต้องตกอยู่ในอันตรายหรือ” คำพูดของเหยียนเซียวทำให้เหยียนฮูหยินส่ายหน้า“นางได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่คิดจะทำเพื่อเจ้าแ
ฤดูกาลผันเปลี่ยนจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเริ่มย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่แสนจะงดงาม พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นต้นทุนในการซื้อสมุนไพรก็ลดลงเมื่อต้นทุนลดลงผลกำไรก็มากขึ้น เมื่อได้ผลกำไรมากขึ้นก็ทำให้โม่ชิงเยว่เริ่มมีกำลังใจที่จะคิดค้นสินค้าชนิดใหม่ๆ เพื่อนำไปวางขายในร้านโม่เซียงของนาง“เหตุใดบรรดาถุงผ้าปักเหล่านี้จึงได้มีลวดลายแปลกตาเช่นนี้เล่า แล้วยังกล่องไม้สำหรับใส่ผงแป้งเหล่านี้อีกเจ้าไปเอาแนวทางในการคิดค้นรูปร่างและลวดลายพวกนี้มาจากไหน” คำถามของซ่งเหวินจิ้งทำให้โม่ชิงเยว่วางพู่กันที่ใช้วาดรูปลวดลายลงบนโต๊ะเขียนอักษรแล้วจึงได้สะบัดมือเพื่อคลายความเมื่อยล้า“หากข้าจะบอกว่าข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันอันยาวนานของข้าท่านจะเชื่อหรือไม่” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ซ่งเหวินจิ้งก็พยักหน้า“เหตุใดจะไม่เชื่อกันเล่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยฝันเสียหน่อย เพียงแต่ความฝันของข้าไม่เคยนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เช่นนี้” ซ่งเหวินจิ้งเอ่ยพลางเดินมานวดไหล่ให้โม่ชิงเยว่ด้วยความคุ้นชินส่วนโม่ชิงเยว่ก็เอนกายพิงพนักเก้าอี้แหงนหน้าขึ้นแล้วหลับตาเพื่อรับความสบายจากอุ้งมืออันอุ่นร้อนของเขาอย่างผ่อนคลาย“มันเป็นความฝันที่ยาวนานมาก ยาม
เมืองหลวงมีข่าวครึกโครมอีกครั้งเมื่อจวนนิ่งอันโหวถูกลอบโจมตี แม้ว่าจะสามารถจับตัวคนร้ายได้แต่นิ่งอันโหวกลับได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เจ้ากรมอาญาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด อีกทั้งยังทรงส่งองค์ชายรองมาควบคุมการสอบสวนด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้คนร้ายที่ถูกจับต่างก็ซัดทอดความผิดไปที่ไหวกั๋วกง ทำให้ไหวกั๋วกงต้องรีบเข้าวังเพื่อแก้ต่างให้กับตนเองและขอให้มีการตรวจสอบนักฆ่าเหล่านั้นอีกครั้งแต่แน่นอนว่าทางซ่งเหวินจิ้งได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขาไม่เพียงขอพระราชโองการคุ้มครองพยานให้กับเหล่านักฆ่า ยังส่งกองกำลังของตนเองคอยคุ้มครองครอบครัวและคนใกล้ชิดของเหล่านักฆ่าอย่างแน่นหนา เหล่านักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนโง่พวกเขาเข้าออกจวนไหวกั๋วกงเป็นว่าเล่นย่อมมีลู่ทางสำรองเอาไว้บ้าง การที่พวกเขาลักลอบตีสนิทกับคนในจวนไหวกั๋วกงก็เพื่อให้พวกเขาเป็นคนมีตัวตนภายในจวน ไม่ใช่แค่เพียงนักฆ่าเงาที่ตายไปแล้วก็ไม่หลงเหลือร่องรอยให้ผู้คนตามหา ดังนั้นทางกรมอาญาย่อมสามารถที่จะหาคนมายืนยันฐานะของพวกเขาได้ว่าพวกเขาทำงานให้ไหวกั๋วกงจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้ไหวกั๋วกงจึงไม่อาจจะปัดป้องความผิดของตนเองได้แล้ว“ท่านเ