สำหรับบางคนการแต่งงานอาจเป็นบทสรุปที่หวานชื่น แต่สำหรับเยี่ยนเยว่ฉีการแต่งงานกับมู่เลี่ยงหรงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยนเยว่ฉีต้องออกจากอ้อมอกบิดามารดามาใช้ชีวิตของตนเอง ทว่าการได้รับตำแหน่งชายาเอกฉินอ๋องไม่ได้เรียบง่าย นางต้องพบเจอกับแรงกดดันในฐานะสะใภ้หลวงจากไทเฮา ซึ่งบางเรื่องพี่ชายแสนดีทั้งสองไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยตรงได้ นางจึงต้องงัดทุกสิ่งทุกอย่างที่มารดาได้สั่งสอนอบอรมมาทั้งชีวิตมาใช้เพื่อที่จะยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนี้อย่างมั่นคง แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้รอยยิ้มของสตรีมากมายในเรือนหลังจะมีคมมีดซ่อนอยู่หรือไม่ แล้วมู่เลี่ยงหรงจะมีเพียงนางเป็นยอดดวงใจไปถึงเมื่อไร และสุดท้ายนางจะทนใช้บุรุษร่วมกับสตรีนับสิบได้จริงๆ หรือ
View Moreวันนี้ชิงหรูเป็นเวรดูแลฉินอ๋องกับหวางเฟย ซูจิ้งจึงมีเวลาออกมาเดินสำรวจจวน นางพยายามจำว่าสถานที่ใดอยู่ตรงไหน ด้วยที่นี่ค่อนข้างกว้างขวางและตนก็เพิ่งจะมาใหม่จึงยังไม่คุ้นชินกับเส้นทาง ในที่สุดนางก็เดินหลงไปยังสวนด้านหลัง แม้จะมีแสงจากคบไฟอยู่บ้าง แต่ตรงนี้ค่อนข้างมืดจนอดเสียวสันหลังไม่ได้
ซิ่นเฉิงที่กำลังตรวจตราเวรยามและความเรียบร้อยระแคะระคายว่ามีใครแอบเข้ามาในสวนซึ่งเป็นบริเวณส่วนต้องห้ามนี้ พอแลเห็นสตรีรูปร่างเล็กเดินเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ แสงจากคบไฟส่องกระทบบนดวงหน้าสะท้อนให้เห็นเค้าโครงของผู้ที่ล่วงล้ำ
เขาพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นผู้ใด
‘ซูจิ้งรึ’
ในอกบังเกิดอาการร้อนรุ่ม ด้วยตนกำลังคิดหาทางพูดคุยกับนางอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะประทานโอกาสมาให้ตั้งแต่ตอนนี้
“ซูจิ้งเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เสียงคุ้นหูลอยเข้าโสตสาวน้อยที่กำลังหลงทาง นางรีบหันไปทางต้นเสียง แต่ด้วยฝีเท้าเบาว่องไวดุจนักล่ายามราตรี บุรุษในชุดสีเทาก็อยู่ตรงหน้าตนเองเรียบร้อยแล้ว ดรุณีน้อยนิ่งงันไป
“ว่าอย่างไร”
“ผู้น้อยกำลังสำรวจจวน จะได้จำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน” นางอธิบายให้องครักษ์หนุ่มเข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าบอกออกไปว่าตนเองหลงทางอยู่
“บริเวณนี้ห้ามผู้ใดเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า” ซิ่นเฉิงบอกกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะหากสาวน้อยเดินไปอีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตต้องห้ามของจวนฉินอ๋องแล้ว
“เช่นนั้นผู้น้อยไปก็ได้เจ้าค่ะ” ซูจิ้งเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจจึงคิดหลีกเลี่ยง ความจริงตนเพียงหลงทางเข้ามาเท่านั้น เขาไม่น่าจะต้องทำหน้าบอกบุญไม่รับถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นสาวใช้ตัวน้อยจะจากไป ซิ่นเฉิงจึงปราดเข้าไปขวางเพื่อขอให้นางรั้งอยู่ต่อ “เดี๋ยวก่อนซูจิ้ง ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้ามานานแล้ว”
ซูจิ้งพลันหยุดเดิน แต่ยังคงไม่เงยศีรษะขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา “ท่านองครักษ์ซิ่นมีอันใดก็ถามมาได้ หากข้ารู้ก็จะตอบท่าน”
ซิ่นเฉิงพยายามเค้นคำถามออกจากปาก เขารู้สึกหวาดกลัวกับคำตอบอย่างบอกไม่ถูก ซูจิ้งเห็นเขาเอาแต่นิ่ง จึงคิดจะจากไปอีกครา
“หากไม่มีอะไร ผู้น้อยขอตัวก่อน”
“จะ...เจ้าเป็นอนุบ่าวของท่านกุนซือเยี่ยนหรือ”
ซูจิ้งเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที
“ท่านว่าเยี่ยงไรนะ! ไม่มีทาง ข้าไม่เคยนึกมาก่อนว่าองครักษ์ซิ่นจะคิดอะไรชั่วช้าเช่นนี้ได้” นางจ้องซิ่นเฉิงด้วยความกราดเกรี้ยว
“ซูจิ้งเจ้าอย่าเพิ่งมีโทสะ เรื่องนี้ข้าไม่ได้คิดเอาเองสักหน่อย เป็นคุณชายรองสกุลเยี่ยนประกาศชัดว่าเจ้าเป็นของเขา หนำซ้ำยังห้ามไม่ให้ข้ายุ่งเกี่ยวกับเจ้าอีกด้วย” ชายหนุ่มรีบชี้แจง
ซูจิ้งเข้าใจเหตุการณ์ในทันที มิน่าเล่า องครักษ์ซิ่นจึงไม่เข้าใกล้นางอีกเลยหลังจากนั้น
“ผู้น้อยขอบอกตามตรง ความจริงแล้วคุณชายรองนึกว่าท่านรังแกข้าจึงพูดออกมาเช่นนั้นเพื่อช่วยปกป้อง และแม้ข้าจะเป็นเพียงแค่บ่าว ก็มิได้หมายจะปีนขึ้นเตียงของเจ้านาย” ซูจิ้งอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เจ้าไม่ได้หลอกข้านะ” ซิ่นเฉิงถอนหายใจเสมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หากซูจิ้งไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนจิ้นหลิง เช่นนั้นตนย่อมมีสิทธิที่จะผูกสัมพันธ์กับนาง
“หากองครักษ์ซิ่นไม่มีอะไรข้องใจแล้ว ข้าขอลา” ซูจิ้งไม่ได้ต่อบทสนทนา ทำท่ารีบจะจากไป แต่กลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด อย่างน้อยองครักษ์ซิ่นก็ไม่ได้เข้าใจนางกับคุณชายรองผิดอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวแอบยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
ซิ่นเฉิงที่ทนอัดอั้นตันใจมาหลายเดือนไม่สามารถต้านทานความรู้สึกของตนได้อีกต่อไป จึงคว้ามือนางแล้วดึงเข้าไปในความมืด ซูจิ้งตกใจร้องเสียงดัง แต่ซิ่นเฉิงก็ยังคงลากนางต่อไป สาวน้อยพยายามสะบัดแขนออก ทว่ามือแข็งแรงนั้นบีบแขนนางแน่นราวกับคีมเหล็กก็ไม่ปาน จึงจำต้องเดินตามเขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนกระทั่งองครักษ์หนุ่มก็ปล่อยมือ สาวใช้ตัวน้อยจึงเลิกร้องโวยวาย
ซูจิ่งลูบแขนตัวเองเบาๆ พลางมองไปรอบๆ นางพบว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในศาลาขนาดย่อมหลังหนึ่งในสวน
“ทำเจ้าตกใจแล้ว” ซิ่นเฉิงเอ่ยเป็นเชิงขออภัย
“ท่านมีเรื่องอันใดก็รีบพูดมาเถิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่” ซูจิ้งตอบอย่างระมัดระวัง นางไม่กล้ายั่วยุโทสะเขาเหมือนตอนพบกันในวังหลวง เพราะกลัวเขาจะทำอย่างเดิมอีก แต่ถึงกระนั้น การที่ชายหญิงมาพูดคุยกันในที่ลับตา หากมีผู้ใดมาพบเห็นเข้าย่อมเกิดเรื่องเสื่อมเสีย หากลำพังตนเองคงไม่เท่าไร แต่พระชายาเอกจะพลอยอับอายไปด้วย
“คือ...ข้า...ข้าอยากขอโทษที่เคยล่วงเกินเจ้า” ซิ่นเฉิงเอ่ยเสียงเบา
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ” สาวน้อยรีบตอบ ไม่มองหน้าชายหนุ่มสักนิด
“ข้าทำกับเจ้าขนาดนั้นจะช่างมันได้อย่างไร”
“ผู้น้อยลืมไปหมดแล้ว ขอท่านองครักษ์อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย” ซูจิ้งทำท่าจะหันหลังเดินหนีอีกรอบ
“เจ้าอาจจะลืมไปแล้วจริงๆ แต่ข้าไม่อาจสงบใจได้เลยหลังจากวันนั้น ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาราวกับข้ากำลังตกนรกทั้งเป็น นอกจากรู้สึกผิดที่ล่วงเกิน ข้ายังสับสนเรื่องของเจ้ากับท่านกุนซืออีกด้วย” ซิ่นเฉิงปราดเข้ามาใกล้นาง แล้วเปิดเผยความในใจที่อัดอั้นมาแสนนาน
แม้คำพูดของซิ่นเฉิงจะก่อระลอกคลื่นในใจหญิงสาว แต่ซูจิ้งก็ไม่วายคิดถึงคำขู่ของเยี่ยนจิ้นหลิง หากยังมัวเท้าความกับองครักษ์หนุ่มต่อไปเช่นนี้ก็เกรงว่าจะไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป นางจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เค้นคำพูดทุกอย่างออกไปด้วยไม่ต้องการให้คุณชายรองมาหาเรื่องซิ่นเฉิงอีก
“องครักษ์ซิ่นไม่ต้องกังวล ให้ถือเสียว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเถิด อีกอย่าง ซูจิ้งลืมไปหมดแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้าลืมข้าได้จริงหรือ” พอนางตอกย้ำว่าลืมทุกอย่างสิ้น ซิ่นเฉิงพลันรู้สึกหน่วงในหัวใจ
“ผะ...ผู้น้อยเพียงไม่อยากเท้าความอะไรอีกแล้ว” นางตอบเสียงเบา รู้สึกวูบโหวงในอกอย่างประหลาด
“แต่ข้าไม่อาจลืมเจ้าได้เลย ข้าเฝ้าคิดถึงเจ้าทุกวันทุกคืน” ซิ่นเฉิงดึงมือนุ่มเล็กไปกอบกุมเอาไว้ ดวงตาสาดประกายบางอย่างมายังซูจิ้ง
“อะ...องครักษ์ซิ่น ปล่อยนะเจ้าคะ” สาวน้อยละล่ำละลัก พยายามดึงมือของตนให้หลุดออกจากพันธนาการ
“เจ้าไม่คิดถึงข้าสักนิดเลยหรือ แต่เหตุใดยามเจ้ามองมาทุกครั้ง ข้ากลับรู้สึกเหมือนเจ้ากำลังเรียกหาข้าอยู่ เช่นนั้นจงบอกมาสักคำเถิดว่าข้าเพียงคิดไปเอง รับรองว่าครานี้ซิ่นเฉิงจะตัดใจ”
ในที่สุดซิ่นเฉิงก็โยนซูจิ้งลงบนพื้นหญ้าหลังพุ่มไม้ในจุดลับตา นางตกใจหวาดผวากลัวว่าคนตัวโตจะทำร้ายจึงกระถดตัวถอยหลังไปเรื่อยๆ จนแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงวัง เมื่อรู้ว่าตนจนมุมแล้วจึงตะโกนสุดเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือ“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย มีคนร้าย!”“หยุดร้องซะ” ซิ่นเฉิงร้องห้ามเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิม“ไม่! ข้าไม่หยุด ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย”“ข้าบอกให้หยุดร้องเดี๋ยวนี้”ซิ่นเฉิงขมวดคิ้ว เริ่มจะปวดขมับขึ้นมาแล้ว แต่เขาคิดว่าสักพักนางคงเหนื่อยที่จะร้องแล้วเงียบไปเอง ตรงนี้เป็นจุดลับตาในอุทยานตะวันออกยังไงก็ไม่มีใครได้ยินนางแต่ต่อให้ได้ยิน ตนเองก็ไม่หวาดกลัวอยู่ดีซูจิ้งยังคงนั่งแหกปากอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย ยังคงร้องขอความช่วยเหลือจนหน้าดำหน้าแดง นางทำได้เพียงตะโกนอย่างสิ้นหวัง โดยไม่กล้าขยับตัวไปไหน เพราะซิ่นเฉิงยืนผงาดคุมเชิงอยู่ด้านหน้า น้ำเสียงของนางปนสะอื้นน้ำตาเอ่อคลอบนดวงตาองครักษ์หนุ่มยืนกอดอกกัดฟันกรอด เส้นเลือดปูดโปนตรงขมับ ทั้งปวดหูปวดหัวกับเสียงร้องหวีดแหลมมากขึ้นทุกขณะของสาวน้อย เขาแอบคิดอยู่ว่าตนควรจะเอารองเท้ายัดปากนางดีหรือไม่ แต่ก็ไม่อาจตัดใจลงมือกับสตรีบอบบางน่ารั
“ยินดีกับท่านอ๋องที่ได้ซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ” เหล่านางกำนัลและราชองครักษ์ที่ยืนประจำอยู่บริเวณนั้นประสานเสียงอวยพรกันอย่างพร้อมเพรียงในขณะที่มู่เลี่ยงหรงกำลังตัดสินใจว่าจะอุ้มลูกชายของตนเองดีหรือไม่ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเยี่ยนเยว่ฉีก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นลี่ฮวาก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาตามแม่นมหลิว บอกว่ายังมีทารกอยู่ในครรภ์ของหวางเฟยอีกคน แม่นมหลิวจึงส่งซื่อจื่อมาให้เขาอุ้มแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องบรรทมอีกครั้งหนึ่งมู่เลี่ยงหรงมองทารกในอ้อมแขน เด็กน้อยผิวกายขาวผ่อง ดวงตาสีนิลเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังไม่ต่างจากบิดา ริมฝีปากสีชมพูดูคล้ายเยี่ยนเยว่ฉีไม่มีผิด ยิ่งมองยิ่งน่าเอ็นดู ยามนี้เขาตกหลุมรักบุตรชายเสียแล้ว“เฟิ่ง...เฟิ่งหวง ชื่อนี้ดี เอาชื่อนี้นะเจ้าตัวน้อยของพ่อ” เขาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้เจ้าตัวอ้วน และเหมือนบุตรชายจะเข้าใจที่เขาพูดหรือไรไม่ทราบจึงหยุดร้อง ดวงตาปิดสนิทแต่ริมฝีปากยกขึ้นคล้ายยิ้มตอบรับ “เรามาเอาใจช่วยแม่ของเจ้ากันเถิด ว่าแต่เจ้าอยากได้น้องชายหรือน้องสาวกันเล่า”ความกังวลของมู่เลี่ยงหรงลดน้อยถอยลงเพราะมีเจ้าตัวเล็กอยู่เป็นเพื่อน ไม่นานนักเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเยี่
“ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ รับรู้เอาไว้ เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นของข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์”“ท่านเกี้ยวสตรีด้วยคำพูดแปลกหูเช่นนี้ตลอดเลยหรือไง”“ข้าไม่เคยเกี้ยวสตรี พวกนางพร้อมมอบกายให้เพียงแค่ข้าปรายสายตาอยู่แล้ว แต่เจ้าพิเศษกว่าผู้หญิงพวกนั้น ข้าถึงได้เสี่ยงเข้ามาหาถึงที่นี่ยังไงเล่า” เยี่ยนจิ้นหลิงกลั้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ สำหรับถางซือเซียน เขาเป็นบุรุษที่มั่นใจในรูปโฉมจนน่าหมั่นไส้“ข้าคือคนพิเศษของท่านหรือ” นางถามด้วยเสียงอันสั่นไหว หัวใจเต้นโครมคราม เยี่ยนจิ้นหลิงเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสุกใสดั่งดวงดาวบนฟ้า“ข้าไม่เคยพูดมากเท่านี้มาก่อน เชื่อสิ จิ้งจอกสีเงินไม่พูดปดหรอก” เขาก้มลงซุกไซ้ดอมดมความหอมหวานที่เฝ้าคะนึงหาอีกครั้ง ถางซือเซียนหน้าร้อนผ่าว ทั้งคำหวาน ทั้งการรุกเร้าที่กำลังหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ นางแทบหมดแรง“แต่ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูก หากข้าพิเศษ และท่านจริงใจก็ควรอดใจรอให้ถึงวันวิวาห์ก่อนสิ” ถึงแม้จะไม่ได้รังเกียจที่เขาสัมผัสตน แต่ไม่ว่ายังไงนางก็อยากทำทุกอย่างให้ถูกต้องเยี่ยนจิ้นหลิงยอมถอนริมฝีปากและจมูกออกจากซอกคอหอมกรุ่น เขาจดจ้องเข้าไปในดวงตาสุกใสของนาง ความจริงเขาอยาก
ชายหนุ่มเดินออกจากบริเวณสวนต้องห้าม ที่นี่ไม่มีองครักษ์เฝ้าในตอนกลางคืน บริเวณนี้กว้างขวางมากพอที่จะไม่ทำให้บทเพลงของนางเงือกดังไปถึงหูคนในจวน มิเช่นนั้นมันคงล่อลวงใครต่อใครให้ลงไปเล่นน้ำด้วยเหมือนคืนแรกที่มาอยู่ที่นี่ตามตำนานเสียงของนางเงือกมีมนต์สะกด อีกทั้งรูปลักษณ์งดงามหลอกตาพาให้ลุ่มหลงจึงทำให้มีคนจำนวนมากหายสาบสูญไป เหลือไว้เพียงเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้ริมน้ำ มีเพียงบุรุษผู้กุมหัวใจสิ่งมีชีวิตโบราณชนิดนี้อย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะรอดจากเสียงต้องสาป...หลังจากเรื่องวุ่นวายผ่านพ้นไปได้ราวสองเดือน มู่เลี่ยงหรงกับเยี่ยนเยว่ได้รับเทียบเชิญไปงานแต่งของซิ่นเฉิงกับเยี่ยนฮุ่ยหลิง หรืออดีตซูจิ้งนางกำนัลคนสนิทของฉินหวางเฟยกล่าวถึงเรื่องราวในครานั้นซูจิ้งสิ้นอายุขัย ทำอย่างไรก็ไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตได้ เยี่ยนจิ้นหลิงที่ถูกวิญญาณของซูหลวนซานรบกวนจึงตัดสินใจทำพิธีสร้างตัวตายตัวแทนอันแสนยากยิ่งขึ้นมา ครั้นเกิดเรื่องตามนิมิตของกุนซือหนุ่ม เยี่ยนเยว่ฉีจึงรีบให้ซูจิ้งกินยาอายุวัฒนะที่พี่ชายมอบไว้ให้ก่อนไปทำธุระนอกเมืองแล้วพานางกลับจวนกั๋วกง เมื่อเยี่ยนหยางจงเห็นร่างของผู้มาก็รีบทำลายหุ่นฟางที่ใช้เป็
แต่แล้วซุนเหมยก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังคืบคลานเข้ามา แสงจันทร์วันเพ็ญสาดส่องทำให้แลเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ถนัดตา นางเพ่งมองไปยังเบื้องหน้าก็พบว่ามีบางสิ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำ และมันกำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ“ออกไปนะ ออกไป!” หญิงสาวคร่ำครวญ เมื่อเงาดำใกล้เขามาจนห่างกันเพียงสองจั้งเท่านั้น“เจ้ากลัวข้างั้นรึ” เสียงใสกังวานปานระฆังของสตรีตอบกลับมา“จะ...เจ้าเป็นคน หรือเป็นตัวอะไรกันแน่”“หยาบคายจัง ข้าไม่ใช่มนุษย์ต่ำต้อยเช่นเจ้าหรอกนะ”“งั้นเจ้าปล่อยข้าออกจากที่นี่ได้ไหม” ซุนเหมยร้องถามอย่างมีความหวัง บางทีนางอาจจะเล็ดรอดหนีออกไปได้“แน่นอน ข้าคือผู้ปลดปล่อย” มันหัวเราะ ทั้งที่เสียงไพเราะ ทว่ากลับสร้างความหวาดหวั่นพรั่นพรึงให้อีกฝ่ายเป็นอย่างมากเพียงชั่วพริบตา สิ่งมีชีวิตนั้นก็เข้ามาใกล้จนชุนเหมยมองเห็นหน้าตาของมันได้ชัดเจน ผมดำเงางามสยายพลิ้วไหวอยู่ในน้ำครึ่งหนึ่ง นัยน์ตาสีมรกตแลดูลึกลับ ใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาไร้ที่ติ ริมฝีปากรูปกระจับฉ่ำวาว ร่างเปลือยเปล่าขาวซีด หญิงสาวยืนแข็งค้างด้วยตกตะลึงในความงามนี้“ข้าสวยใช่ไหม พ่อหนุ่มรูปงามก็บอกข้าแบบนี้ แต่กลับไม่เคยลงมาเล่นน้ำกับ
หลังสิ้นสุดคดีความวางยาฉินหวางเฟย มุ่งร้ายต่อทายาทฉินอ๋อง มู่เลี่ยงหรงเข้าไปรายงานเรื่องนี้กับฮ่องเต้ในวังหลวงโดยตรง ความผิดของเฉิงจื่อหรูกับนางกำนัลคนสนิทร้ายแรงจนไม่อาจละเว้นโทษประหารได้ตามกฎของจวน หากผู้ใดต้องโทษประหารจะถูกส่งลงสระเสียงสวรรค์ แต่เสนาบดีกรมพระคลังขอร้องทั้งน้ำตาว่าต้องการให้บุตรสาวคนเล็กได้ฝังกายลงในสุสานตระกูล เพื่อเห็นแก่หน้าขุนนางผู้จงรักภัคดีและผลงานของเขา ฉินอ๋องจึงประทานยาพิษให้เฉิงหรูเหรินแทนเมื่อสตรีผู้หลงผิดสิ้นชีวิตแล้วก็ส่งร่างนางคืนตระกูลเฉิงตามคำขอ หลังจากนั้น อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายยังคงแวะเวียนไปเยี่ยมหลุมศพของนางมิได้ขาดพระชายารองฝาแฝดกลับมาใช้ชีวิตในเรือนดอกเหมย มู่เลี่ยงหรงรู้สึกผิดจึงมอบเครื่องประดับชุดใหญ่ให้พวกนางทั้งสอง ลู่เหมยหลินยังชอบมาเดินหมากกับฉินอ๋องและหวางเฟย ส่วนลู่เหมยหลันก็ทำขนมมาให้ลองชิมอยู่เสมอ เยี่ยนเยว่ฉีเห็นว่านางมีฝีมือจึงลงทุนเปิดร้านในย่านการค้าให้ สองพี่น้องจึงไม่ค่อยว่าง เพราะต้องดูแลกิจการของตนเอง ส่วนฮูหยินทั้งสิบเอ็ดก็ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ก่อความวุ่นวายใด เพราะการอยู่ในจวนอ๋องนั้นสุขสบายเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องกับหวางเฟ
Comments