โม่ชิงเยว่เป็นฮูหยินจวนโหวที่สามีไม่โปรดปราน แม่สามีรังเกียจ มีน้องสาวของสามีคอยพูดจาทำร้ายจิตใจ อีกทั้งยังมีอนุหน้าตางดงามมาคอยแย่งชิงความโปรดปรานจากสามี แต่นางหาใส่ใจไม่เพราะสิ่งเดียวที่นางให้ความสนใจก็คือเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยที่นางให้กำเนิดเพียงเท่านั้น เดิมทีโม่ชิงเยว่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือนหลังอย่างสงบตามที่มารดาเคยสอนสั่ง แต่ยิ่งอ่อนน้อมก็ยิ่งถูกเหยียบย่ำ แถมสามีที่คิดจะพึ่งพาก็ไม่เคยอยู่ให้นางได้พึ่งพา นางเฝ้ารอคอยการกลับมาของเขาจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ผลสุดท้ายเมื่อค้นพบโลกในความฝันอันเจิดจรัสนางจึงคิดได้ว่าทำไมสตรีเช่นนางจะต้องมัวแต่รอพึ่งพาบุรุษด้วยเล่า ในเมื่อตัวนางก็มีสองมือสองเท้าเช่นเดียวกันกับเขา ดังนั้นลูกๆ สองคนนี้นางจะขอเลี้ยงดูพวกเขาด้วยตนเอง
ดูเพิ่มเติมณ.เรือนเหมันต์ เรือนหลังอันห่างไกลของจวนนิ่งอันโหว โม่ชิงเยว่นอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยความสับสน เมื่อครู่นี้นางไม่แน่ใจว่านางฝันไปหรือวิญญาณหลุดจากร่างออกไปท่องเที่ยวมากันแน่ สถานที่ที่นางไปแตกต่างจากที่นี่เป็นอย่างมาก ที่แห่งนั้นผู้คนแต่งกายแปลกตาเดินขวักไขว่ไปมาอย่างน่าเวียนหัว ยานพาหนะมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดและมีหลากหลายประเภท มีทั้งที่วิ่งอยู่บนท้องถนนและวิ่งบนราง มีทั้งวิ่งบนน้ำและบินอยู่เหนือศีรษะ ผู้คนใช้ยานพาหนะเหล่านี้สัญจรไปมาใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถไปถึงที่หมายที่อยู่ไกลหลายร้อยลี้ได้แล้ว
นางที่ทั้งชีวิตถูกจองจำอยู่แต่ในเรือนหลังพอได้เห็นสิ่งที่แตกต่างออกไปจากการรับรู้ก็เข้าใจว่าตนเองได้อยู่บนสรวงสวรรค์เสียแล้ว สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกชอบในสถานที่แห่งนั้นก็คือสตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษ พวกนางไม่ใช่แค่เพียงเปิดเผยใบหน้าออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้าน แต่พวกนางยังมีสิทธิและเสรีภาพทำสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ใจของพวกนางต้องการ และที่สำคัญพวกนางไม่จำเป็นต้องเก็บงำความรู้ความสามารถของตนเอง สตรีบางคนมีหน้าที่การงานเหนือกว่าบุรุษเสียด้วยซ้ำ
โม่ชิงเยว่เฝ้าวนเวียนล่องลอยอยู่ในสถานที่แห่งนั้นด้วยความหลงใหล และเฝ้าเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่นางสามารถเรียนรู้ได้อย่างเพลิดเพลินและคิดว่าถ้าหากนางได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็คงดี แต่แล้วความเป็นจริงก็ปลุกให้นางตื่น ถ้าหากนางยังคงวนเวียนอยู่ที่นั่นต่อแล้วลูกชายและลูกสาวตัวน้อยของนางจะเป็นเช่นไร ดังนั้นนางจึงต้องรีบตื่นขึ้นมาแล้วเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้าย
“ฮูหยินท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ชุ่ยเหมยสาวใช้คนสนิทที่มาจากบ้านเดิมของนางสอบถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ลูกๆ ของข้าล่ะ” โม่ชิงเยว่สอบถามสาวใช้ของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย นางล้มป่วยมาหลายวันแล้วเดิมทีนางคิดว่าตนเองจะไม่รอดแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าตนเองยังคงสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้นางจึงสอบถามถึงลูกชายและลูกสาวของตนเป็นอันดับแรก
“คุณชายและคุณหนูหลับไปแล้วค่ะ เมื่อครู่บ่าวต้มน้ำแกงไข่ให้ดื่มประทังหิวไปก่อนแล้ว” เมื่อชุ่ยเหมยตอบเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยายามฝืนร่างกายของตนเองแล้วขยับกายขึ้นมานั่ง เจ้าไปเอากล่องเครื่องประดับของข้ามาให้ข้าหน่อย” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ส่ายหน้า
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านให้บ่าวเอาเครื่องประดับไปขายจนแทบจะไม่เหลือสิ่งใดที่ขายหรือว่าใช้แลกเงินได้แล้วนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปนำมาให้ข้าเถอะ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็เดินไปเอากล่องเครื่องประดับมาให้นาง
สิ่งที่ทำให้ชุ่ยเหมยรู้สึกประหลาดใจก็คือโม่ชิงเยว่ไม่ได้สนใจเครื่องประดับที่เหลืออยู่แต่นางกลับดึงผ้าปักที่รองอยู่ก้นกล่องออกมา ผ้าปักลายยวนยางที่ใช้ดิ้นเงินสลับดิ้นทองนี้เดิมทีโม่ชิงเยว่เคยคิดว่าจะมอบให้เป็นของขวัญแรกพบหน้าต่อสามี แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือเขากับนางแทบจะไม่ได้มีโอกาสได้พูดกันเลย พอเขารู้ว่าที่เรือนฝูโซ่วเกิดเรื่องเขาก็รีบทิ้งนางให้เฝ้าห้องหอเพียงลำพังแล้วไปดูคนที่เรือนฝูโซ่วในทันที อย่าว่าแต่มอบผ้าปักให้เขาเลยแค่ได้พูดจากันสักประโยคสองประโยคยังไม่ได้ทำเลย
“เจ้านำผ้าปักนี่ไปขายแลกเงินที่ร้านผ้าสกุลเจียง บอกกับพวกเขาว่าถ้าพวกเขาให้ราคาดี นายของเจ้าจะปักลวดลายที่วิจิตรมากกว่านี้ส่งไปให้พวกเขาอีก” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ส่ายหน้าในทันที
“ฮูหยิน แต่ผ้าผืนนี้ท่านตั้งใจปักให้ท่านโหวมิใช่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าจะมามัวสนใจว่าผ้านี้ข้าปักด้วยจุดประสงค์ใดอีกหรือ ยามนี้ขอแค่พวกเราได้มีอาหารกินอิ่มท้อง ได้มียาให้ข้าดื่มและที่สำคัญมีถ่านหินคุณภาพดีที่คอยให้ความอบอุ่นก็ดีถมไปแล้ว หากพวกเรากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ หรือว่าข้าป่วยตายจากไปเสียก่อน ผ้าปักผืนนี้ก็คงจะเน่าเปื่อยผุพังอยู่ในกล่องนี่แหละ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พยักหน้า
“ผ้าปักผืนนี้จะขายสักเท่าไหร่ดีเจ้าคะ” คำถามของชุ่ยเหมยทำให้โม่ชิงเยว่ยิ้มออกมา
“พวกเขาให้เท่าไหร่เจ้าก็รับมา แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องได้มาไม่ต่ำกว่า 10 ตำลึงแน่นอน” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“เนื้อผ้าและด้ายที่ข้าใช้ล้วนเป็นของดีที่หายาก แต่ที่มีราคามากกว่านั้นก็คือลวดลายและวิธีการปักต่างหาก นี่คือลวดลายเฉพาะที่สืบทอดกันมาแค่เฉพาะสตรีในสกุลเจียง ขอเพียงเจ้านำไปขายกับเถ้าแก่ร้านผ้าของสกุลเจียง เขาจะต้องมอบเงินให้เจ้ามากกว่าราคาผ้าปักนี้แน่” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พลันเข้าใจ
“คุณหนูคิดจะขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียงหรือเจ้าคะ” คำถามของนางทำให้โม่ชิงเยว่เม้มปากแน่น
“ต่อให้ข้าอยากขอความช่วยเหลือก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะให้ เพราะความดื้อรั้นที่จะแต่งเข้าสกุลโม่ของท่านแม่ของข้าทำให้ท่านแม่ถูกตัดขาดจากสกุลเจียง ข้าที่เป็นบุตรสาวของท่านแม่ย่อมไม่อาจจะร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนค้าขาย ข้าได้ยินว่าหลังจากท่านแม่แต่งออกมาแล้วท่านยายก็ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาปักผ้าให้แก่ผู้ใดอีก ท่านป้าสะใภ้สกุลเจียงเชี่ยวชาญด้านการค้าขายไหนเลยจะสามารถสืบทอดวิชาปักผ้าของสกุลเจียงได้” คำพูดของโม่ชิงเยว่ทำให้ชุ่ยเหมยพลันมีดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความหวังในทันที
“แต่เจ้าจงระมัดระวังตัว ออกจากเรือนหลังแห่งนี้ไปอย่างเงียบๆ อย่าให้ผู้ใดรู้ คนของสุ่ยอี้โหรวจะต้องคอยจับตาดูเจ้าอยู่แน่” โม่ชิงเยว่พูดแล้วแล้วจึงนึกได้ว่านางมีเงินอยู่อีกสามก้วนที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้อยู่ในก้นกล่องเครื่องประดับ เงินสามก้วนนี้คือเงินก้อนสุดท้ายที่นางมีและเป็นเงินนำโชคที่มารดาของนางเคยมอบให้ก่อนจะสิ้นใจ
“เจ้านำเงินนี่ไปซื้อยาให้ข้าก่อน สลัดคนของสุ่ยอี้โหรวได้แล้วจึงค่อยไปที่ร้านผ้าสกุลเจียง” เมื่อโม่ชิงเยว่พูดเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็พลันพยักหน้าออกมาอย่างยินดี เดิมทีนางเคยบอกให้เจ้านายของนางนำเงินสามก้วนนี้ไปซื้อยา แต่เจ้านายของนางกลับไม่ยอมใช้บอกแต่ว่าจะเก็บเอาไว้ซื้ออาหารให้คุณหนูและคุณชาย แต่ยามนี้ดูท่าว่าเจ้านายของนางจะคิดได้แล้วว่าถ้าสุขภาพของตนเองแข็งแรงขึ้นก็ย่อมจะมีกำลังเพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกๆ ได้
“ฮูหยินวางใจเถอะเจ้าค่ะ คนของสุ่ยอี๋เหนียงไม่มีทางติดตามบ่าวได้ทันหรอก ช่วงที่บ่าวไม่อยู่ฮูหยินดูแลตนเองให้ดีนะเจ้าคะ แล้วบ่าวจะรีบกลับมา” เมื่อชุ่ยเหมยเอ่ยเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า แล้วจึงได้หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
‘ในเมื่อข้ายังไม่ตาย เช่นนั้นก็ทำได้แค่เพียงต้องสู้ต่อ สิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มาจากโลกในความฝันนั้นก็คืออย่าได้ยอมแพ้ สตรีหาได้ต้องพึ่งพาแต่บุรุษเพียงอย่างเดียวไม่ เขาไม่สนใจข้ากับลูกเช่นนั้นก็ช่างเขา ข้าคนนี้จะดูแลตนเองให้ได้และดูแลลูกๆ ให้ดี ไม่จำเป็นต้องมัวร้องขอความเมตตาจากเขาแล้ว โลกใบนี้ออกจะกว้างใหญ่ จะไม่มีสถานที่สำหรับข้าและลูกๆ ของข้าเชียวหรือ’ โม่ชิงเยว่คิดพลางหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ถ้าหากลูกๆ ตื่นก่อนที่ชุ่ยเหมยจะกลับ นางจะได้มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะดูแลพวกเขาแทนชุ่ยเหมยได้
ในขณะที่ทางฝั่งเรือนใหญ่กำลังชำระความกับสุ่ยอี้โหรว โม่ชิงเยว่ก็กำลังนั่งดื่มด่ำกับน้ำชาที่ชุ่ยเหมยพึ่งจะชงเสร็จ ส่วนเด็กๆ ในยามนี้กำลังนั่งเล่นหุ่นกระบอกไม้ที่ชุ่ยเหมยซื้อมาอย่างเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง“ฮูหยิน จะไม่ให้บ่าวไปสืบดูหน่อยหรือว่าเฉินมามาผู้นั้นคุ้มค่ากับเงินที่ท่านจ่ายไปหรือไม่” เมื่อชุ่ยเหมยถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็ส่ายหน้า“สถานการณ์ชี้นำขนาดนั้นถ้านางไม่ลงมือก็โง่เต็มทีแล้ว เฮ้อ เพียงแต่เงินที่หามาได้ต้องนำมาใช้จ่ายเพราะเรื่องนี้ข้าล่ะอดรู้สึกปวดใจไม่ได้จริงๆ” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยเช่นนี้ชุ่ยเหมยก็ทอดถอนใจออกมา“ไม่ได้การ บ่าวขอไปดูให้แน่ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะหูหนวกตาบอดหลงเชื่อคำแก้ตัวของสุ่ยอี๋เหนียงหรือไม่” เมื่อพูดจบชุ่ยเหมยก็รีบเร้นกายออกจากไปในทันที ทำให้โม่ชิงเยว่จำต้องส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจกับนิสัยที่พอคิดได้ก็ลงมือทำเลยของชุ่ยเหมย นิสัยเช่นนี้จะว่าดีก็ถือว่าดีจะว่าแย่ก็ถือว่าแย่ จะทำอะไรหากไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนผลลัพธ์ที่ตามมาก็มักจะเลวร้ายเสมอชุ่ยเหมยหายตัวไปนานกว่าที่คาดไว้แต่โม่ชิงเยว่กลับไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ด้วยรู้ดีว่าคนของนางมีไหวพริบที่ดีแ
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของสาวใช้ทำให้สุ่ยอี้โหรวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อคืนนี้นางเฝ้ารอให้คนของนางกลับมารายงานผลแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา อีกทั้งทางเรือนเหมันต์ก็เงียบกริบราวกับไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น นางไม่อาจจะเข้าไปสอบถามความเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยได้จึงทำได้แค่รอเพียงเท่านั้น เพราะความกังวลใจทำให้นางนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาด้วยความกังวลใจแต่แล้วนางหลับใหลไปในยามใดก็สุดรู้ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้ ท่าทีแตกตื่นตกใจของพวกนางทำให้นางรีบก้มลงสำรวจตนเองในทันที“กรี๊ด” เสียงร้องของนางทำให้บรรดาผู้คุ้มกันเรือนรีบเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของนางไม่เรียบร้อยอีกทั้งสาวใช้บางคนเริ่มมีสติแล้วช่วยกันขับไล่พวกเขาให้รีบลงจากเรือน คนที่พอจะมีสติอยู่บ้างรีบห้ามปรามไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในเรือนในทันที“อี๋เหนียง! อี๋เหนียงเจ้าคะ” เสียงของตงฮวาผู้เป็นสาวใช้คนสนิทช่วยเรียกคืนสติของสุ่ยอี้โหรวให้กลับคืนมา ยามนี้ร่างกายของนางนั้นเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์มาปกปิด คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนตามลำตัวทำให้เนื้อตัวของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ชายหนุ่มที่นอนบนเต
ยามที่ชุ่ยเหมยกลับมาก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว เมื่อนางพบว่ามีศพนอนรออยู่สามศพนางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด“ฮูหยินเจ้าคะ ทางเรือนใหญ่ลงมือกับท่านอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อนางถามเช่นนี้โม่ชิงเยว่ก็พยักหน้า“เป็นสุ่ยอี้โหรวน่ะ เพียงแต่คราวนี้ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้แล้ว” เมื่อโม่ชิงเยว่เอ่ยจบก็ยื่นถุงสมุนไพรในมือให้ชุ่ยเหมย ยามที่เงินไม่ขาดมือชีวิตช่างดีนัก จะซื้อสมุนไพรมาตุนไว้สักเท่าใดก็ไม่เดือดร้อน ตอนที่ท่านพ่อของนางสิ้นจวนสกุลโม่มีทรัพย์สินเหลืออยู่ไม่มากเท่าไหร่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสินเดิมที่เหลืออยู่ของท่านแม่ของนาง นางจึงต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด พอแต่งเข้าจวนโหวแม้ว่าสามีจะมั่งคั่งแต่ในเมื่อแม่สามีไม่โปรดปรานเงินทองที่จะใช้สอยย่อมไม่มีตกมาถึงมือ นางจะไปแบมือขอกับแม่สามีก็ไม่ได้ ส่วนสามีแค่ได้พบหน้าก็ยังจะไม่พบ พอได้เจอหน้ากันนางจะอ้าปากถามเรื่องเงินก็ใช่ที่ มาตอนนี้พอมีเงินที่หามาได้ด้วยตนเองแล้วนางย่อมจะมือเติบอยู่บ้างเป็นธรรมดา“ผงสมุนไพรนี้ แค่โปรยไปในอากาศจะทำให้คนที่สูดดมหลับใหลไม่ได้สติ เจ้าใช้อย่างระมัดระวัง เอาศพของสามคนนี้ไปโยนไว้บนเตียงของสุ่ยอี้โหรว ในเมื่อนางอยากยุแยงใ
ในขณะที่ทางชายแดนยังคงสะสางปัญหาไม่สิ้น แต่ทางจวนโหวนั้นกลับราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประจบเอาใจน้องสามีสุ่ยอี้โหรวจำต้องกัดฟันควักเงินถึงแปดสิบตำลึงเพื่อซื้ออาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าปักของสกุลเจียง ส่วนทางด้านฮูหยินผู้เฒ่านั้นขอแค่เพียงนางยกยอมากขึ้นสักหน่อย ยอมทำท่าทางนอบน้อมให้มากๆ และยังคงรักษาท่วงท่าของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่ก็ย่อมจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นแล้วหญิงชราผู้นี้เอาใจไม่ยาก ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ชอบยกย่องผู้ที่สูงศักดิ์กว่าและชอบเหยียบย่ำผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า ในฐานะที่สุ่ยอี้โหรวเป็นถึงคุณหนูรองสกุลสุ่ยซึ่งเป็นสกุลเดิมของฮองเฮา แต่กลับยินยอมลดฐานะมาเป็นแค่เพียงอนุในจวนโหว ย่อมถือว่าเป็นการให้หน้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าจวนนิ่งอันโหวเป็นอย่างมาก ดังนั้นยามที่นางเอ่ยปากถึงสิ่งใดก็ย่อมจะได้รับการเห็นดีด้วยจากฮูหยินผู้เฒ่าแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้านำโม่ชิงเยว่มาเปรียบเทียบกับนาง ฐานะคุณหนูสกุลสุ่ยของสุ่ยอี้โหรวย่อมจะต้องดูดีกว่าฐานะของโม่ชิงเยว่ที่เป็นแค่เพียงบุตรสาวกำพร้าของอดีตแม่ทัพที่ตายไปนานแล้วอย่างแน่นอน“ข้าให้พวกเจ้าคอยคุ้มกันจวนให้ดี อย่าให้สาวใช้นางนั้นเล็ดลอดออกจากจวนไปได้ แล้วทำไมนา
อากาศในเมืองหลวงเริ่มอบอุ่นแล้วแต่อากาศทางชายแดนกลับยังคงหนาวเหน็บ การบุกโจมตีครั้งสุดท้ายได้เริ่มขึ้น ซ่งเหวินจิ้งควบม้าควงดาบนำทัพเข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรง ช่วงสองปีมานี้การศึกยืดเยื้อสิ้นเปลืองทั้งเสบียงและกำลังพลเป็นอย่างมาก หากสงครามยังยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ล้วนไม่ส่งผลดีต่อขวัญและกำลังใจของคนในกองทัพ คืนนี้เขาจึงวางแผนการใหญ่ใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหวังให้ทัพของข้าศึกมาติดกับยามนี้ทัพของข้าศึกน่าจะติดกับดักที่เขาวางเอาไว้แล้ว ทหารของข้าศึกที่มาโอบล้อมเขาและคนของเขาไว้ต่างก็มีสีหน้าฮึกเหิมและลำพอง ยามที่หม่าป๋อซางแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเป่ยขี่ม้าเดินหน้าเข้ามาหาเขาสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ“ผู้ใดฆ่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเหลียนได้ ข้าจะตกรางวัลให้เป็นอย่างงาม” คำพูดของหม่าป๋อซางทำให้คนของเขาต่างพากันโห่ร้องออกมาอย่างคึกคะนองทุกสายตาต่างจ้องมองมาที่ซ่งเหวินจิ้ง เขาแค่เพียงยิ้มออกมายามนี้หม่าป๋อซางยินยอมออกมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วย่อมหมายความว่าการศึกในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว“ปัง!” เสียงพลุไฟส่งสัญญาณในมือของซ่งเหวินจิ้งถูกส่งออกไปส่วนตัวเขานั้นดีดตัวออกจากหลังม้าทะยานร่างไ
เมื่อกำลังใจดีมียาให้ดื่ม อาการล้มป่วยของโม่ชิงเยว่ก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะพูดว่าการขายผ้าปักคือการขอความช่วยเหลือจากสกุลเจียง แต่โม่ชิงเยว่กลับพิถีพิถันและลงมือปักผ้าอย่างประณีตบรรจง ลวดลายที่นางออกแบบล้วนเป็นลวดลายที่กำลังได้รับความนิยมในเมืองหลวง นางนำมาดัดแปลงโดยใช้ลายเส้นในรูปแบบเฉพาะของสกุลเจียง แน่นอนว่าสาวใช้ผู้มากไหวพริบของนางก็คือคนที่ออกไปสำรวจความนิยมของผู้คนในเมืองหลวงมาให้ เนื้อผ้าและเส้นไหมที่ใช้ปักนางล้วนเลือกใช้ของชั้นดีสีสันและลายปักจึงดูล้ำค่าเหมาะสมกับราคาที่สกุลเจียงจ่ายมาให้พอมีเงินแล้วชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีอาหารให้กินจนอิ่มท้องมีที่นอนที่มีความอบอุ่นเพียงพอเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับสี่ชีวิตในเรือนเหมันต์ พออากาศอบอุ่นมากขึ้นชุ่ยเหมยก็มักจะพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านทั้งชักชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำแปลงปลูกผักแปลงเล็กๆ ไว้กิน ทั้งฝึกสอนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ทำให้โม่ชิงเยว่มีสมาธิในการออกแบบลวดลายและลงมือปักผ้าได้อย่างเต็มที่ส่วนทางเรือนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้ส่งสิ่งของมาให้แต่ก็มักจะส่งคนมาคอยสอดแนมเป็นระยะ แต่โม่ชิงเยว่ไม่ค
ความคิดเห็น