มารดาเลี้ยงจับนางแต่งงานกับอ๋องพิการแทนน้องสาวนางก็ยอม สามียังประกาศรักมั่นสตรีอีกคนนางก็ยอม แต่ใครให้ความกล้าพวกเขามารังแกนางกัน? แค้นนี้ย่อมส่งมอบคืน ในเมื่ออยู่กันดีๆไม่ได้ ก็ต้องย่อยยับกันไปข้าง!
もっと見るบทนำ
ภายในห้องอันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์สีเงินจากภายนอกสาดส่องเข้ามากระทบลงบนเงาร่างของคนสองคนที่อยู่กลางห้อง
คนผู้หนึ่งยืนสูงตระหง่าน เพียงแค่แผ่นหลังก็ดูสง่างาม
หากแต่อีกคนกลับนั่งอยู่กับพื้น แขนขาล้วนถูกพันธนาการไว้ทั้งหมด กอปรกับผมที่หลุดลุ่ยปกปิดหน้าตา ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
ปลายดาบแผ่ไอเย็นจรดลงข้างแก้มของนักโทษ ปาดปอยผมบางส่วนที่ปรกใบหน้าของคนเบื้องล่างอยู่ให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างไม่สนใจ ตามติดมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจสายธารในเหมันต์ฤดูเอ่ยถามออกไปว่า
"เจ้าเป็นใคร" เงาวาววับของดาบที่สะท้อนอยู่ในความมืดยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกลงกว่าเดิม
"แม้แต่ยามนี้ ความจำของท่านอ๋องก็เลอะเลือนเสียแล้ว" สิ้นเสียงที่ตอบกลับมา ปลายประโยคก็ยังเจือด้วยการหัวเราะแผ่วเบาตบท้าย ประหนึ่งว่าไอเย็นจากดาบที่นาบอยู่ข้างแก้มมิได้ทำให้นางรู้สึกรู้สาอันใด
"บอกมา" การเอื้อนเอ่ยของอีกฝ่ายยังคงเชื่องช้าเหมือนเคย หากแต่ปลายดาบกลับยิ่งแนบสนิทชิดผิวขาวราวหิมะของนางมากขึ้นกว่าเก่า
มิรู้ว่าผู้ถูกถามมองเห็นถึงเจตนาในการวางดาบอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วหรือไม่ รึไม่คิดเกรงกลัวกันแน่ นางถึงได้เอ่ยตอบเขาไปว่า
"ท่านอ๋อง... ผู้อื่นกล่าวว่าท่านช่างน่าสงสาร เป็นถึงเทพแห่งสงครามแต่กลับโชคร้ายขาพิการ มิหนำซ้ำส่วนนั้นก็มิทำงาน เรื่องนี้ถูกพูดถึงในวงสนทนากี่รอบต่อกี่รอบ ข้าฟังจนหูแทบไร้ความรู้สึกไปแล้ว ยามนี้ หากเรื่องที่ท่านหลง ๆ ลืม ๆ ถูกเปิดเผยออกไปอีก ชาวบ้านจะมิเวทนาอาดูรท่านกว่าเดิมหรือไร" ความกระจ่างในน้ำเสียงของนางยังคงเด่นชัด ชัดเสียยิ่งกว่าการมองเห็นสภาพภายในห้องมืด ๆ แห่งนี้เสียอีก
"เจ้า!" สุดท้ายคนที่ใจเย็นอย่างเขาก็มิอาจทนไหว เผลอตวาดออกมา ตัวเขาสั่งคนมัดนางไว้ก็แล้ว ล่ามโซ่ก็แล้ว แต่ก็มิวายมีเรื่องให้หงุดหงิดใจอีก เพียงเพราะต้องเหลือปากให้นางตอบคำถาม ยามนี้ถึงได้หัวเสียเพราะคำพูดของนางเข้าให้แล้ว
ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด คำตอบที่มอบกลับมาอีกคราก็ทำให้สรรพสิ่งรอบกายเงียบงันลงกว่าเดิม
"พี่ลี่หยาง ข้าก็คือ 'เจียงเยี่ยนฟาง' ชายารองของท่านอย่างไรเล่าเพคะ บุตรสาวคนโตของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย..."
"..." มือที่ถือดาบอยู่พลันกำแน่นขึ้นอีกนิด หวังว่าสัมผัสในมือจะย้ำเตือนสติ มิให้เขาใช้อารมณ์ชั่ววูบสังหารนางทิ้งไปเสียตอนนี้ "เจ้าไม่ใช่!"
แม้ดวงหน้าของนางที่ถูกแสงจันทร์ลอดผ่านเส้นผมไปกระทบ มองดูอย่างไรก็รู้ว่ากำลังเยาะเย้ยเขาอย่างออกนอกหน้า แถมยังดูไม่สนแม้ว่าตนกำลังจะตายก็ตาม ทว่าสตรีที่บอกว่าตนคือเจียงเยี่ยนฟางกลับเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน "ท่านพี่... ท่านลืมข้าได้อย่างไรเพ..."
แต่ไม่ทันได้ให้ผู้อื่นหยอกเย้าเล่นจนจบ ปลายดาบก็เปลี่ยนมาเชยคางของเจียงเยี่ยนฟางขึ้น จนนางต้องจำยอม เชิดหน้าตามขึ้นไป นำพาให้ปากที่กำลังเอ่ยวาจาต้องหุบลงทันที
จังหวะนั้น รอยยิ้มเย้ยหยันพลันปรากฏบนมุมปากของท่านอ๋องผู้อยู่เหนือกว่าสตรีใต้เท้าของตน เพียงแต่มันก็คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสิ่งที่นางกระทำต่อมากลับยิ่งเหนือความคาดหมาย
เมื่อรอยยิ้มของสตรีที่นั่งอยู่พลันกระตุกขึ้นตามคนที่ยืนกดตาลงต่ำมองดูตนเอง นางเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้คมของดาบสัมผัสโดนใบหน้า อย่างไรเสียสตรีก็รักใบหน้ายิ่งชีพ นางเองก็ไม่ต่าง แต่พอหลบพ้นแล้วเจียงเยี่ยนฟางก็เอาคอพาดลงไปบนดาบอีกรอบ เพื่อให้ดาบบาดผิวบนลำคอของตนแทน
ตายเพราะดาบปาดคอนางรับได้ แต่ตายศพไม่สวย... นางรับไม่ได้!
มือใหญ่แทบจะดึงดาบออกมาเกือบไม่ทัน เซียวลี่หยางเซถอยหลังไปถึงสองก้าวด้วยความตกใจในความบ้าบิ่นของนาง เขารู้ว่านางประหลาด รู้ว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเสียสติ หรือคนที่ส่งนางมา ก็หวังให้นางสละชีพตนเองอยู่แล้วหากทำงานมิสำเร็จ นางเลยไม่สู้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ดีกว่าถูกเขาจับทรมานสอบปากคำให้คลายความจริงออกมา
จังหวะนั้น เสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากร่างบางที่ถูกมัดมือไขว้หลังนั่งอยู่บนพื้น ผมยาวสยายตกลงมาราวกับภูตผี
ความหนาวเย็นรอบกายกอปรกับเสียงหัวเราะแปลกประหลาดก็ทำให้อีกคนในห้องที่หลบอยู่ในเงามืดถึงขั้นขมวดคิ้ว ก่อนเดินเข้ามาประชิดเจ้านายของตนเพื่อหวังจะถามว่าจะเอายังไงต่อ
ฉับพลันนั้นที่เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขี้นมา นางก็ยกยิ้มหวานยียวนจ้องมองท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ หยาดเลือดสีแดงสดค่อย ๆ แทรกซึมออกมาจากบาดแผลบนลำคอ สีชาดของเลือดช่างตัดกับผิวขาวซีดนั้นอย่างชัดเจน เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาไม่พอใจของสามี นางก็หัวเราะเสียงเย็นออกมาอีกระลอกหนึ่ง
ตัวท่านอ๋องที่สบตากับนางอยู่ก็จ้องมองนางด้วยใบหน้าสงสัย 'เจ็บขนาดนั้นแต่กลับยังหัวเราะออกมาได้ นาง... เสียสติไปแล้วหรือไร!'
ครั้นเมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็หอบหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เอ่ยกับเขาด้วยเสียงหวานอย่างที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน แต่คนฟังย่อมรู้แน่ว่านางกำลังกวนประสาทเขาอยู่
"ตัดใจสังหารมิลงหรือเพคะ หรือทรงมีใจให้หม่อมฉันไปแล้ว"
"ประสาท!" เขาสบถอย่างหาได้ยาก สะบัดกายเตรียมจะจากไป "ทรมานนาง เค้นคำตอบมาให้ข้า!"
ประตูห้องมืดถูกเปิดออกแล้ว แสงจากด้านนอกที่ลอดผ่านเข้ามา ก็นำพาให้เห็นดวงตาไร้ความรู้สึกของนักโทษบนพื้นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่กำลังยิ้มให้สวามีของตนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ยิ่งบวกกับสภาพผมเผ้าที่ดูไม่ต่างจากขอทานของนาง ผู้ใดที่ได้พบเห็น หากไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็คงคิดว่านางคือวิญญาณร้ายที่ถูกจับขังก็ไม่ปาน
"พ่ะย่ะค่ะ!" เหล่าองครักษ์ด้านนอกรับคำ แต่มิทันได้เดินเข้ามาด้านในก็ต้องรีบหันกลับไปสนใจร่างของเจ้านายที่ทรุดลงกะทันหันแทน
"ท่านอ๋อง!"
มือของเซียวลี่หยางที่ยังคงถือดาบอยู่ก็พลันปักดาบทิ่มลงดิน ใช้ประคองร่างที่เจ็บปวดอย่างกะทันหันไว้ได้ทันพอดี ทำให้เขาไม่ล้มลงไป หากแต่เลือดคลั่งที่กลั้นไว้ได้ในตอนแรก สุดท้ายก็ไหลออกมาที่มุมปาก ขับเน้นให้ดวงตาที่แผ่ไอสังหารออกมาวาวโรจน์ขึ้นกว่าเดิม ราวกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ด้านใน มือใหญ่อีกข้างที่ยังว่าง ก็ยกห้ามคนของตนไว้ ไม่ให้มาประคองตัวเอง
ทว่าความเจ็บปวดกลับรุนแรงขึ้นอีกทบเท่าพันทวี จนแขนขาอ่อนแรง ร่างพลันทรุดลงไปกับพื้นในท่าคุกเข่าด้วยการฝืนทนอย่างสุดความสามารถแล้ว
"ท่านอ๋อง!" เหล่าองครักษ์ต่างร้องเรียกด้วยความตกใจอีกระรอก
ชินอ๋องแห่งแคว้นเฉิงที่กำลังจะไร้สติก็หันกลับไปมองด้านหลัง หวังใช้แรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะทนไม่ไหวเพื่อบอกถึงต้นเหตุของเรื่อง
ทว่า... ด้านหลังที่เคยมีสตรีเสียสติผู้นั้นนั่งคุกเข่าอยู่พร้อมกับเชือกที่มัดตัวและโซ่ตรวนที่ขา บัดนี้กลับว่างเปล่า ร้างไร้คน! ภายในห้องหลงเหลือเพียงกลิ่นเลือดเจือจางในอากาศบ่งบอกว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เรื่องที่เมื่อครู่นางยังอยู่ตรงนั้น และหากไม่เห็นว่า ยังคงมีโซ่ที่ถูกถอดออกวางไว้อยู่ข้างปอยผมที่ถูกตัดขาดของนาง บัดนี้คงพานคิดไปแล้วว่าสตรีนางนั้นอาจเป็นผีสางจริง!
"นักโทษหายไปไหนแล้ว!" เติ้งอู๋ที่เดินตามเซียวลี่หยางออกมาตะโกนเสียงดังลั่น พลางนั่งลงประคองเจ้านายไว้ "ค้นหาให้ทั่ว อย่าให้นางหนีได้!"
อันนี้เป็นแค่บทเปิดเรื่อง ไม่มีความเกี่ยวข้อกับต้นเรื่องนะคะ
เป็นเจินเจินที่เดินมาจากด้านหลัง แทรกตัวผ่านเจียงเยี่ยนฟางออกมา แล้วลงมือตบหน้าจูหลิงเพื่อสั่งสอนอีกฝ่ายแทนเจ้านายตนเอง!"จูหลิง เจ้าเป็นเพียงสาวรับใช้ กล้าเสียมารยาทก็แล้วไป แต่ยังหมิ่นเบื้องสูงไม่เลิก เป็นข้าที่ตบสั่งสอนแทนการถูกตัดหัวเสียบประจานของเจ้า ก็ควรขอบคุณแล้ว!" เจินเจินกางแขนกันเจ้านายตนเองไว้ ใครหน้าไหนจะผ่านเข้าไปก็ต้องสังหารนางให้ตายก่อน แล้วค่อยเหยียบศพนางก้าวเข้าไปในเรือน!"..." กู่เยว่ชิงได้ฟังก็สูดหายใจเข้าลึก เกิดความกลัวขึ้นมาในใจ รีบเข้าไปดึงสาวใช้ของตนเองกลับมา พลางเงยหน้ามองเจียงเยี่ยนฟางอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ที่ผ่านมาสตรีผู้นี้ต่างอยู่อย่างสงบเสงี่ยมไม่เรียกร้องสิ่งใด ท่าทางที่เจอแต่ละครั้งก็อ่อนหวานระคนขี้กลัว ดั่งนกน้อยที่ตกจากรังเจอเข้ากับฝูงงู แม้นางจะตัวสูงแต่กลับดูบอบบางอยู่ตลอดเวลา ในตอนที่ท่านอ๋องไล่นางมาอยู่เรือนด้านหลัง นางก็มาอยู่โดยไม่ปริปากบ่นแม้ครึ่งคำ วันนั้นพอถูกใช้ให้ไปต้มน้ำแกงไม่ต่างจากสาวใช้คนหนึ่ง ก็ยังยินยอมทำตามอย่างว่าง่ายอยู่เลยพวกคนใช้ในจวนเองก็ต่างพูดกันให้ทั่วว่า คุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้คงรู้ว่าตนไม่มีอำนาจเพียงไร ถึงได้อยู่อย่างเจีย
"เปิด..." เสียงคนด้านนอกดังแว่วเข้ามาเจียงเยี่ยนฟางที่เดินมารออยู่ก่อนแล้ว ก็ดึงประตูเรือนเปิดออกโดยไม่รอให้ใครมาทุบประตูให้หนวกหูอีก"พี่หญิง" นางทำความเคารพสตรีหน้าเรือนก่อนเป็นอันดับแรก สีหน้าและน้ำเสียงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นกังวลใจ "ไม่ทราบว่าพี่หญิงมีเรื่องอะไรให้น้องสาวคนนี้ช่วยเหลือหรือเจ้าคะ ถึงได้พาคนมาดึกดื่นเช่นนี้""น้องหญิงเจียง เจ้าเห็นความเชื่อใจของข้าเป็นสิ่งใดกัน ทั้งที่... ทั้งที่ข้าเอ็นดูเจ้าขนาดนั้น" กู่เยว่ชิงพูดไปก็เช็ดน้ำตาไป ดวงตาก็เหลือบมองไปด้านหลังตนเองตลอดเวลาเจียงเยี่ยนฟางก็ทำทีเป็นมองไม่เห็นว่าเหมือนนางกำลังรอใครบางคนให้มาถึงอยู่ ในเมื่ออีกฝ่ายเสแสร้งได้แนบเนียน นางเองก็ทำได้เช่นกัน เวลานั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อ ขึ้นมาปิดใบหน้าเลียนแบบอีกฝ่าย "พี่หญิง ท่านพูดเรื่องอะไรกันเจ้าคะ""อย่ามัวเสียเวลาเลยเพคะพระชายา" จูหลิงที่ยืนประคองเจ้านายไว้ก็พูดไปปลอบไป ครั้นจบประโยคนั้นก็หันไปสั่งสาวใช้ที่มาด้วยกันอีกกลุ่มใหญ่ว่า "ค้นเรือน!""เดี๋ยว!" เจียงเยี่ยนฟางยืดตัวเต็มความสูงพลางยื่นมือขวางทางเข้าไว้ แผ่นหลังเหยียดตรง โยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งไปที่อื่น น้ำเสียงเอง
กระทั่งคืนวันต่อมา เจินเจินก็ได้ยินข่าวว่าท่านอ๋องแอบส่งคนไปตามหมอสวี่เข้ามาทางประตูหลัง มารักษาอาการท้องร่วงให้พระชายากู่และคนในเรือนเอินทั้งหมด!เจินเจินพอได้ยินเรื่องนี้แล้วก็รีบรุดไปดูด้วยตาของตนเองว่าเรื่องที่นางได้ยินจากคนใช้ในจวนเป็นความจริงหรือไม่ ครั้นมาถึงเรือนเอินแล้วก็ได้ยินพระชายากู่โวยวายเสียงดังออกมาว่า"ยาพิษที่ทำให้ท้องร่วงพวกนั้นเจ้าเก็บดีหรือไม่ เหตุใดพวกเราถึงโดนไปด้วย!""หม่อมฉันเก็บดีแล้วนะเพคะพระชายา" จูหลิงน้ำเสียงสั่น เมื่อวานนางเพิ่งจะถูกลดเบี้ยของเดือนนี้ไป วันนี้ก็ดันเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว"แล้วเหตุใดข้าถึงท้องร่วง น่าขายหน้ายิ่งนัก พี่ลี่หยางจะมองข้าอย่างไร! เจ้ามันไม่ได้เรื่อง!" สิ้นเสียงของกู่เยว่ชิงก็มีเสียงของแตกตามมาไม่หยุด"พระชายา ทรงเย็นพระทัยก่อนเพคะ บางที บางทีอาจเป็นพวกของกินที่ห้องครัวเตรียมมาให้ไม่สะอาด จึงทำให้พวกเรา..." เสียงของจูหลิงขาดห้วงไม่เป็นประโยค ด้วยเพราะวิ่งหลบของที่ถูกปามาใส่"เจ้าคิดว่าจะหลอกผู้ใดกัน!" กู่เยว่ชิงตะโกนเสร็จก็หอบหายใจด้วยความเหนื่อย ต่อให้อาหารถูกเตรียมมาไม่ดีแล้วเหตุใดท่านอ๋องทรงไม่เป็นอะไร คนในเรือนอื่นก็ไม่เป็นอะ
ด้านเจินเจินไม่ได้สนว่าใครเพิ่งจะตกน้ำไป นางพยายามประคองร่างในมือดันขึ้นไปบนสะพานแทน ปากพร่ำถามว่าพระชายาเป็นอย่างไรบ้างอยู่หลายครั้ง และพอส่งคนขึ้นไปได้แล้ว นางถึงได้ปีนตามขึ้นไป"ไปช่วยนางขึ้นมา!" เซียวลี่หยางหันไปบอกเติ้งอู๋ที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเติ้งอู๋พอถูกสั่งก็ปลดอาวุธประจำกายวางไว้ ก่อนจะลงน้ำไปเพื่อช่วยกู่เยว่ชิงขึ้นมาจูหลิงที่กำลังรออยู่บนสะพานรีบหันไปบอกให้สาวใช้อีกสองคนไปเอาน้ำชากับผ้าคลุมที่อยู่ในศาลามาเตรียมรอเจ้านาย"พระชายา ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ" เจินเจินยังคงถามย้ำอีกรอบ รีบกวาดตามองดูตามร่างกายของคนตรงหน้าที่ฟุบอยู่กับพื้นสะพานให้แน่ใจอีกที"..." เจียงเยี่ยนฟางที่ยังไอไม่หยุดก็ยกมือโบกไปมาแทนคำตอบ พอรับรู้ได้ว่ามือตัวเองสั่นขนาดไหนก็รีบลดมือลง แล้วใช้มืออีกข้างเท้าพื้นให้ตัวเองลุกขึ้นมานั่งให้ดี ๆ แทนจังหวะต่อมาเติ้งอู๋ก็พาคนขึ้นมาจากสระบัวได้แล้ว จูหลิงที่ปาดเข้าไปประคองกู่เยว่ชิงก็รีบยกมือลูบแผ่นหลังให้เจ้านายตนเองเพื่อไอเอาน้ำออกมาให้หมด"พี่หญิงกู่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ขอโทษด้วย เมื่อครู่ไม่ทันระวังดึงท่านแรงไปหน่อย ไม่คิดว่าท่านที่ยื่นมือมาช่วยจะไม่เกร
บทที่ 6.2คราสองพอเลย!"พระชายา พระชายาเพคะ!" เจินเจินนั่งลงที่พื้น พยายามมองหาคนที่หล่นลงไปในน้ำ ยิ่งบริเวณนี้กลีบดอกบัวแน่นหนา ทำให้ร่างของอีกฝ่ายกลืนหายไปจนแทบมองไม่เห็น ซ้ำยังไม่ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ หรือพยายามตะเกียกตะกายตัวขึ้นมาพอให้เจินเจินสามารถคว้ามือไปจับได้ มีแต่จมหายไปราวกับเจ้าตัวเป็นก้อนหินก็ไม่ปานพลันนั้นเจินเจินก็รู้สึกว่ามีใครมายืนข้างตนเองเลยเงยหน้าขึ้นไปมอง พอพบว่าเป็นเติ้งอู๋ ดวงตาจึงเต็มไปด้วยคำถามว่า จะให้ทำอย่างไร 'ไหนว่ามิอาจให้พระชายาเจียงตายได้อย่างไรเล่า หรือถ้าเป็นอุบัติเหตุก็ไม่เป็นไรงั้นหรือ'เติ้งอู๋แม้จะมีสีหน้าเคร่งขรึมดังเดิม ทว่าก็เอาแต่เฝ้ามองดูฟองอากาศเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาเหนือผิวน้ำที่ซ่อนอยู่ระหว่างใบบัวไม่ละสายตา ด้วยไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่เจียงเป็นคนของผู้ใด แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยคุยกับท่านอ๋องไปแล้วว่า ยังไม่สามารถให้นางตายได้ เพราะหากนางเป็นคนของฮ่องเต้จริง แล้วเกิดตายขึ้นมา ฮ่องเต้ก็คงประโคมข่าวดวงกินเจ้าสาวของท่านอ๋องออกไปอีกครามิหนำซ้ำอาจบานปลายถึงขั้นยกเรื่องความสะเพร่าของคนในจวนอ๋องที่ทำให้คุณหนูใหญ่เจียงตาย มาเป็นข้ออ้างในการลงโทษเจ้านายของตนก็ได้ส
ในตอนนั้นจูหลิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับกาน้ำชาที่เพิ่งไปชงมาใหม่ นางเดินเข้าไปรินชาให้เจียงเยี่ยนฟางและเจ้านายตนเอง ก่อนจะถอยออกไปรอข้าง ๆ ดวงตาก็จ้องมองดูพระชายาพระนางใหม่ของจวนดึงมือออกจากมือของเจ้านายตน แล้วยกจอกชาขึ้นไปดื่มโดยไม่ยอมเปิดผ้าปิดหน้าออกดี ๆ อีกฝ่ายเพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งเลิกผ้าขึ้นเปิดทางเท่านั้น แต่กิริยาท่าทางกลับน่ามอง ไม่เหมือนข่าวลือด้านนอกเลยสักนิดด้านเจียงเยี่ยนฟางพอยกชาขึ้นดื่มแล้ว ก็จงใจดื่มชาจนหมดจอกในรวดเดียว ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร ครั้นดื่มจนหมดแล้วก็ได้กลิ่นหอมของใบชาชั้นดีที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปาก "วันหลังชาชั้นดีเช่นนี้ พี่หญิงไม่ต้องนำมาชงให้เยี่ยนฟางดื่มก็ได้เจ้าค่ะ ข้าเคยชินแต่ชาดาษดื่นที่หาได้ในร้านข้างทาง เกรงว่าจะเสียของเปล่า ๆ""ไม่ลำบาก ๆ จวนอ๋องจะขาดตกบกพร่องในการดูแลเจ้าได้อย่างไร" กู่เยว่ชิงคราวนี้รอยยิ้มหดลงเล็กน้อย หลุบตามองจอกชาที่ว่างเปล่าในมือเจียงเยี่ยนฟาง"..." ด้านจูหลิงที่มองเจียงเยี่ยนฟางอยู่ก่อนแล้วก็มีสีหน้าสับสน พลันนั้นที่เจ้านายหันมามอง นางก็แอบส่ายหน้าเล็กน้อยส่งกลับไปเพราะรู้ตัวว่าตนเองหันมองจูหลิงนานเกินไปแล้ว กู่เยว่ชิงจึงแสร้งพ
コメント