ทางด้านฉือฟางอิน หลังจากที่ฟื้นขึ้นมารับรู้เรื่องแล้ว แม้ภายใจในจะเจ็บรู้สึกเจ็บช้ำ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่นางก็ไม่ได้มีเวลาให้สำหรับการเสียใจมากนักเมื่อได้ทราบข่าวว่าน้องสาวต่างมารดา อย่างชวี่หนิงซื่อ คือเจ้าสาวคนใหม่ ที่จะได้แต่งงานกับเพ่ยเหยาซ่างแทนนาง เรื่องเมื่อคืนนี้หากไม่ใช่เพ่ยเหยาซ่างเผยทาสแท้ตนเองออกมา ก็คงหนีไม่พ้นเป็นสองแม่ลูก ที่รวมหัวกันวางแผนนี้ขึ้นมา
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นางก็จะไม่มีวันยอมแพ้ให้อนุเหลียน สตรีที่บิดาปันใจจากท่านแม่ ในตอนที่อยู่ที่สนามรบเป็นอันขาด ความโกรธเกลียดที่มีต่อสองแม่ลูกนั่น ฉือฟางอินจำเป็นต้องทิ้งความเจ็บปวดที่มีอยู่ออกไป แล้วลุกขึ้นมาจัดการกับตนเอง เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับพิธีแต่งงาน ที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้ เวลาผ่านไม่ถึงสามวันดี ขบวนสินสอดจากจวนสกุลฉือ สกุลของฉือหย่งหลิง ก็เดินทางมาถึงที่จวนสกุลชวี่ พิธีแต่งงานระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลฉือ และแม่ทัพฉือหย่งหลิงแห่งความฟู่ จึงถูกกำหนดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
ด้านหั้วชินอ๋องที่เป็นฝ่ายเข้าไปเจรจากับฮ่องเต้แคว้นหลู ถึงเรื่องการยกเลิกสมรสพระราชทาน ระหว่างฉือหย่งหลิงและองค์หญิงห้านั้น ที่สุดแล้วก็สามารถเจรจาผ่านไปด้วยดี
หั้วชินอ๋องรายงานว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในจวนสกุลชวี่ และกล่าวให้ฉือหย่งหลิงเป็นวีรบุรุษเข้าไปช่วยคุณหนูใหญ่ฟางอิน แต่เพราะด้วยฤทธิ์กับฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด แม้จะช่วยคุณหนูใหญ่ฟางอินเอาไว้ได้ แต่ทว่าด้วยอาการถูกทำให้ไร้สติเช่นนั้น ทำให้ฉือหย่งหลิงได้กระทำการล่วงเกินคุณหนูใหญ่ฟางอินไปเสียแล้ว และเพราะต้องการรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำ
แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉือหย่งหลิงก็ยืนยันจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น ด้วยการตบแต่งคุณหนูฟางอินเป็นฮูหยิน ฮ่องเต้แคว้นหลูเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี หากแม้ว่าสตรีที่ฉือหย่งหลิงจะแต่งงานด้วย เป็นสตรีอื่น ที่ไม่ใช่บุตรสาวของแม่ทัพชวี่ ที่ทำคุณูปการให้กับแคว้นหลูเอาไว้มากมาย พระองค์ก็คงจะเสนอให้สตรีนางนั้น แต่งเข้าจวนสกุลฉือในฐานะอนุภรรยา เพื่อให้ตำแหน่งฮูหยินใหญ่แห่งจวนสกุลฉือ ยังคงมีไว้สำหรับองค์หญิงห้าพระธิดาของพระองค์อยู่ แต่เมื่อเรื่องเกิดเป็นเช่นนี้ ประกอบกับเรื่องสมรสพระราชทานที่ว่านั่น มีเพียงคนเพียงไม่กี่คนรับรู้ พระองค์จึงได้ตอบตกลง ที่จะให้สมรสพระราชทานระหว่างฉือหย่งหลิง และองค์หญิงห้าเป็นโมฆะ
และเพราะว่าเห็นแก่คุณงานความดี ที่แม่ทัพชวี่มีต่อแคว้นหลู และเห็นแก่ฉือหย่งหลิง ที่เคยช่วยชีวิตพระองค์เอาไว้ ฮ่องเต้แคว้นหลูจึงอาสาเข้าร่วมในพิธีแต่งงาน ระหว่างฉือหย่งหลิงและบุตรสาวคนโตของแม่ทัพชวี่ ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วย ข่าวเรื่องที่ฮ่องเต้แคว้นหลู จะเสด็จร่วมงานแต่งของฉือฟางอิน ถูกแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว บ่าวไพร่ในจวนสกุลชวี่เองก็พูดคุยถึงเรื่องนี้กันอย่างเซ่งแซ่ ว่าคุณหนูใหญ่ฟางอินนั้นช่างโชคดี ที่ถึงแม้จะถอนหมั้นกับคุณชายเหยาซ่าง บุตรชายคหบดีที่ร่ำรวยไปแล้ว
แต่คุณหนูก็ยังไม่สิ้นไร้วาสนา ได้ตบแต่งกับท่านแม่ทัพใหญ่ ที่เคยสละชีวิตช่วยฮ่องเต้ ให้รอดพ้นอันตรายจากศัตรูที่หมายเอาชีวิตเอาไว้ และฮ่องเต้ยังทรงให้เกียตริ เสด็จมาร่วมพิธีแต่งงานระหว่างคนทั้งสองด้วยพระองค์เองอีกด้วย การแต่งงานของคุณหนูใหญ่ฟางอิน นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับชื่อเสียงจวนสกุลชวี่ยิ่งนัก
ฉือฟางอินที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น ไม่ได้อยากจะคิดไปว่าในบรรดาเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็ยังนับว่ามีเรื่องดี ที่ว่าที่สามีคนใหม่ของนาง เคยช่วยชีวิตฮ่องเต้เอาไว้ และยังได้คุณงามความดี ที่บิดาเคยทำไว้ ทำให้ฮ่องเต้เสด็จมาเข้าร่วมพิธีแต่งงานของนาง เพราะบุรุษทั้งสองนั้น คนหนึ่งก็เป็นบิดาที่นางไม่อาจให้อภัย เพราะหากเขามีความยับยั้งช่างใจสักหน่อย ไม่ไปทำสตรีอื่นตั้งครรภ์ แล้วพาเข้ามาอาศัยอยู่ในจวน ท่านแม่ก็คงไม่ต้องตรอมใจตาย
ส่วนอีกคนก็เป็นเพียงคนแปลกหน้า ที่พึ่งพบหน้ากับเพียงครู่เท่านั้น และท่าทางเฉยชาไม่สบอารมณ์ เหมือนอย่างกับคนถูกบังคับ ในยามที่ต้องพูดคุยกันถึงเรื่อง พิธีแต่งงานระหว่างนางและเขา ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า แม่ทัพผู้นั้นเองก็ไม่ได้ใคร่อยากที่จะแต่งงานกับนางสักเท่าไรนัก
แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องยอมรับความจริง ว่าถ้าหากไม่ได้บุรุษทั้งสองช่วยเหลือเอาไว้ นางก็คงไม่มีแก่ใจมานั่งเย็บชุดแต่งงาน ของตนเองละว่าที่สามี ให้ผู้อื่นใจจวนได้เห็นว่านางอยู่ดีมีสุข ไม่ได้ทุกข์ใจอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ ยิ่งกับคนที่อยากเห็นนางทุกระทมดับเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งกับอนุเหลียนและชวี่หนิงซื่อด้วยแล้ว เมื่อได้เห็นว่าฉือฟางอินยังสบายดี และยังคงได้แต่สิ่งดีๆ มากกว่าพวกตน ภายในใจก็ร้อนรุ่มจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
“ท่านแม่ ท่านเลือกคนทำงานอย่างไร ช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก”
“นี่เจ้ากำลังโทษแม่อย่างนั้นหรือ”
“หรือไม่จริงล่ะเจ้าคะ หากไม่ใช่ว่าคนของท่านไร้ความสามารถ ข้ากับท่าน จะได้เห็นฟางอินมานั่งเย็บชุดแต่งงาน อย่างสบายอารมณ์เช่นนี้หรือเจ้าคะ!”
ชวี่หนิงซื่อทำท่าทางกระฟัดกระเฟียดผู้เป็นมารดา เพราะนางไม่พอใจที่เห็นฉือฟางอิน ยังสามารถนั่งเย็บชุดแต่งงานของตนเองอย่างไม่ได้ทุกข์ใจ หรือเศร้าโศกอย่างที่นางต้องการให้เป็น ส่วนด้านอนุเหลียนก็ได้แต่กำมือแน่น กัดปากจนห้อเลือดด้วยความคับแค้นใจไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้ เพราะสิ่งที่บุตรสาวกล่าวมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงที่นางไม่อาจยอมรับได้
เดิมทีกู้ชินอ๋องท่านตาของนาง ได้จัดเตรียมคนของเขาที่จะส่งเข้ามาจัดการ คุณหนูใหญ่ฟางอินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าเป็นนางเองที่ปฏิเสธไป เพราะนางอยากจะให้บุรุษที่ปีนเข้าเรือนของคุณหนูใหญ่ฟางอินนั้น เป็นชายมีชาติกำเนิดต่ำช้ามากที่สุด นางถึงส่งคนไปเรียกใช้คนงานชายในหอนางโรม ที่ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงด้านมืดมั่วสุมอบายมุข และทำร้ายสตรีเป็นว่าเล่นมาทำหน้าที่นี้แทน
อนุเหลียนจินตนาการไปว่า หากฟางอินได้แต่งงานไปกับบุรุษต่ำช้าเช่นนี้ นางก็แทบรอไม่ไหวแล้ว ที่จะได้เห็นคุณหนูใหญ่ฟางอิน ผู้เย่อหยิ่งที่มักกล่าววาจา ข้ามหัวนางไปมาต่อหน้าบ่าวไพร่ ทำให้นางต้องอับอายอยู่หลายครั้ง ดูซิว่า หากคุณหนูใหญ่ผู้ทะนงตน ไม่เคยเห็นหัวนางสองคนแม่ลูกที่อาศัยอยู่ในจวน เมื่อได้ไปใช้ชีวิตเป็นเพียงภรรยาคนงานในหอนางโลม ไร้เกียรติศักดิ์ศรีเช่นนั้นแล้ว นางยังจะเชิดหน้าไม่เห็นหัวคนอื่นได้อยู่อีกหรือไม่ ดีไม่ดี คงได้แต่มุดหัวอยู่แต่ในเรือนซอมซ่อกระมัง
แต่เมื่อถึงเวลาลงมือจริงๆ แผนที่นางวางเอาไว้ กลับมีทางเพียงฝั่งเรือนของบุตรสาวนางเท่านั้นที่ทำสำเร็จ โดยการติดสินบนคุณชายในตระกูลตกอับคนหนึ่ง ให้เขามอมเหล้าเพ่ยเหยาซ่าง จากนั้นก็พาตัวเขามาที่เรือนของชวี่หนิงซื่อ ที่จุดธูปปลุกกำหนัดรอไว้อยู่ก่อนแล้ว หลังจากนั้นจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็เป็นที่รู้กันดี ส่วนอีกด้านหนึ่ง แผนกลับล่มไปไม่เป็นท่า เพราะจู่ๆ แม่ทัพหนุ่มจากต่างแคว้นผู้นั้น ไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงได้มาโผล่เอาที่เรือนของฉือฟางอิน ก่อนที่ชายคนงานที่หอนางโลมที่อนุเหลียนว่าจ้างไว้ จะไปถึงตัวของนางเสียได้
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี