หลังจากค้นพบความจริงที่ซ่อนอยู่ในอัลบั้มรูป หัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ฉันพยายามทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างละเอียด แต่ภาพในอดีตมันเลือนลางเกินกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์
ฉันรู้แค่ว่าฉันเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุของเด็กชายคนนั้น และภูผาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเกลียดฉันมากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องในอดีตของเราสองคนเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ฉันลงมาที่ห้องอาหาร พบภูผานั่งอยู่แล้วเช่นเคย ฉันพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่สายตาของฉันก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองเขาอยู่บ่อยครั้ง
เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์เงียบ ๆ ใบหน้าคมคายของเขาดูเย็นชาและห่างเหินเหมือนเดิม ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามอะไร
“วันนี้ฉันต้องไปดูไซต์งานก่อสร้างที่ต่างจังหวัด” ภูผาเอ่ยขึ้นมา ทำลายความเงียบ “อาจจะกลับดึกหน่อย”
ฉันพยักหน้ารับคำอย่างเลื่อนลอย ความคิดของฉันยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องอัลบั้มรูปเมื่อคืน
เมื่อภูผาออกไปทำงาน ฉันใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดอีกครั้ง พยายามค้นหาอะไรบางอย่างที่จะไขข้อสงสัยในใจฉันได้ ฉันเปิดอัลบั้มรูปเล่มเดิม พลิกดูรูปเด็กชายคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘เขาคือใครกันแน่… และเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในวันนั้น’ ฉันพยายามนึกย้อน ภาพของเด็กชายที่ร้องขอความช่วยเหลือยังคงติดตา
ฉันจำได้ว่าเขาเป็นเด็กที่ดูขี้โรค และดูเหมือนว่าภูผาจะผูกพันกับเขามาก… มากจนกระทั่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นคนที่ทำให้เด็กชายคนนั้นต้องเจ็บปวด
ความรู้สึกผิดที่ก่อตัวขึ้นในใจ ทำให้ฉันแทบจะทนไม่ไหว ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำอย่างไรต่อไป จะถามภูผาตรง ๆ ก็กลัวว่าจะไปกระตุ้นความโกรธแค้นของเขา หรือจะเก็บงำความจริงนี้ไว้คนเดียวตลอดไป
ระหว่างที่ฉันกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด สายโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของโรงพยาบาล
“คุณลินินคะ คุณธนาอาการทรุดหนักอีกแล้วค่ะ” เสียงพยาบาลปลายสายเต็มไปด้วยความกังวล “หมอกำลังตรวจอาการอยู่ค่ะ”
หัวใจของฉันหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม ‘พ่อ!’
ฉันรีบวิ่งออกจากคฤหาสน์ทันที โดยไม่สนว่าจะมีรถหรือใครจะพาไป ฉันโบกแท็กซี่คันแล้วคันเล่า จนกระทั่งได้ขึ้นรถและมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
ตลอดทาง น้ำตาของฉันไหลริน ฉันภาวนาขอให้พ่อปลอดภัย ขอให้ฉันไปถึงโรงพยาบาลทัน
เมื่อไปถึงห้องพักฟื้นของพ่อ ฉันเห็นหมอกำลังยืนคุยกับพยาบาลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณหมอคะ พ่อฉันเป็นยังไงบ้างคะ!” ฉันถามเสียงสั่น ร้อนรนจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
“คุณธนาอาการทรุดลงเล็กน้อยครับ แต่ตอนนี้ทรงตัวแล้ว” หมอตอบ “น่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดในระยะแรก ต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิดครับ”
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก แต่ความกังวลก็ยังคงเกาะกินใจ การที่พ่ออาการทรุดลงแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตท่านไว้
ฉันนั่งเฝ้าพ่ออยู่ข้างเตียงจนกระทั่งค่ำมืด ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจถาโถมเข้ามา แต่ฉันก็ยังคงต้องเข้มแข็ง เพื่อพ่อ เพื่อลูกชาย และเพื่อชีวิตที่ฉันต้องเผชิญอยู่ตอนนี้
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ในตอนดึก ฉันเห็นแสงไฟในห้องทำงานของภูผายังคงสว่างอยู่ ฉันเดินผ่านห้องนั้นไปอย่างเงียบ ๆ ไม่อยากรบกวนเขา
ฉันขึ้นมาบนห้องนอน ถอดเสื้อผ้าออกแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง ความอ่อนล้าทำให้ฉันหลับไปอย่างรวดเร็ว แม้ในฝัน ภาพของเด็กชายในรูปภาพกับแววตาเย็นชาของภูผาก็ยังคงตามหลอกหลอนฉันอยู่ดี
ความไม่เข้าใจที่ฉันมีต่อภูผายิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ และไม่รู้ว่าปลายทางของสัญญาหนึ่งปีนี้ จะจบลงอย่างไร
หลังจากวันนั้นที่ฉันพยายามพูดคุยกับภูผาเรื่องป้าธิดาและอดีตของเขา แม้คำตอบที่ได้จะไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการทั้งหมด แต่ฉันก็รู้สึกว่ากำแพงที่เคยมีระหว่างเราเริ่มลดต่ำลงไปอีกนิด ความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกในใจเขาอาจจะไม่ได้หายไปในพริบตา แต่ฉันก็หวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเชื่อในความจริงใจของฉันฉันยังคงใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างปกติ ทั้งการดูแลน้องไทม์ ทำงานที่ร้านกาแฟ และดูแลคุณพ่อที่มาเยี่ยมคฤหาสน์เป็นครั้งคราว แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือความถี่ที่ฉันได้พบปะพูดคุยกับภูผามากขึ้นภูผาไม่ได้กลับบ้านดึกดื่นเหมือนเมื่อก่อน เขามักจะใช้เวลาช่วงเย็นอยู่กับน้องไทม์ และบางครั้งก็จะมีช่วงเวลาที่เขาเข้ามานั่งทำงานในห้องนั่งเล่นที่ฉันมักจะใช้เวลาอ่านหนังสืออยู่ด้วยในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น ภูผาเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารกองโต เขาเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานเล็ก ๆ มุมห้อง และเริ่มทำงานอย่างเงียบ ๆบรรยากาศในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษและเสียงคลิกเมาส์เป็นระยะ ฉันเงยหน้าขึ้นมองภูผาเป็นครั้งคราว ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด แต่ฉันก็เห็นแววตาที่มุ่งมั่นและจริงจังจู่ ๆ ฉันก็ไ
ค่ำคืนนั้น หลังจากที่ฉันได้รู้ความจริงเกี่ยวกับป้าธิดา และความเจ็บปวดในอดีตของภูผา ฉันนอนไม่หลับอีกครั้ง ภาพของน้องพีทในอัลบั้มรูป และแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าของภูผา วนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดทั้งคืนวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ ฉันลงมาที่ห้องอาหาร พบภูผากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว ใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเหมือนเดิม“คุณภูผาคะ” ฉันเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ฉัน… ฉันขอคุยอะไรด้วยได้ไหมคะ”ภูผาเงยหน้าขึ้นมองฉัน ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า“มีอะไร” เขาถามเสียงเรียบฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามรวบรวมความกล้า “ฉัน… ฉันได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของคุณ… และเรื่องของป้าธิดา”แววตาของภูผาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความเย็นชาหายไปชั่วขณะ แทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบาย คล้ายกับความเจ็บปวดที่ถูกซ่อนไว้ลึก ๆ“เธอรู้เรื่องแล้วก็ดี” เขาพูดเสียงเรียบ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น“ฉันเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นนะคะภูผา” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายมากขนาดนี้”ภูผานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาลุกขึ้นยืนและเดิน
คำตอบของภูผาที่ว่าผู้หญิงที่ฉันเห็นที่โรงเรียนอนุบาลคือป้าของเขา และเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น ค่ำคืนนั้นฉันนอนไม่หลับ ฉันพยายามนึกย้อนถึงสิ่งที่ภูผาเคยเล่าเกี่ยวกับครอบครัวของเขา และเรื่องราวในอดีตที่ฉันพอจะทราบมาวันรุ่งขึ้น หลังจากส่งน้องไทม์ที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว ฉันตัดสินใจที่จะลองหาข้อมูลเกี่ยวกับป้าของภูผา ฉันรู้ว่าเรื่องราวของตระกูลวรธนามักจะถูกเขียนถึงในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารเก่า ๆ ฉันจึงกลับไปที่ห้องสมุดของคฤหาสน์ และเริ่มค้นหาข้อมูลอีกครั้งฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันอยู่ในห้องสมุด กวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์เก่า ๆ และนิตยสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลวรธนา เพื่อหวังว่าจะเจอเบาะแสบางอย่างที่จะไขปริศนาในใจฉันได้ในที่สุด สายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับบทความเก่า ๆ ในหนังสือพิมพ์ที่เก็บรวบรวมไว้ บทความนั้นเขียนเกี่ยวกับข่าวเศร้าของตระกูลวรธนาเมื่อหลายปีก่อน นอกจากข่าวการเสียชีวิตของคุณหญิงธารา มารดาของภูผา และการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับพี่ชายของเขาแล้ว ยังมีเรื่องราวของ ‘คุณธิดา’ น้องสาวของคุณหญิงธารา ซึ่งเป็นป้าของภูผาด้วยบทความระบุว่า คุณธิดาเป็นคนรักและผูกพ
หลังจากคืนนั้นที่ฉันได้เห็นภูผาแสดงความรู้สึกอ่อนไหวถึงความทรงจำของน้องพีท ความสัมพันธ์ระหว่างเราดูเหมือนจะก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง เราเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องน้องไทม์หรือเรื่องงาน แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องราวทั่วไปที่ทำให้ฉันได้เรียนรู้ภูผาในมุมที่ลึกซึ้งขึ้นฉันยังคงสังเกตเห็นว่าภูผามักจะใช้เวลาอยู่กับน้องไทม์มากขึ้น เขาจะพาไปเล่นในสวน เล่านิทานให้ฟัง หรือแม้กระทั่งช่วยน้องไทม์ทำการบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อน้องไทม์เริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของภูผาที่ปรากฏขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังพาน้องไทม์ไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล ฉันเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าโรงเรียน เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคน แต่งกายสุภาพ ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มอบอุ่น แต่ดวงตาของเธอกลับฉายแววเศร้าสร้อยเล็กน้อย เธอจ้องมองมาที่น้องไทม์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความอาลัยฉันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่เธอกลับมองน้องไทม์ราวกับรู้จักกันมาก่อน ฉันไม่ได้คิดอะไรมากในตอนนั้น เพราะมีผู้ปกครองหลายคนมายืนรอส่งลูกที่หน้าโรงเรียนหลังจากส่งน้องไทม์เสร็จ
ความผูกพันที่ก่อร่างขึ้นทีละน้อยระหว่างฉัน ภูผา และน้องไทม์ ทำให้บรรยากาศในคฤหาสน์ดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ฉันเริ่มคุ้นชินกับการมีภูผาอยู่ข้าง ๆ ไม่ว่าจะในเวลาทานอาหารเช้า หรือช่วงเย็นที่เราสามคนใช้เวลาร่วมกันวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังพาน้องไทม์เดินเล่นในสวนของคฤหาสน์ น้องไทม์วิ่งไปเจอรถของเล่นคันเล็ก ๆ คันหนึ่งที่ดูเก่าและมีฝุ่นเกาะอยู่“แม่ครับ! รถของเล่นใครครับ” น้องไทม์ถามด้วยความตื่นเต้นฉันก้มลงมองรถของเล่นคันนั้น มันเป็นรถสปอร์ตคันเล็กสีแดงสด ดูเหมือนจะเป็นรถของเล่นที่ถูกเก็บไว้นานแล้ว“ไม่รู้สิลูก คงจะเป็นของเก่าของปะป๊ามั้ง” ฉันตอบพลางลูบผมลูกชายเบา ๆทันใดนั้น ภูผาก็เดินเข้ามาในสวน เขาคงจะเพิ่งกลับจากทำงานและลงมาเดินเล่น“ปะป๊า! รถของเล่นใครครับ” น้องไทม์วิ่งไปหาภูผาพร้อมกับชูรถของเล่นคันนั้นขึ้นมาภูผามองรถของเล่นในมือน้องไทม์ แววตาของเขาฉายแววบางอย่างที่ฉันไม่อาจเข้าใจ อาจจะเป็นความทรงจำ หรือความรู้สึกอื่น ๆ ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ลึก ๆ“รถของเล่นของปะป๊าเอง” ภูผาตอบเสียงแผ่ว “เป็นของที่ฉันเคยเล่นตอนเด็ก ๆ”“ปะป๊าเล่นด้วยกันไหมครับ” น้องไทม์ถามอย่างสดใสภูผายิ้มจาง ๆ
ความห่างเหินระหว่างฉันกับภูผาที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้บรรยากาศในคฤหาสน์ดูอบอุ่นขึ้นกว่าเดิมมาก ภูผาไม่ได้กลับบ้านดึกดื่นเหมือนเมื่อก่อน เขามักจะใช้เวลาช่วงเย็นอยู่กับน้องไทม์ และบางครั้งก็จะมีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เราสามคนอยู่ด้วยกันในห้องนั่งเล่นในวันหนึ่ง ฉันกลับมาจากทำงานที่ร้านกาแฟ เห็นภูผากำลังนั่งอ่านนิทานให้น้องไทม์ฟังอยู่บนโซฟา น้องไทม์นั่งตักเขาอย่างสบายใจ ดวงตากลมโตจ้องมองรูปภาพในหนังสืออย่างสนใจ เสียงทุ้มต่ำของภูผาที่เล่านิทานอย่างอ่อนโยน ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูกฉันยืนมองอยู่ห่าง ๆ ใบหน้าของภูผาที่ผ่อนคลายลง รอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏขึ้นมุมปากเวลาที่น้องไทม์หัวเราะ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขากำลังมีความสุขอย่างแท้จริงเมื่อนิทานจบลง น้องไทม์ก็โผเข้ากอดภูผาแน่น “ปะป๊าเก่งที่สุดเลยครับ!”ภูผาลูบหัวน้องไทม์เบา ๆ ก่อนจะหันมาเห็นฉันที่ยืนอยู่ เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้ฉัน“กลับมาแล้วเหรอ” เขาถามเสียงเรียบ“ค่ะ” ฉันตอบ พร้อมรอยยิ้มจาง ๆฉันเดินเข้าไปหาน้องไทม์ หอมแก้มลูกชายเบา ๆ “คนเก่งทำอะไรครับวันนี้”“ปะป๊าอ่านนิทานให้ฟังครับแม่” น้องไทม์ตอบอย่างร่าเริงค่ำคืนนั้น หลังอาหารเย็