หลังจากไปหาผู้เป็นแม่กับน้องสาว และได้พูดคุยกันเรียบร้อยแล้วเมษาก็เดินทางกลับมายังบ้านวณิชกาญจนโชติอีกครั้งตามคำสั่งของสาริกา
"เฮ้อ..สู้ ๆ เมย์" เธอพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาพร้อมกับบ่นพึมพำให้กำลังใจตัวเองครั้นรถมาจอดลงยังบ้านวณิชกาญจนโชติ ก่อนจะพาตัวลงจากรถเดินเข้าไปภายในบ้าน ทว่าเธอก็ต้องชะงักเท้าดังกึกเมื่อเดินมาถึงห้องโถงแล้วเจอเข้ากับเจ้านายที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ ยังมีสาริกานั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวดูเหมือนสถานการณ์ระหว่างแม่ลูกจะอึมครึมไม่น้อย เธออยากจะถอยหลังกลับแต่ก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้ทั้งสาริกา และเจ้านายต่างมองมายังเธอเป็นตาเดียวกัน แน่นอนว่าคนถูกจ้องอย่างเธอแทบอยากจะหายไปจากตรงนี้ ยิ่งได้เห็นสายตาของชายหนุ่มที่จับจ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อยิ่งรู้สึกตัวหลีบ ลมหายใจติด ๆ ขัด ๆ หัวใจกระหน่ำเต้นแทบจะทะลุออกมานอกอก อ่า..ให้ตายสิเธอไม่ชอบความรู้สึก และสถานการณ์แบบนี้เลยได้แต่วิงวอนในใจขอให้ใครก็ได้มาช่วยพาเธอออกไปจากตรงนี้ที "กลับมาแล้วเหรอหนูลียา" แต่เหมือนคำขอของเธอจะไม่เป็นผลเมื่อเสียงของสาริกาดังขึ้น "ค่ะคุณป้า" เธอทำได้แค่เก็บความรู้สึกมากมายเอาไว้ฝืนระบายยิ้มตอบเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับก้าวเดินไปหย่อนก้นนั่งบนโซฟาตัวที่ว่างอยู่ท่ามกลางสายตาดุดันของชายหนุ่ม ขณะที่สาริกาไม่ยอมพลาดโอกาสเล่นละครต่อหน้าบุตรชายทันทีโดยการให้เมษาเรียกตนเองว่าแม่จงใจตอกย้ำบุตรชาย "มาปงมาป้าอะไรกัน บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เรียกแม่เพราะอีกไม่นานหนูก็จะมาเป็นลูกสะใภ้แม่แล้ว" "ค่ะคุณแม่" ถึงแม้จะกระดากปาก และเกรงสายตาแสนดุดันของชายหนุ่มมากแค่ไหน เมษาก็จำใจต้องเล่นไปตามน้ำเอ่ยเรียกสาริกาว่าแม่เสียงอ่อนเสียงหวานพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างอาย ๆ "หึ" คนถูกมัดมือชกอย่างเจ้านายถึงกับเค้นหัวเราะออกมากับท่าทางที่หญิงสาวแสดง ทำไมเขาถึงได้มองว่าเธอมารยา และแสแสร้งแกล้งทำก็ไม่รู้มันดูน่าสมเพชมากกว่าน่ารักเสียอีก ไม่รู้ว่าแม่ของเขาใช้ตาไหนดูว่าผู้หญิงนี้ดีเพราะหากดีจริงเธอคงยอมยกเลิกสัญญาบ้าบอในวัยเด็กนั่นไปแล้วเมื่อรู้ว่าเขามีคนรัก หนำซ้ำเขายังประกาศไปชัดเจนว่าไม่ต้องการแต่งงานกับเธอ แทนที่เธอจะยอมล้มเลิกการหมั้นกลับหอบผ้าหอบผ่อนเข้ามาอยู่ในบ้านเขาหน้าตาเฉย แบบนี้หรือเรียกว่าผู้หญิงที่ดี "ถ้าแม่อยากได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้นักก็แต่งงานเองสิครับผมไม่แต่งเด็ดขาด ผมยืนยันไว้ตรงนี้เลยว่าผู้หญิงคนเดียวที่ผมจะแต่งงานด้วยคือส้มเท่านั้น" เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะประกาศเสียงกร้าว สายตาจ้องมองผู้หญิงน่าไม่อายเขม็งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจเธอเป็นอย่างมาก "แม่ก็ยังยืนยันคำเดิมเหมือนกันว่าคนเดียวที่แม่จะรับเป็นลูกสะใภ้คือหนูลียาเท่านั้น" สาริกาก็ไม่ยอมเช่นกันสวนกลับบุตรชายทันควัน "ผมผิดหวังในตัวแม่จริง ๆ ทำไมแม่ถึงได้ใจแคบแบบนี้" เจ้านายได้แต่ส่ายศีรษะไปมามองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยความผิดหวัง เขาผิดหวังมากจริง ๆ ไม่คิดเลยท่านจะใจแคบได้ถึงขนาดนี้ ก็แค่คนรักของเขาเคยแต่งงานมีครอบครัวมา แต่ทำไมท่านทำเหมือนกับว่าคนรักของเขาไปฆ่าใครตายอย่างนั้นถึงยอมรับไม่ได้ "อย่ามามองแม่ด้วยสายตาแบบนั้น แม่กำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับแกนะเจ้านาย" "ผมไม่ได้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด แต่ผมแค่ต้องการได้อยู่กับคนที่ผมรัก แม่เข้าใจไหมครับ" "ไม่รู้แหละยังไงลูกก็ต้องเลิกกับผู้หญิงคนนั้น แล้วมาแต่งงานกับหนูลียา" "ผมไม่แต่ง" "แกต้องแต่งกับหนูลียานี่เป็นคำสั่งจากแม่" "ผมโตแล้วผมควรมีสิทธิ์เลือก และตัดสินใจเองไม่ใช่ให้แม่มาคอยออกคำสั่ง" "ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยบังคับอะไรแกเลย แต่เรื่องนี้แม่ขอ" "ผมให้ไม่ได้ครับ" เจ้านายทะเลาะกับผู้เป็นแม่หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็เลือกจะเดินหนีขึ้นห้องเพราะต่อให้เขาพูดอะไรไปก็คงเปลี่ยนความคิดท่านไม่ได้มีแต่จะทะเละกันหนักกว่าเดิม ขณะที่เมษานั่นได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดเธอไม่แม้แต่จะกล้าหายใจแรง ๆ พอชายหนุ่มเดินหนีขึ้นห้องไปนั่นแหละเธอจึงได้หายใจคล่องขึ้นมาหน่อย "เห็นไหมเมษาเห็นไหมว่าลูกชายฉันมันดื้อแค่ไหน ฉันอยากจะบ้าตายกับเจ้าลูกคนนี้จริง ๆ" ทว่าไม่ทันถึงเสี้ยวนาทีเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสาริกาหันมาโวยวายใส่เธอเสียงดังลั่น หน้าพร้อมจะกินหัวเธอได้ทุกเมื่อราวกับว่าเธอเป็นคนผิดยังไงยังงั้น พอไปลงที่บุตรชายไม่ได้ก็เลยมาลงที่เธอแทนอย่างนั้นสินะ แล้วคนอย่างเธอมันก็ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้ด้วยสิทำได้แค่มองหน้าสาริกาตาปริบ ๆ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ค่ะ" "เธอนี่ก็ดีแต่พูดคำว่าค่ะอย่างเดียว" สาริกาที่อยู่ในอาการโมโหยิ่งพานหงุดหงิดเข้าไปใหญ่กับท่าทางของเด็กสาวที่ยืนทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือเป็นทุกข์ร้อนอะไรเลย บางทีเด็กสาวก็ซื่อบื้อเกินไปจริง ๆ เธอล่ะชักเหนื่อยใจ "จะไปไหนก็ไป ๆ" เลือกจะไล่ตะเพิดเด็กสาวให้ออกไปพ้นสายตาก่อนที่ตัวเองจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ เมษาพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายจากนั้นก็รีบเดินตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องพักของตัวเองเพราะเธอก็ไม่ได้อย่างอยู่ใกล้นางยักษ์อย่างสาริกาเท่าไรนัก "คุณ!" เมื่อเข้ามาในห้องเธอก็ต้องใจหล่นลงสู่ตาตุ่มอกสั่นขวัญหายด้วยความตกใจเพราะมีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่ปลายเตียงนั่นก็คือเจ้านาย คิ้วสวยขมวดเป็นปมด้วยความสงสัยพร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นในสมองว่าชายหนุ่มเข้ามาในห้องเธอได้ยังไงกัน แต่พอนึกอีกทีเธอไม่ได้ล็อคห้องก่อนออกไปก็ไม่แปลกที่เขาจะเข้ามาได้ หากจะแปลกก็แปลกตรงที่เขาเข้ามาในห้องเธอทำไมกัน สัญชาตญาณมันบอกว่าการปรากฏของเขาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ ดูจากสีหน้าบึ้งตึง และสายตาของเขาที่จ้องมองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อนั้นทำเอาเธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ลำคอแห้งผากจนต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก มือทั้งสองกำแน่นพยายามไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เขาเห็น ก่อนรวบรวมความกล้าเปล่งเสียงถามไป "คุณเข้ามาในห้องฉันมีอะไรรึเปล่าคะ" "กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำนะว่านี่เป็นห้องเธอ" เจ้านายเค้นหัวเราะในลำคอพลางสาดสายตาคมกริบมองร่างบางตรงหน้าอย่างเย้ยหยันนึกขันในความมั่นหน้าของเธอที่กล้าพูดได้อย่างไม่อายปากว่านี่เป็นห้องของตัวเองทั้งที่เป็นแค่ผู้อาศัยแท้ ๆ ขณะที่เมษาถึงกับสะอึกกับคำพูดทิ่มแทงของฝ่ายตรงข้าม แต่กระนั้นก็ยังพยายามปั้นหน้ายิ้มออกมาทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ค่ะ ก็อีกไม่นานฉันจะมาเป็นส่วนหนึ่งของคนในบ้านหลังนี้แล้วนิคะ" "เธอฝันอยู่เหรอ ที่ฉันมาหาเธอเพราะต้องการคุยให้รู้เรื่อง" เจ้านายไม่คิดจะตอบกลับให้เสียเวลาอีกแม้จะรู้สึกไม่พอใจมากก็ตามเลือกจะพูดจุดประสงค์ที่เข้ามาหาหญิงสาวในห้องแทนเพราะต้องการให้เรื่องบ้า ๆ นี่จบลงสักที "ฉันมีคนรักอยู่แล้ว และเรามีแพลนจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอเลิกคิดเลิกหวังว่าฉันจะยอมแต่งงานกับเธอตามที่ผู้ใหญ่สั่ง ฉันขอประกาศไว้ตรงนี้เลยว่าฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับเธอเด็ดขาด เพราะฉะนั้นเธอควรเก็บข้าวของออกไปจากบ้านฉันซะ" "ขอโทษนะคะ ฉันคงทำตามที่คุณบอกไม่ได้เพราะเรื่องนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคุยทุกอย่างกันไว้เรียบร้อยแล้ว" เมษาต้องฝืนกลืนเลือดลงคอเอ่ยประโยคที่เธอไม่ได้อยากจะเอ่ยออกไป พูดโกหกคำโตยกพวกผู้ใหญ่มาอ้างทั้งที่ไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำเพื่อหาข้ออ้างให้กับตัวเอง "ฉันว่ามันอยู่ที่ตัวเธอมากกว่า ถ้าเธอยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่ยอมพวกผู้ใหญ่ก็มาบังคับไม่ได้หรอก" เจ้านายเค้นหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยันกับคำพูดที่ฟังดูสวยของหญิงสาว แต่เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของเธอสักนิด เขาคงไม่ผิดหากจะคิดว่าหญิงสาวอยากแต่งงานกับเขาถึงได้ยอมให้ผู้ใหญ่จูงจมูกง่าย ๆ เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะย่างสามขุมเข้าหาร่างบางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพลางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน สายตาจ้องมองดวงหน้าเรียวเขม็ง "ไม่ใช่ว่าเธออยากแต่งงานกับฉันจนตัวสั่นเหรอ ถึงได้ยอมหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่บ้านหลังนี้ทั้งที่รู้เต็มอกว่าฉันมีคนรักอยู่แล้ว" "..." เมษาได้แต่เม้มปากแน่นเพราะคิดคำเถียงไม่ออกหากจะปฏิเสธไปมันก็ดูสวนทางกับการกระทำดั่งที่ชายหนุ่มกล่าวมาว่าถ้าเธอไม่ได้อยากแต่งงานกับเขาทำไมถึงยังดื้อด้านอยู่ตรงนี้ถึงแม้ว้าเธอจะไม่ใช่ลียาตัวจริงก็ตาม ด้วยคำว่างานทำให้เธอไม่สามารถตอบ หรือทำอะไรได้ตามใจชอบ เท้าเล็กค่อย ๆ ขยับถอยหลังช้า ๆ ครั้นอีกคนย่างสามขุมเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ สายตาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความหวาดระแวงนึกกลัวว่าเขาจะทำอะไรแพลง ๆ ถึงได้เดินดุ่ม ๆ มาหาเธอแบบนี้ หัวใจดวงน้อยพลันหล่นวูบลงสู่ตาตุ่มอีกครั้งวินาทีที่แผ่นหลังชนเข้ากับผนังแข็ง ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอไม่สามารถถอยได้อีก ขณะที่อีกคนก็ยังเดินดุ่ม ๆ เข้าหาเธอโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักนิด และตอนนี้เขาก็มายืนประจันหน้ากับเธอเรียบร้อยแล้ว ระยะห่างระหว่างเธอกับเขาเหลือไม่ถึงช่วงแขนจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวของเขาลอยมาแตะจมูก หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอกระหน่ำเต้นอย่างแรงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอใกล้ชิดผู้ชายขนาดนี้ ไหนจะความรู้สึกอื่น ๆ ที่แทรกซึมเข้ามาทั้งรู้สึกกังวล กลัว ระแวงมันผสมปนเปกันมั่วไปหมด หากอยู่ในสการณ์นี้ต่อไปมีหวังเธอได้เผลอแสดงพิรุธออกไปแน่ เสี้ยวนาทีนั้นจึงตัดสินใจพาตัวถอยออกทางด้านข้างหวังออกห่างร่างสูงที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า "อ๊ะ!" ทว่าขยับเท้าได้นิดเดียวเท่านั้นเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือก ร่างกายพลันแข็งทื่อราวกับถูกสาปเมื่ออีกคนใช้มือทั้งสองยันบนผนังดังปึกกักขังเธอไว้ในวงแขนไม่ให้หนีไปไหนได้ ลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ก่อนค่อย ๆ แหงนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พยายามข่มใจให้นิ่งเปล่งเสียงถามออกไป ขณะที่มือก็ยกขึ้นดันอกแกร่งแล้วออกแรงผลัก "คุณต้องการอะไร" "ต้องการให้เธอออกไปจากบ้านฉัน ออกไปจากชีวิตของฉันไง" เจ้านายก้มลงมองสบสายตาของคนตัวเล็กที่ความสูงอยู่แค่ไหล่ของเขาด้วยแววตาดุดัน เมษาก็จ้องตาเขากลับแม้ในใจหวาดหวั่นไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยประโยคที่เธอไม่อยากเอ่ยออกไปด้วยความจำใจ "ฉันคงทำตามความต้องการของคุณไม่ได้ ยังไงเราสองคนก็ต้องแต่งงานกัน ฉันว่าทางที่ดีคุณไปเลิกกับแฟนของคุณแล้วมาแต่งงานกับฉันดีกว่าไหมคะ เรื่องมันจะได้จบ ๆ" "เธอนี่มันดื้อด้านจนเกินเยียวยาจริง ๆ อยากอยู่บ้านนี้ก็อยู่ไป แต่อย่าหวังว่าจะได้แต่งงานกับฉัน และอย่าคิดทำอะไรที่ทำให้คนรักของฉันเข้าใจผิดเพราะไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการกับเธอแน่นอน" เจ้านายหมดคำจะพูดกับผู้หญิงตรงหน้าแล้วจริง ๆ ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างสมเพช ก่อนจะพูดขู่ทิ้งท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป เขาไม่ได้อยากใกล้ชิดผู้หญิงอย่างลียาเท่าไรนัก "เฮ้อ.." เมษาถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งออกครั้นอีกคนจากไป นึกว่าจะโดนเขาเขมือบหัวเอาเสียแล้ว เธอเดินไปล็อกประตูด้วยความเร็ว กลัวว่าอีกคนจะย้อนกลับมา จากนั้นก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาปลายเตียง ยกมือขึ้นกายหน้าผากอย่างคิดไม่ตก ชายหนุ่มขู่ฝ่อมาขนาดนั้นแล้วเธอจะกล้าทำอะไรกัน แต่หากไม่ทำอะไรสักอย่างงานก็คงไม่จบง่าย ๆ เธออยากจะบ้าตายจริง ๆ ทำไมต้องมาพบเจอเรื่องน่าปวดหัวแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้..“อ๊ะ!” เมษาหลับตาพริ้มเมื่อแก่นกายหนาค่อย ๆ สอดใส่ผ่านปากทางรัก ฝากฝังความเป็นชายของเขาเข้ามาถึงครึ่งลำอย่างรวดเร็วจากหยาดน้ำหวานเปียกชื้นที่ทำหน้าที่แทนสารหล่อลื่นลำกายหนาชำแรกผ่านม่านความเจ็บปวดที่ตอดรัดเขาอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่กี่วินาทีขนาดอันใหญ่โตก็ถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นจากร่างกายของหญิงสาวที่ตอนนี้ตัวสั่นเกร็งอย่างห้ามไม่อยู่“ฮึก..” เมษากัดริมฝีปาก ใบหน้าหวานเชิดขึ้นสูงเมื่อคนตัวโตทิ้งน้ำหนักลงจนร่างกายเบียดแนบกันไร้ช่องว่าง“เจ็บไหมคะ?” เจ้านายกระซิบถามเสียงต่ำขณะโน้มตัวลงจูบซับไปตามใบหน้าเรียว“เจ็บนิดหน่อยค่ะ..แต่ทนไหว” หญิงสาวตอบเสียงอ้อนอาจเป็นเพราะห่างหายมานาน และขนาดที่ใหญ่โตของชายหนุ่มเลยทำให้รู้สึกเจ็บน้อย ๆ ทว่าแม้จะเจ็บแต่เธอก็ไม่อยากให้เขาแยกจากเลยแม้แต่วินาทีเดียว สองมือเรียวจิกผ้าปูที่นอนระบายความเจ็บที่เคล้าระคนไปกับความเสียวซ่านจนแทบจะแยกไม่ออก เสียงลมหายใจหนัก ๆ ที่ข้างใบหูทำให้เลือดในกายของเธอสูบฉีด ในที่สุดเธอก็ปรับตัวได้ “พี่จะขยับแล้วนะ” เจ้านายกระซิบ สอดผสานฝ่ามือของเขาและเธอเข้าด้วยกัน กดลงที่เหนือศีรษะเล็กแล้วเริ่มขยับ ในจังหวะแรกเนิบนาบและมั่นคง
@โรงแรมภายในห้องทรงสี่เหลี่ยมที่ถูกเปิดไฟดาวน์ไลท์หน้าห้องน้ำเอาไว้ ให้ความสว่างเพียงสลัว ๆ เท่านั้น กลิ่นอโรม่าลอยจาง ๆ ในอากาศทำให้บรรยากาศโรแมนติกไม่น้อย เดินมาถึงห้องนอนเมษาก็อดหัวใจเต้นแรงไม่ได้เมื่อเห็นบนเตียงนอนสีขาวที่โรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงเป็นรูปหัวใจตรงกลางถูกโรยเป็นตัวอักษรคำว่า 'พี่นายรักน้องเมย์'ตรงปลายเตียงมีผ้าขนหนูที่ถูกทำเป็นรูปหงส์สองตัวหันหน้าเข้าหากันมันเหมือนเตียงสำหรับคู่บ่าวสาวชัด ๆ สมองพานก่อเกิดภาพแสนลามกขึ้นมา"ชอบไหมครับ" เธอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกคนตัวโตสอดแขนเข้ามาโอบกอดเอวคอดจากด้านหลังพร้อมกับน้ำเสียงสุดเซ็กซี่ที่ดังชิดกกหูตามมาด้วยลมหายใจร้อนผะผ่าวทำขนกายเธอลุกซู่ ในท้องรู้สึกปั่นป่วนแปลก ๆ"ชอบค่ะ เหมือนเตียงในเรือนหอบ่าวสาวเลย" ใบหน้าเรียวที่เคลือบด้วยรอยยิ้มแสนหวานเอียงขึ้นมองสบสายตาร่างสูงด้านหลัง"งั้นเรามาเข้าหอกันไหมครับ" ได้ทีเจ้านายก็ชวนทำเรื่องอย่างว่าทั้งที่สัญญาดิบดีว่าแค่นอนกอดเฉย ๆ เอาจริง ๆ ที่พูดแบบนั้นเขาก็แค่หลอล่อคนตัวเล็กเขาของขาดมาตั้งไม่รู้กี่เดือนจะให้ทนไหวได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าเมษาเองรู้ทันคนตัวโตอย่างที่รู้ ๆ กันดีทั้งเธอแล
หลังจากคืนดีกันสิ่งแรกที่เจ้านายทำคือพาหญิงสาวไปเดท เขาเลือกร้านอาหารที่เป็นร้านโปรดของเธอ เขาอยากให้เธอประทับใจที่สุดกับการกลับมาเริ่มต้นใหม่เพราะที่ผ่านมาการเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไม่ดีเท่าไรนัก ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าไม่ดีมาก ๆ..แต่นี่สินะที่คนโบร่ำโบราณกล่าวไว้ว่าเกลียดสิ่งไหนมักได้สิ่งนั้นวันนี้เขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่ารักผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสุดหัวใจ รักแบบไม่คิดว่าจะรักได้มากขนาดนี้"อย่ามองแบบนี้สิคะ เมย์เขินนะ" เมษาที่ถูกชายหนุ่มจ้องมองแทบจะกลืนกินถึงกับหน้าแดงระเรื่อออกอาการเขินจนเก็บไม่อยู่ บ่อยครั้งที่ถูกเขามองด้วยสายตาแบบนี้แต่อย่างที่บอกว่าเธอก็ไม่เคยต้านทานมันได้สักทียิ่งหลังจากกลับมาคืนดีกันเขาก็ใช้สายตาแบบนี้แทบทุกวันแทบทุกเวลาที่อยู่ด้วยกัน แค่นั้นไม่พอเขายังติดสกินชิพเธอชนิดที่ว่าเหมือนกาวตราช้างก็ไม่ปราน วันแรกที่ตกลงคืนดีกันเขาก็ไปแสดงตัวว่าเป็นแฟนเธอที่มหาวิทยาลัยโดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมห้องที่แอบชอบเธอกะว่าจะไม่ให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้เธอเลยสิ แต่บอกตามตรงว่าแทนที่จะไม่พอใจเธอกับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขาแสดงความหึงหวงออกมา และกล้าจะเป
วันต่อมา.."อรุณสวัสดิ์ครับน้องเมย์"เสียงทักทายดังขึ้นเหนือศีรษะทำเมษาที่กำลังลืมตาตื่นถึงกับตาเบิกโพลงอาการง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เธอดีดตัวลุกขี้นนั่งอัตโนมัติเมื่อเงยขึ้นเห็นคนตัวโตนั่งพิงหัวเตียง และกำลังจับจ้องมาที่เธอ สองคิ้วสวยขมวดมุ่นจำได้ว่าเมื่อคืนเธอนั่งทำรายงานจนดึกจึงเข้านอน โดยตอนที่เธอเข้านอนชายหนุ่มยังฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะ แต่ไหง่เช้านี้ตื่นมาเขาถึงอยู่บนเตียงได้ แล้วเขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร"คุณขึ้นมาบนเตียงตั้งแต่เมื่อไร" ไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยเปล่งเสียงถามตรง ๆ "ราวตีสองได้แล้วครับ นอนตรงนั้นแล้วปวดเมื่อยไปทั้งตัวพี่เลยมานอนบนเตียง" เจ้านายเอ่ยเสียงอ่อนพลางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้หญิงสาวด้วยกลัวว่าเธอจะโกรธ ที่เขาพูดไปไม่ใช่คำแก้ตัว แต่รู้สึกปวดหลังปวดขาจริง ๆ จึงมานอนที่เตียงกับเธออย่างถือวิสาสะใบหน้าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากลัวเธอโกรธ ทว่าเมษากลับแอบอมยิ้ม ในสายตาเขาเธอดุมากเลยหรือถึงให้ออกอาการขนาดนี้ เจ้านายคนใจร้ายหายไปไหนเสียแล้ว เธออยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้"ฉันเข้าใจ คนแก่ก็แบบนี้แหละปวดหลังปวดนู่นปวดนี่ป็นธรรมดาจะไม่ถือโทษแล้วกัน" เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ซี๊ดด.."เจ้านายซูดปากออกมาเบา ๆ ในตอนที่กำลังหยัดกายลุกขึ้นยืน มือกอบกุมหน้าท้องแกร่งเอาไว้ ใบหน้าเหยเกคล้ายคนกำลังเจ็บปวด เมษาเห็นก็อดสงสัยไม่ได้ "คุณเป็นอะไร""พี่รู้สึกปวดท้องนิดหน่อยครับ"พอฟังคำตอบเธอก็เดาได้ทันทีว่าที่ชายหนุ่มปวดท้องน่าจะเพราะทานอาหารที่เธอทำมากเกินไป สิ่งที่แอบกังวลก็เป็นจริงถึงเธอจะตั้งใจแกล้ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้เขาถึงขั้นเจ็บตัว"ไปหาหมอไหม" ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทว่าคนตัวโตกลับส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับเดินกอบกุมท้องออกไปยังห้องโถงเดินมาหย่อนก้นนั่งที่โซฟาโดยมีเมษาเดินตามมาติด ๆ ด้วยรู้สึกเป็นห่วงต่อให้เขาบอกว่าปวดท้องนิดหน่อยก็ตาม"แน่ใจจริง ๆ นะว่าจะไม่ไปหาหมอ" เดินเข้าไปหย่อนก้นนั่งข้าง ๆ แล้วถามย้ำอีกครั้ง "ฉันว่าไปหาหมอดีกว่า"ใบหน้าเรียวและดวงตากลมแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างปิดไม่มิดเจ้านายเห็นก็แอบหัวใจพองโตถือว่าที่เขาทนทานอาหารรสชาติแย่จนเกลี้ยงไม่เสียเปล่าอย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าหญิงสาวยังมีความรู้สึกต่อเขาไม่มากก็น้อยไม่อย่างนั้นคงไม่มีท่าทีเป็นห่วงแบบนี้"แน่ใจครับ ไม่ได้เจ็บมากเดี๋ยวก็คงหายไปเอง" เขาระบายยิ้มออกมาบาง ๆ สายตาจ้องมองใ
เจ้านายเดินไปหย่อนก้นนั่งที่โซฟาในห้องโถง ขณะที่เมษาเดินขึ้นไปยังห้องนอนเพื่อเอาของไว้ แล้วลงมายังชั้นล่างอีกครั้ง"ฉันจะไปทำกับข้าว คุณนั่งรอก่อน" บอกกล่าวกับร่างสูงที่นั่งบนโซฟาแล้วเดินเข้าไปในครัว แต่เมื่อมาถึงเธอกลับบอกให้แม่บ้านทำเมนูต่างให้ สวนปรุงรสเธอจะเป็นคนปรุงเองสั่งเสร็จก็นั่งบนเก้าอี้แถวนั้นรอแม่บ้านทำอาหาร แม่บ้านห้าคนเร่งทำเมนูอาหารที่หญิงสาวสั่งพัลวัน ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีก็เสร็จเหลือเพียงให้คนเป็นเจ้านายมาปรุงรส"มาปรุงรสได้เลยค่ะคุณหนู" แม่บ้านคนหนึ่งบอกกล่าว เมษาจึงลุกเดินไปยื่นหน้าเตาที่วางเรียงกันสี่อัน ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขวดน้ำส้มสายชูมาบีบใส่ผัดผักรวมในกระทะ ตามด้วยหม้อแกงอีกสามหม้อ จากนั้นก็หยิบขวดเกลือมาเปิดฝาเหยาะใส่ต่อสร้างความงุนงงให้เหล่าแม่บ้านที่ยืนมองอยู่ด้านหลังไม่น้อย ต่างพากันมองหน้าไปมาเพราะจะทักท้วงก็ไม่กล้าเมษยกยิ้มร้ายมุมปากพลางไล่สายตามองกับข้าวบนเตา เธอใช้แค่น้ำส้มสายชูกับเกลือปรุงรสด้วยนึกหมั่นไส้คนตัวโตจึงอยากแกล้งเขา ดูสิยังจะบอกว่าได้ทานข้าวกับคนที่รักอร่อยอยู่ไหม"เสร็จแล้วจัดโต๊ะได้เลยนะคะ แล้วก็ทอดไข่เจียวให้เมย์สักสองฟองด้วยนะคะ" เธอ