เสียงฟ้าคำรามกึกก้องไปทั่วเมืองหลวง เยว่ชิงที่นอนอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝันที่น่าหวาดกลัว
นางจับที่หน้าอกของตนเอง เนื้อตัวของนางยังสั่นเทาไม่หยุด นางมองไปรอบๆ ห้อง ก็พบว่าตอนนี้นางอยู่ที่เตียงนอนในเรือนของนาง ที่จวนตระกูลหลิว
“ข้าย้อนกลับมารึ” นางไม่รู้ว่าสิ่งใดคือเรื่องจริงกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่น หรือว่านางในตอนนี้ได้ย้อนกลับมาก่อนที่จะแต่งเข้าจวนตระกูลกงกันแน่
ฝนด้านนอกกำลังตกหลัก อากาศก็เริ่มที่จะเย็นขึ้น แต่ตัวของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อที่ราวกับว่านางเพิ่งจะขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ
เยว่ชิงหยิกที่แขนของตนเอง เพื่อทดสอบว่านางกำลังฝันไปหรือไม่ ก็พบว่านางเจ็บจนต้องร้องออกมาเบาๆ
“คุณหนู ท่านตื่นเพราะเสียงฟ้าร้องหรือเจ้าคะ” อาอิงที่นอนอยู่หน้าห้องเดินเข้ามาดูเยว่ชิงด้านในห้อง
“อาอิง” นางเอ่ยเรียกสาวใช้เสียงสั่น พร้อมทั้งอ้าแขนออกสวมกอดนางไว้แน่น
ในจวนตระกูลกง มีเพียงอาอิงที่นางปรับทุกข์ได้ตลอดสองปีที่ใช้ชีวิตที่นั่น บ่าวคนอื่นไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่ไม่มีผู้ใดที่กล้าเอ่ยคุยเล่นกับนาง
คงเป็นเพราะนางต้องจัดการเรื่องภายในจวนที่ยุ่งเหยิงก่อนหน้าที่นางจะเข้าไป หนี้สินที่พอกพูนไว้จนต้องใช้สินเดิมจ่ายแทน
ไหนจะเรื่องอาการเจ็บป่วยของแม่สามีที่เล่นละครหลอกลวงนางถึงสองปี ทำให้นางที่เคยยิ้มแย้มกลายเป็นเงียบขรึมแทน
แม้อาอิงจะเอ่ยขอร้องให้นางนำเรื่องไปปรึกษาท่านพ่อ แต่นางไม่คิดที่จะทำ เพราะการแต่งเข้าตระกูลกงมาแล้ว ย่อมต้องเป็นคนของตระกูลกง เรื่องไม่ดีภายในจวนนางที่เป็นฮูหยินคงไม่ดี หากจะนำเรื่องเช่นนี้ออกไปพูด
ทุกสิ่งจำต้องเก็บฝังลึกไว้กับตัว แล้วช่วยส่งเสริมหน้าที่การงานของสามี ทุกครั้งที่กลับบ้านเดิม กงหลี่เฉียงจะขอร้องให้นางช่วยพูดเรื่องดีๆ ของเขา เพื่อให้บิดาเห็นใจ และช่วยเหลือเรื่องงานของเขา
“คุณหนู ท่านกลัวรึเจ้าคะ ให้บ่าวนอนเป็นเพื่อนดีหรือไม่” อาอิงตกใจไม่น้อยที่ถูกคุณหนูสวมกอดแน่นเช่นนี้
“ไม่ต้องเจ้าไปพักเถิด ข้ามิเป็นอันใดแล้ว”
เมื่อเห็นว่าคุณหนูไม่เป็นอะไรจริงๆ นางจึงช่วยห่มผ้าให้ ก่อนที่จะเดินออกไปพักที่ที่นอนของนาง
เยว่ชิงลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง นางทบทวนเรื่องราวเมื่อชาติที่แล้ว นางยังจำได้ดี ครั้งแรกที่พบกงหลี่เฉียงในวังหลวง ตอนนั้นนางเพียงห้าหนาวเท่านั้น นางติดตามบิดาเข้าไปในวัง ระหว่างที่เดินเล่นนางเกือบจะตกน้ำ แต่ได้หลี่เฉียงที่ติดตามบิดาของเขามาเช่นกันช่วยไว้ได้ทัน
หลังจากวันนั้น ทั้งคู่ก็พบเจอกันตามงานเลี้ยงน้ำชา และเขาก็มาเที่ยวเล่นที่จวนของนางพร้อมกับบิดาผู้เป็นสหายของบิดานางหลายหน ทำให้ทั้งสองยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น
ไม่ว่านางสนใจเรื่องใด หรือต้องการสิ่งใด หลี่เฉียงมักจะตามใจนางเสียทุกครั้งไป มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางยอมยกใจให้กับเขาไปทั้งหมด
เพราะเขาได้ช่วยชีวิตนางไว้ จากพวกเหล่าอันธพาลที่หมายจะเข้ามารังแกนาง ในยามนั้นตัวเขาสู้คนกลุ่มมากไม่ไหว แต่ก็ปกป้องนางไว้อย่างเต็มที่ ก่อนที่บ่าวจะตามมาพบพวกนางและไล่พวกอันธพาลไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เยว่ชิงก็หัวเราะตนเองขึ้นมา เพียงแค่นี้ก็ปักใจรักมั่น ในตัวหลี่เฉียงเสียแล้ว
ตลอดทั้งคืนนางมิอาจหลับตาลงได้อีก เพราะกลัวว่าหากนางตื่นขึ้นมาจะพบว่าตนเองกลับไปอยู่ที่จวนตระกูลกง
รุ่งเช้าอาอิงเดินเข้ามาปลุกเยว่ชิงเช่นทุกวัน แต่เมื่อเข้ามาด้านในห้องก็ต้องตกใจ เพราะเยว่ชิงนางยังนั่งกอดเข่าอยู่บนที่นอน
“คุณหนู ตื่นนานแล้วรึเจ้าคะ เหตุใดไม่เรียกบ่าว” นางรีบร้อนเดินเข้าไปจัดเตรียมของให้เยว่ชิงทันที
เพราะคุณหนูของนางเป็นคนเจ้าระเบียบ ทั้งยังเรื่องข้าวของเครื่องใช้ เวลาของแต่ละวัน ล้วนแต่เข้มงวดยิ่งนัก
“ไม่ต้องรีบร้อน” คำพูดของเยว่ชิงทำให้อาอิงหันมามองอย่างตกใจ
นางรีบเดินเข้ามาคลำที่ตัวของเยว่ชิง ด้วยกลัวว่านางจะไม่สบาย
“คุณหนูท่านเจ็บป่วยตรงไหนหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ ข้ามิเป็นอันใด ท่านพ่อเล่า” นางส่ายหัวพร้อมกับอมยิ้มมองสาวใช้ของนาง
เยว่ชิงก็พอจะรู้ ท่าทีของนางเช่นนี้คงทำให้อาอิงตกใจไม่น้อย แต่นางคงไม่คิดจะกลับไปทำตัวเข้มงวดกับทุกสิ่ง เช่นชีวิตก่อนอีกแล้ว
“นายท่าน ยังมิได้ออกไปที่วังหลวงเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าคงจะลางาน”
“เพราะอันใด” บิดาของนางแทบจะไม่เคยลางานเลยสักครั้ง หากไม่มีเรื่องร้ายแรง
“โถ่คุณหนู ท่านลืมได้อย่างไรเจ้าค่ะ วันนี้ตระกูลกงจะเข้ามาคุยเรื่องงานหมั้นหมายของท่านเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” เยว่ชิงกระโดดลุกขึ้นจากเตียงทันที แม้แต่ท่าทีของสตรีที่พึงต้องทำ นางก็หลงลืมไปสิ้น
“ว้าย คุณหนูท่านเป็นอันใดหรือไม่ ท่านทำข้าตกใจหมดเลยเจ้าค่ะ”
“ไป ไปเตรียมน้ำให้ข้าเร็วเข้า” เยว่ชิงตัวสั่นสะท้านออกมา นางจะไม่ชอบให้การแลกเทียบชะตาสำเร็จได้ย่างแน่นอน
“เจ้าค่ะ บ่าวรู้แล้ว ท่านมิต้องดีใจถึงเพียงนี้ก็ได้” อาอิงยิ้มหวานหยอกล้อคุณหนูของนาง ก่อนจะเดินไปจัดการเตรียมน้ำให้เยว่ชิง
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย นางรีบเร่งฝีเท้าไปที่เรือนหลัก เพื่อพูดคุยกับบิดา
“ชิงเออร์ เจ้ามาแล้ว” บิดาเอ่ยเรียกนางอย่างยินดี
ตั้งแต่ที่นางสูญเสียมารดาตั้งแต่เล็ก ก็มีเพียงบิดาที่เลี้ยงดูนางมาอย่างดี และเขาก็ไม่คิดจะแต่งงานใหม่ เมื่อกงหลี่เฉียงรับปากเรื่องจะไม่รับอนุเข้าจวน บิดาของนางจึงยินยอมให้เขาแต่งงานกับนาง
“ท่านพ่อ” เยว่ชิงเอ่ยเรียกบิดาเสียงสั่น ก่อนจะวิ่งเข้าไปสวมกอดเขาไว้แน่น
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เขาก้มมองบุตรสาวที่สะอื้นไห้เสียงเบาอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ลูกมีเรื่องที่ต้องบอกกล่าวท่านพ่อเจ้าค่ะ” เมื่อเป็นเช่นนั้น หมอหลิวจึงสั่งให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงถอยออกไป
“วันนี้ เป็นวันดีของเจ้า เหตุใดถึงได้ร่ำไห้เช่นนี้” หมอหลิวปาดน้ำตาออกจากใบหน้าให้บุตรสาวอย่างแผ่วเบา
เยว่ชิงเห็นแววตาของท่านพ่อที่ยังห่วงใยนางเช่นเดิม น้ำตาที่แห้งไปก็พานจะไหลออกมาอีกครั้ง
“ข้าไม่ต้องการจะแต่งเข้าจวนตระกูลกงแล้วเจ้าค่ะ” นางเงยหน้ามองบิดาอย่างมุ่งมั่น
“เพราะเหตุใด” หมอหลิวขมวดคิ้วมองบุตรสาว
เสิ้นเจิ้งซี เขาน่าจะหายดีแล้ว แต่กลับบาดเจ็บจนนอนซมเช่นเขา เพียงเท่านี้เว่ยอ๋องก็รู้แล้วว่าสหายของตนคิดเช่นใดกับแม่นางน้อยที่เพิ่งเจอเพราะเรื่องของเยว่ชิงทำให้ซูหนี่นางตกกระไดพลอยโจร ติดตามเว่ยอ๋องและเสิ้นเจิ้งซีเข้าเมืองหลวง หลังจากที่นางรู้ว่าทั้งสองมาสืบเรื่องชนเผ่านอกด่านก็ไม่คิดไล่พวกเขาอีกหลังจากที่เดินทางกลับมาพร้อมพวกเขาทั้งสอง นางได้ติดตามไปหาเยว่ชิงที่อยู่เมืองเจียงซาน จนภายหลังนางได้มาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหมอหลิว ซูหนี่นางมาอยู่ที่โรงหมอฮุ่ยซิว ตรวจคนไข้แทนเยว่ชิงที่กำลังตั้งครรภ์นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเจิ้งซีคิดเช่นใดกับนาง เพียงแต่นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น สำหรับผู้อื่นถือว่าออกเรือนช้า แต่สำหรับนางคิดว่าเร็วไปด้วยซ้ำแต่เมื่อถูกเยว่ชิงนางช่วยพูดให้เสิ่นเจิ้งซีทุกคน จิตใจของนางก็เริ่มสั่นคลอน“หนี่เออร์ เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปประจำการที่เมืองเหอตงแล้วหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามซูหนี่เมื่อนางมาเล่นกับหลานชาย“ไม่เจ้าค่ะ” ซูหนี่นางตกใจไม่น้อย เพราะว่านางไม่ได้พบเสิ่นเจิ้งซีมาหลายวันแล้ว“เห็นว่าจะออกเดินทางเร็วๆ นี้” เยว่ชิงลอบสังเกตอาการของซ
“ดูท่าแล้วสหายของเจ้าคงจะตายในไม่ช้า” นางเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากอกของเขาไม่น้อย ทั้งยังลูกธนูที่ฝังอยู่ในอกของเขาด้วย“แม่นาง เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยกับนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“ข้าเป็นหมอ ยังจะต้องไปตามผู้ใดอีก หากไม่อยากให้สหายของเจ้าตายก็เอาดาบออกไปจากคอข้าเสีย” นางไม่รู้ว่าพวกเขาใช่คนร้ายหรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตัวนางมิอาจสู้พวกเขาได้“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับข้า” เขาเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ท่านี้กับข้าทั้งคืนก็ได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อน” นางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นหากเขาจะฆ่านางคงไม่ต่อปากต่อคำกับนางนานเพียงนี้บุรุษด้านหลังของซูหนี่วางดาบลง แล้วเข้าไปดูสหายของเขาทันทีซูหนี่ยืนกอดอกมองอย่างใจเย็น เขาหันมาทางนาง พร้อมทั้งขอร้องให้ช่วย“เจ้าก็พาเขาเข้าไปในเรือนของข้าสิ หรือต้องให้ข้าเข้าไปช่วยอุ้มด้วยอีกคน” นางเลิกคิ้วถามอย่างยียวน เมื่อครู่เอาดาบจ่อคอนางได้ ก็คงจะมีแรงเหลือแบกเพื่อเข้าไปด้านในเมื่อเห็นว่านางคงไม่ช่วย บุรุษผู้นั้นก็แบกร่างของสหายเข้าไปด้านในเรือน ซูหนี่นางจึงเดินตามเขาไป เพื่อช่วยดูอาการของเขา“ถอดเสื้อของเขาออก แล้วเจ้
ซูหนี่นำออกมาอีกครั้ง แต่นางไม่ยื่นไปต่อหน้าเขา เปิดออกให้ดูบนมือของนางแทน โสมหัวใหญ่ถูกเปิดออกให้ดูเพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้หลงจู๊ตกตะลึงได้แล้ว“เชิญพวกเจ้าเข้าไปรอในห้องรับรองก่อน ข้าจะไปตามท่านหมอมาประเมินราคาให้” หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้พาทั้งสามเข้าไปนั่งรอให้ห้องรับรอง“ท่านป้า พี่หลาง อีกครู่พวกท่านเพียงนั่งนิ่งๆ ก็พอเจ้าค่ะ ข้าจะต่อรองเรื่องราคาเอง อย่าได้แสดงสีหน้าอันใดออกมาเด็ดขาด หากพวกท่านไม่อยากได้ราคาที่น้อยลง” ทั้งสองรีบพยักหน้ารับอบย่างเชื่อฟังป้าชงอดมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาไม่ได้ นางใจกล้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ต่อรองกับหลงจู๊นางไม่มีท่าทางที่ตื่นกลัวเลยสักนิดทั้งสามนั่งรอเพียงไม่นาน หลงจู๊ก็เดินนำท่านหมอเข้ามาด้านใน“ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย” เขาร้องถามอย่างตื่นเต้น หากหลงจู๊ไม่ได้มองผิดไปโสมหัวใหญ่เพียงนั้นย่อมมีราคาไม่น้อยกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ครั้งนี้ซูหนี่นางไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด นางนำโสมขึ้นมาวางตรงหน้าของท่านหมอ เมื่อเขาได้เห็นก็อุทานออกมาทันที“สวรรค์ โสมพันปี เจ้า เจ้าไปเจอได้อย่างไร”“ท่านจะรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางไม่เอ่ยตอบเพราะไม่อยากเ
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บิดาของซูหนี่ได้เข้าขวางกลุ่มชนเผ่านอกด่านไว้ เพื่อให้ทุกคนได้หลบหนี แต่มารดาของนางไม่ยอมทิ้งบิดาแล้วหนีไปเพียงลำพังจึงได้จบชีวิตลงไปด้วยอีกคน“ท่านป้าข้ามีอะไรจะให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูหนี่ส่งห่อผ้าที่นางนำมาด้วยให้ป้าชง“สวรรค์ ของดีเช่นนี้ เจ้ามิเก็บไว้เอง” นางร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าด้านในคือสิ่งใด“ข้ามีสองหัวเจ้าค่ะ แบ่งให้ท่านหนึ่งหัว เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” ซูหนี่นางจึงเล่าเรื่องว่านางพบโสมได้อย่างไรให้ป้าชงฟัง“เด็กดี อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาเจ้าแล้ว” ซูหนี่ยิ้มไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นางมาที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับนางกันแน่“ข้าจะเข้าไปขายโสมที่เมืองพรุ่งนี้ ท่านป้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่”“ไปๆ” เพราะอาหารที่เรือนของนางก็เริ่มจะหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางเข้าเมืองอยู่ดี“ท่านป้า ทางที่ดีเรื่องโสม ท่านอย่าเพิ่งบอกผู้ใดนะเจ้าคะ” ซูหนี่นางกลัวว่าหากผู้อื่นรู้จะเข้ามาขโมยไปเสีย“ข้าเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคซูหนี่นางก็ขอตัวกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนนางก็เข้าไปพักในมิติทันทีรุ่งเช้าซูหนี่เก็บข้าวของที
ด้านหน้าของนาง ที่ใกล้ปากถ้ำ มีต้นโสมอยู่หลายหัว ในตอนแรกนางกลัวว่าตาจะฝาดไป จึงได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ“แล้วจะเก็บยังไง อะไรก็ไม่มีให้ขุด” เมื่อซูหนี่ยื่นมือออกไปที่โสมตรงหน้า ระหว่างที่นางใช้ความคิดว่าจะเอาสิ่งใดมาขุดโสม จึงไม่ได้ทันเห็นว่าโสมนับสิบหัวที่อยู่ในดินเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งลุกขึ้น แล้วเดินหาว่าโสมหายไปได้อย่างไร นางขยี้ตาอยู่หลายหน พื้นดินตรงหน้าก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม“โสมของข้า” นางทรุดตัวลง แล้วร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียใจแต่แล้วก็มีโสมโผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที เมื่อนางร้องเรียกโสมเสร็จ“เฮ้ยย” ซูหนี่โยนโสมทิ้งอย่างตกใจ นางก้มลงมองมือของนาง ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นแหวนหยกแบบเดียวกับที่นางได้มาจากร้านขายยาอยู่ที่นิ้วของนาง“คงไม่ใช่มั้ง” นางครุ่นคิด ก่อนจะคลานไปหยิบโสมที่นางโยนทิ้งไปกลับมาอีกครั้งในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซูหนี่จึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เก็บ” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อโสมในมือหายไปทันทีที่นางพูดจบนางทำเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้
ซูหนี่แพทย์สาว เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังในกรุงปักกิ่ง เพราะชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดของเธอทำให้มีคนไข้มากมายต้องการจะรักษากับเธอ แม้จะต้องรอคิวนับเดือนก็ตาม“หมอไป๋คะ วันนี้มีคิวผ่าตัดสามคิว คุณจะให้ฉันเตรียมห้องผ่าตัดเลยไหม” พยาบาลเดินเข้ามาหาไป๋ซูหนี่ที่ห้องทำงานของเธอเธอยกยิ้มที่มุมปาก เพราะเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ได้กิน จะตามให้เธอไปผ่าตัดเลยหรือไง แต่เธอก็ต้องตอบไปว่า“ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”ในแต่ละวันของเธอไม่มีสิ่งใด มากไปกว่าอยู่ที่ห้องผ่าตัดและกลับไปพักที่ห้องพักข้างโรงพยาบาล เหตุผลที่เธอเลือกเรียนหมอ คงเป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก เธอที่ได้แต่ยืนมองพยาบาลเข็นแม่เธอเข้าห้องผ่าตัดไปโดยทำอะไรไม่ได้ครั้งนั้นแม่ของเธอไม่ได้ออกมาจากห้องแบบมีลมหายใจ เธอเสียชีวิตเพราะช็อกจากการผ่าตัด ทำให้ซูหนี่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะต้องเรียนหมอ เพื่อช่วยคนที่ป่วยเหมือนแม่ของเธอนอกจากที่เธอจะเลือกเรียนแพทย์ปัจจุบันแล้ว เธอยังสนใจเรื่องสมุนไพรของแพทย์แผนจีนไม่น้อย หลังจากที่มีเวลาว่างจากเรื่องเรียน เธอจะไปช่วยงานที่ร้านขายยาแผนจีน เพื่อหาความรู้และหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่