เมื่อสามวันที่แล้ว ตอนที่ตระกูลกงเข้าทาบทาม งานหมั้นหมายของนาง ก็ดูเหมือนเยว่ชิงนางไม่ได้ขัดข้องอันใด แต่มาตอนนี้กลับบอกจะไม่แต่งแล้ว
“หากลูกพูดเรื่องอันใดไป ท่านพ่อจะเชื่อลูกหรือไม่เจ้าคะ” นางรอคำตอบอย่างคาดหวัง
“ย่อมต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว มีอันใดก็ว่ามาเถิด” เขาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่
หมอหลิวย่อมต้องเชื่อในคำพูดของเยว่ชิง เพราะเขาเลี้ยงดูนางมาด้วยตนเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่นางไม่เคยพูดหลอกลวงเขาสักครั้ง
“ลูกฝันไม่ดีเจ้าค่ะ มันเหมือนจริงยิ่งนัก” นางไม่กล้าบอกบิดาตามตรงว่านางได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงเล่าทุกสิ่งออกมาเป็นสิ่งที่นางได้ฝันแทน
หมอหลิวมองบุตรสาวอย่างหยอกล้อ เพียงแค่ความฝันถึงกลับทำให้นางมิต้องการต้องเข้าตระกูลกงได้เลยรึ
“ชิงเออร์ สิ่งที่ลูกกังวลเป็นเพียงแค่ความฝัน เจ้าก็เชื่อแล้วรึ”
“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรลูกก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ทั้งยังไม่ต้องการแต่งเข้าตระกูลกง หากท่านพ่อคิดว่าเรื่องทั้งหมดลูกกังวลไปเอง ท่านลองส่งคนไปสืบเรื่อง คุณหนูตู้ ตู้ซิงเยียน ก่อนดีหรือไม่ แล้วเรื่องสัญญาหมั้นหมายค่อยพูดกันอีกครั้ง”
หมอหลิวนั่งนิ่งอย่างใช้ความคิด บุตรสาวของตนทำอะไรมีเหตุผลเสมอ แม้แต่บุตรสาวตระกูลตู้ที่นางไม่เคยพบเจอยังสามารถพูดชื่อออกมาได้ คงต้องมีเรื่องอะไรที่นางไม่อาจบอกกล่าวตรงๆ ได้อย่างแน่นอน
“เช่นนั้นก็ได้ แล้วเรื่องพูดคุยวันนี้เล่า” เขากังวลไม่น้อย เพราะได้นัดหมายกับตระกูลกงไว้แล้ว
“ท่านพ่อปฏิเสธแทนลูกไปก่อนได้หรือไม่ บอกว่าลูกล้มป่วยจนมิอาจลุกจากเตียงได้ แต่ถ้าหากกงหลี่เฉียงจะขอเข้าเยี่ยมลูกท่านพ่อก็เอ่ยห้ามเขาไว้ด้วยนะเจ้าค่ะ ลูกยังมิอยากพบเขา”
หมอหลิวเม้มปากแน่น แม้แต่นามของกงหลี่เฉียง บุตรสาวของตนก็เอ่ยเรียกเขาออกมาเสียเช่นนี้ ทุกครั้งนางจะเรียกพี่เฉียง ยิ่งทำให้เขารู้ว่า คงมิใช่ความฝันธรรมดาแน่นอน
“ได้ พ่อจะออกหน้าแทนเจ้าเอง”
เมื่อรับมื้อเช้าพร้อมบิดาเรียบร้อยแล้ว เยว่ชิงก็กลับไปที่เรือนของนาง เพื่อที่จะแสร้งป่วยเช่นที่คุยกับบิดาไว้ พร้อมทั้งกำชับบ่าวในเรือนว่าอย่าได้ปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาเด็ดขาด
หมอหลิวเมื่อส่งบุตรสาวกลับเรือนไปแล้ว ตัวเขาก็เร่งพ่อบ้านให้ส่งคนไปสืบเรื่องของบุตรสาวตระกูลตู้ทันที เพราะต้องการรู้ว่ามีความสัมพันธ์กับกงหลี่เฉียงอย่างที่เยว่ชิงนางเอ่ยหรือไม่
เขาพอจะรู้มาบ้าง ว่าตระกูลตู้คือตระกูลบ้านเดิมของมารดากงหลี่เฉียง หากพวกเขาจะไปมาหาสู่กันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากเป็นตามที่บุตรสาวเล่าว่าต่อไปนางจะเข้ามาเป็นฮูหยินรองของกงหลี่เฉียง เขาก็ต้องการที่จะสืบให้รู้ว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่
พ่อบ้านวิ่งหน้าตั้งมาหาหมอหลิวที่อยู่ในห้องโถง “นายท่าน ตระกูลกงมากันแล้วขอรับ” เขายืนรอรับคำสั่ง เพราะจากเรื่องที่หมอหลิวสั่งเขาเมื่อครู่ จึงไม่รู้ว่าสมควรให้พวกเขาเข้ามาในจวนหรือไม่
“ไปเชิญเข้ามาเถิด” หมอหลิวสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงรออย่างใจเย็น
กงหลี่เฉียงมาพร้อมกับผู้เป็นบิดาและมารดา ทั้งสามทักทายหมอหลิว ก่อนที่จะมองหาเยว่ชิง เมื่อไม่เห็นว่านางอยู่ภายในห้องโถงด้วย
“ชิงชิงเล่าขอรับ” กงหลี่เฉียงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
จะบอกว่านางไม่รู้ว่าเขาจะพาบิดามารดามาแลกเทียบชะตาในวันนี้ก็คงไม่ใช่ แล้วทำไมนางถึงไม่อยู่รอพบเขา
“ชิงเออร์ นางล้มป่วย ตอนนี้ยังมิอาจลุกจากเตียงได้”
เมื่อสิ้นคำหมอหลิว กงหลี่เฉียงก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปหานางที่เรือน แต่ก็ถูกหมอหลิวเอ่ยขัดไว้เสียก่อน
“ประเดี๋ยวก่อน เจ้ามิต้องไปเยี่ยมนางหรอก มิเช่นนั้นจะติดไข้จากนางได้”
“แต่ว่า...” กงหลี่เฉียงกำลังจะแย้ง แต่ถูกมารดาของเขาฉุดรั้งให้เขานั่งลงอีกครั้ง
“ทำตามที่ท่านหมอหลิวว่าเถิดอาเฉียง ชิงเออร์นางมิเป็นอันใดมากหรอก มีบิดาเป็นหมอหลวงทั้งคน” นางหันมายิ้มเอาใจท่านหมอหลิว
หากมองดูเผินๆ คงไม่มีผู้ใดสงสัยในคำพูดของนาง แต่เมื่อหมอหลิวได้ฟังเรื่องราวความฝันของบุตรสาวมาแล้ว เขาจึงได้พิจารณานางตู้ซื่ออีกครั้ง
ท่าทีที่ร้อนรนของกงหลี่เฉียง ทำให้เขาคิดไม่ออกว่า เขาจะทำร้ายจิตใจบุตรสาวของตนได้อย่างไร
“อาเฮ่อ เช่นนั้นก็นำเทียบชะตาออกมาแลกกันเถิด” นายท่านกง เอ่ยออกมา
“ข้ากำลังจะแจ้งเรื่องนี้กับเจ้าอยู่พอดี ไว้ให้อาการของชิงเออร์ ดีขึ้นเสียก่อน ค่อยเจรจาเรื่องสัญญาหมั้นหมายเถิด”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร มิใช่ว่าเจรจาจบสิ้นไปแล้วรึ” ตู้ซื่อเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
หมอหลิวเลิกคิ้วมองนาง จนกงหลี่เฉียงต้องสะกิดเตือนมารดาที่นางพูดจาโผงผางออกไปเช่นนี้
“เอ่อ สตรีผลสั้นหูยาวก็เช่นนี้ เจ้าอย่าได้มีโทสะเลย” นายท่านกงเอ่ยตำหนิภรรยาทันที
แม้แต่ตัวเขายังไม่กล้าทำให้หมอหลิวมีโทสะเลย แล้วนางเป็นเพียงสตรีที่อยู่ในเรือนหลังจะพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
ที่นายท่านกงต้องไว้หน้าหมอหลิวอยู่หลายส่วน เพราะหมอหลิวเป็นหมอหลวงที่เป็นที่ไว้พระทัยของฮ่องเต้ แม้แต่เยว่ชิงก็ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าเพื่อตรวจอาการของไทเฮา ฮองเฮาและพระสนมอยู่เสมอ
เรื่องความโปรดปรานไม่ต้องพูดถึง เยว่ชิงเกือบจะได้ถวายตัวเป็นนางสนมในวังตั้งแต่ปักปิ่นแล้ว แต่ด้วยหมอหลิวมิต้องการให้บุตรสาวถูกกักขังอยู่ในวังหลวง ฮ่องเต้ก็ทรงยินยอมอย่างใจกว้าง
“เอาเถิด เรื่องหมั้นหมายค่อยพูดทีหลัง” หมอหลิวโบกมืออย่างไม่ใส่
เมื่อเห็นว่าเรื่องที่มาก็ไม่เรียบร้อย ทั้งยังโดนสามีตำหนิต่อหน้าหมอหลิวอีก ตู้ซื่อจึงไม่เอ่ยอะไรขึ้นมาอีกเลย ระหว่างที่พวกเขาสนทนาเรื่องอื่นกัน
พอออกจากจวนตระกูลหลิวได้ นางก็เลิกปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยตำหนิเยว่ชิงออกมาทันที
“เหอะ นางคิดว่านางสูงศักดิ์มากเพียงใดถึงได้เล่นตัวเช่นนี้”
“ท่านแม่ อย่าได้พูดเช่นนี้ หากผู้อื่นได้ยินเข้า การแต่งงานของข้าเห็นทีจะไม่สำเร็จแล้ว” กงหลี่เฉียงส่ายหัวออกมา
“จริงเช่นที่อาเฉียงว่า หากเจ้ายังปากมากอีก ก็ไม่ต้องเข้ามาจัดการเรื่องนี้” นายท่านกงมองตู้ซื่ออย่างดุดัน
“เพ้ย ท่านคิดว่าข้าอยากจัดการเรื่องงานแต่งของนางอย่างนั้นรึ อาเฉียงแม่บอกเจ้าแล้วว่าให้แต่งกับเยียนเออร์เสียเจ้าก็ไม่เชื่อ” นางเอ่ยออกมาอย่างไม่ยินยอม พร้อมทั้งเอ่ยไปถึงหลานสาวบ้านเดิมของนาง
“ท่านแม่แล้วเยียนเออร์ นางช่วยเรื่องหนี้สินที่จวนเราได้หรือไม่เล่า” กงหลี่เฉียงเริ่มจะไม่พอใจในคำพูดของมารดาบ้างแล้ว
ทั้งๆ ที่นางก็รู้ถึงสภาพในจวน แต่คิดจะดึงดันให้แต่งกับหลานสาวบ้านเดิมของนางอยู่ตลอด
ตู้ซื่อเมื่อเอ่ยเรื่องหนี้สินในจวนออกมา ใบหน้าของนางก็เคร่งเครียดขึ้น แล้วเริ่มมองไปทางนายท่านกงที่สร้างเรื่องไว้มากมาย“มิใช่บิดาของเจ้ารึที่ก่อเรื่องเอาไว้ เอาเถิดข้าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก แต่เมื่อแต่งนางเข้ามาแล้ว เจ้าต้องรับเยียนเออร์เข้ามาเป็นฮูหยินรองทันที เข้าใจหรือไม่” นางหันไปคาดคั้นบุตรชายของนาง“ท่านแม่ท่านลืมไปแล้วหรือขอรับ ว่าข้ารับปากท่านหมอหลิว เรื่องที่จะไม่รับฮูหยินรองหรืออนุเข้าเรือนหลัง” กงหลี่เฉียงเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ“แล้วอย่างไรเล่า หากนางตั้งครรภ์มิได้ เจ้าจะแต่งอนุเข้าจวน เรื่องนี้จะมีผู้ใดว่าเจ้าได้กัน” เมื่อได้ยินคำของมารดาดวงตาของกงหลี่เฉียงก็เปล่งประกายขึ้นมานายท่านกงมองสองแม่ลูกสนทนากันอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งคู่จะจัดการเรื่องนี้เช่นไรเขาไม่สน แต่ต้องแต่งเยว่ชิงเข้าจวนให้ได้เสียก่อน เพื่อนำสินเดิมของนางมาชดใช้หนี้ที่เขาสร้างไว้ทางด้านเยว่ชิงเมื่อรู้ว่าพวกตระกูลกงเดินทางกลับไปแล้ว จึงได้ออกจากเรือนไปพบบิดาเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น“พ่อบอกให้พวกเขารอจนกว่าเจ้าจะหายป่วย”“ท่านพ่อไม่ปฏิเสธไปเลยเล่าเจ้าคะ” เยว่ชิงอดที่จะกังวลไม่ได้“เจ้าอย่าได้รีบร้อน หากปฏิ
นางมิได้คิดสิ่งใดกับกงหลี่เฉียงแล้วเสียหน่อย ทั้งความเสียใจที่ทุกเขากระทำก็หายไปเสียจนสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงแค่อยากเห็นชายชั่วกับหญิงร้ายถูกทำให้อับอายเช่นที่นางเคยโดนมาก็เท่านั้น“นายท่านต้องการนั่งที่ใดขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินออกมาต้อนรับ“ท่านพ่อลูกอยากนั่งที่ชั้นสองเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ชั้นสองเถิด”“ทางนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบนำทางไปทันทีเยว่ชิงที่ไม่ได้ปรากฏตัวนอกจวนเสียนาน เมื่อนางออกมาย่อมต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น บุรุษได้แต่มองตามแผ่นหลังของนางที่เดินข้างบิดาไปอย่างล่องลอย สตรีก็ได้แต่มองไปอย่างอิจฉาในความงามของนางโต๊ะด้านในที่หลบสายตาของผู้อื่น มีบุรุษสองคนที่นั่งสนทนากัน กำลังมองมาที่หมอหลิวและเยว่ชิงอย่างนึกสนุก“หึหึ ช่างน่าสนใจ”“ท่านไม่คิดจะไปห้ามอย่างนั้นรึ”“เรื่องสนุกเช่นนี้ จะห้ามไปไย สมควรจะตามไปชมเสียมากกว่า” เขาโยนถั่วเข้าปากแล้วลุกขึ้นเดินตามสองพ่อลูกไปอย่างช้าๆ สหายของเขาได้แต่ส่ายหน้าและเร่งฝีเท้าตามไป“พี่เฉียง ท่านแอบออกมาพบข้าเช่นนี้ มิกลัวคุณหนูหลิวนางจะรู้เข้าอย่างนั้นรึ” เสียงสตรีกำลังต่อว่าบุรุษด้านใน ดังออกมาด้านนอก จนทำให้คนทั้งหมดที่กำลังจะเข้าไปในห้อ
กงหลี่เฉียงหันไปมองเว่ยอ๋องอย่างไม่สบอารมณ์ เขากำลังหาทางปลีกตัวหนีได้อยู่แล้ว“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ท่านเกี่ยวอันใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ"“เรื่องนี้เปิ่นหวางก็ไม่เกี่ยวหรอก เพียงแต่ว่ามันน่าสนุกดีมิใช่หรือ” เขายื่นหน้าไปใกล้กงหลี่เฉียง“หรือพระองค์กำลังเอาคืนกระหม่อม” กงหลี่เฉียงมองเว่ยอ๋องอย่างโกรธแค้น“เหตุใดเปิ่นหวางต้องแก้แค้นเจ้าด้วยเล่า” เขากอดอกมองกงหลี่เฉียงอย่างยียวน"พระองค์พึงใจในตัวชิงชิง คงจะยินดีไม่น้อยที่กระหม่อมมิได้แต่งนางเข้าจวน” กงหลี่เฉียงเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แต่เขาก็เพียงพูดออกมาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน“เช่นนั้นรึ แล้วอย่างไรเล่า หากเป็นเปิ่นหวางที่ได้ใจนางมาครองคงมิยอมให้เสียไปอย่างแน่ แต่เจ้าเล่า หึหึ น่าขันนัก” เว่ยอ๋องกระซิบข้างหู ทั้งยังปรายตาไปมองซิงเยียนอย่างดูแคลนกงหลี่เฉียงตัวช้าวาบ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเมื่อก่อนที่เคยยิ้มเยาะเว่ยอ๋องที่แย่งเยว่ชิงมาได้ ในตอนนี้เขาได้สูญเสียนางไปเสียแล้วหากไม่เชื่อคำมารดา ออกมาพบซิงเยียนในวันนี้ เขาคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่แต่ไม่สิ หมอหลิวระแคะระคายเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร หากไม่มีผู้ใดเอ่ยบอกเรื่องที่จวนของเขา หมอหลิวจะส่งคนตามสืบ
รุ่งเช้า เมื่อหมอหลิวเข้าไปทำงานที่วังหลวงก็พบกับนายท่านกงที่ดักรอเขาอยู่ที่หน้าประตูวัง“อาเฮ่อ ข้าขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”“หากเจ้าจะพูดเรื่องหมั้นหมายของชิงเออร์ เห็นทีข้าคงไม่มีเรื่องจะพูด”“อย่างไรเล่า อาเฉียงเป็นบุรุษ เรื่องสตรีย่อมต้องมีกันบ้าง เจ้าอย่าได้ใจแคบนักเลย หากเขาได้แต่งชิงเออร์เข้าตระกูลแล้วข้ารับรองว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” นายท่านกงเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านๆ“หึ กงป๋อเหวิน ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย หากเจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าอีกครั้ง แม้แต่ความเป็นสหายข้าก็จะไม่เหลือให้เจ้า” หมอหลิวจ้องมองนายท่านกงอย่างไม่สบอารมณ์“ใช่แล้ว ใต้เท้ากง ท่านพูดได้เห็นแก่ตัวนัก บุตรชายท่านจะทำตัวเช่นไรก็ได้อย่างนั้นรึ”หมอหลิวได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าเป็นผู้ใด เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปทำความเคารพให้เว่ยอ๋องเมื่อเห็นเว่ยอ๋องเดินเข้ามาพูดสีหน้าของกงป๋อเหวินก็ซีดขาวทันที เพราะกงหลี่เฉียงกลับมาที่จวนแล้วเล่าสิ่งที่เว่ยอ๋องได้เอ่ยกับเขาออกมาให้บิดาได้ฟัง“กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” กงป๋อเหวินเอ่ยขอตัวทันที เขาหันไปมองหน้าหมอหลิวก่อนจะเร่งรีบเดินจากไป“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลิวขอบคุณเว่ย
เรื่องข่าวลือที่กระจายไปทั่ว ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลกง ไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบมาถึงเยว่ชิงที่นั่งจัดเตรียมสมุนไพรอยู่ในทั้งบ่าวในจวนก็ไม่คิดจะเรื่องที่ได้ยินมา มาเล่าให้คุณหนูได้ฟัง เพราะไม่มีผู้ใดอยากจะเห็นคุณหนูของตนเจ็บปวดใจได้พอกงป๋อเหวินและกงหลี่เฉียงกลับมาถึงจวน ตู้ซื่อจึงเล่าเรื่องที่น้องชายของนางมาโวยวายที่จวนให้พวกเขาฟัง“เพ้ย เช่นนั้นเจ้าก็หาสินสอดกันเองเถิด” กงป๋อเหวินสะบัดชายเสื้อจากไปอย่างไม่ไยดี“ท่านแม่ แล้วเรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี” กงหลี่เฉียงยามนี้ก็ทำตัวเป็นบัณฑิตให้คนภายนอกดูแต่ความจริงแล้วเขายังไม่อาจสอบเข้าทำงานในราชสำนักได้ ถึงแม้จะสอบผ่านจิ้นซื่อหน้าพระพักตร์ได้แล้ว แต่ด้วยอันดับที่ไม่ดี ทั้งยังมิอาจสอบชิงเข้ากรมใดได้สักกรม จึงยังมิได้ทำงานเสียทีการแต่งงานกับเยว่ชิงก็หวังว่าตนจะได้อาศัยบารมีของหมอหลิวที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และไทเฮา เพื่อได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ดีในราชสำนักแต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะหมดหวังไปเสียทุกทาง แล้วยังมาถูกจวนตระกูลตู้เร่งรัดให้รีบส่งแม่สื่อไปที่จวนในเวลาเพียงสามวันเท่านั้น“จะทำอย่างไรได้ แม่คงต้องนำสินเดิมที่เก็บซ่อ
แต่เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป เมื่อนางหันไปมองเขา ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคน เยว่ชิงรีบถอยหนีตามสัญชาตญาณ เว่ยอ๋องที่กำลังจะยื่นหน้ามาใกล้อีกอย่างลืมตัวจึงต้องหยุดชะงักลง เพราะกลัวจะทำให้นางตกใจ“แล้วนายท่านกงจะถูกตัดสินเช่นใดเพคะ” นางรีบเอ่ยเรื่องโทษของกงป๋อเหวินขึ้นมาทันที เพราะบรรยากาศภายในห้องอึดอัดไม่น้อย“หากไม่โดนประหารก็คงถูกเนรเทศไปใช้แรงงานกระมัง" เขาเอนตัวไปพิงเก้าอี้ แล้วยังไหล่ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ“ผู้ใดทำสิ่งใดไว้ก็สมควรจะต้องชดใช้” นางเอ่ยออกมาเสียงเบา“เจ้าเห็นใจคุณชายเฉียงอย่างงั้นรึ” เว่ยอ๋องเลิกคิ้วถามนาง“เหอะ มีคำใดที่ข้าเอ่ยถึงเขาเช่นนั้นรึ” นางถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์“แล้วไป”“ท่านว่าอย่างไรนะเพคะ” นางเอ่ยถาม เพราะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด“ไม่มีอันใด พรุ่งนี้โรงหมอของเจ้าจะเปิดใช่หรือไม่”“เพคะ”“เจ้าคิดดีแล้วหรือ เรื่องที่จะตรวจโรคให้หญิงคณิกา” ในตอนแรกที่เขารู้เรื่องนี้ก็ตกใจไม่น้อย“เพคะ หรือพระองค์กลัวว่าเรื่องที่พระองค์ไปเที่ยวหอนางโลมจะถูกพวกนางพูดออกมา” เยว่ชิงเอียงคอมองเว่ยอ๋องอย่างหยอกล้อ“เพ้ย ชิงชิงเจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาได้อ
เยว่ชิงยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อชาติที่แล้วก็เอ่ยกับนางเช่นนี้ เพื่อให้นางวุ่นวายอยู่กับการดูแลมารดาของเขา“เห็นทีจะไม่ได้ เจ้าไม่ได้ยินที่นางพูดรึ ให้พามารดาเจ้ามาที่โรงหมอ” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเย็นออกมา“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านกระมังท่านอ๋อง มารดาของข้ามิอาจลุกขึ้นจากเตียงได้ จะพานางมาได้อย่างไรเล่า”เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ ที่เว่ยอ๋องมาขัดขวางเขาเช่นนี้“ช่างเถิด ข้าจะไปดูนางเสียหน่อย” เยว่ชิงไม่อยากฟังพวกเขาทะเลาะกัน และนางก็เหนื่อยมากแล้วด้วยวันนี้ นางไม่อยากให้ตระกูลกงหาเรื่องปล่อยข่าวว่านางใจแคบไม่ยอมไปตรวจให้ตู้ซื่อที่จวน“เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไปกับเจ้าด้วย” เยว่ชิงโบกมือแล้วแต่เขาเลย นางเดินกลับเข้าไปเตรียมของ ก่อนจะพาอาอิงไปที่รถม้าเพื่อไปที่จวนตระกูลกงนางก็อยากจะเห็นว่าตู้ซื่อล้มป่วยจริงหรือนางเพียงแต่แสดงงิ้วเช่นเมื่อชาติที่แล้วเว่ยอ๋องกระโดดขึ้นมานั่งรถม้าของเยว่ชิง เขาหันไปยิ้มเยาะให้กงหลี่เฉียงที่ในตอนแรกเขาจะขึ้นมานั่งคันของนาง“คุณชายกง หากท่านจะนั่งคันนี้เห็นทีจะไม่ได้ เปิ่นหวางไม่ชอบนั่งเบียดกับผู้ใด”เยว่ชิงที่นั่งกุมขมับอยู่ในรถม้า ปรายตามองเว่ยอ๋องอย่างไม่สบอ
ตั้งแต่แต่งนางเข้าไป เขาก็มีเรื่องปวดหัวไม่เว้นวัน ไหนจะสินเดิมที่นางไม่มีติดตัวมาด้วย แต่กลับชี้นิ้วสั่งจะเปลี่ยนเครื่องเรือน เสื้อผ้าเครื่องประดับก็จะเอาชุดใหม่อยู่ทุกวัน“ท่านไม่เห็นรึ ว่าข้าเจ็บตัวอยู่ ผู้ใดกันแน่ที่โดนทำร้าย”“หึ เปิ่นหวางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ทำร้ายผู้อื่นแต่กลับบอกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ น่าขันนัก ชิงชิงลุกไหวหรือไม่” เขามองนางอย่างปวดใจ เพียงแค่พ้นสายตาครู่เดียวนางก็ถูกรังแกแล้ว“ไหวเจ้าค่ะ” เยว่ชิงลุกขึ้นโดยมีเว่ยอ๋องประคองนางมิได้เจ็บอันใด แต่คงเป็นเพราะผิวของนางบอบบางจึงทำให้รอยนิ้วมือของซิงเยียนบนหน้านางดูน่ากลัว“เปิ่นหวางจะไปส่งเจ้าที่จวน” เว่ยอ๋องประคองเยว่ชิงเดนออกจากจวนตระกูลกง“ประเดี๋ยวก่อน คุณหนูหลิวเจ้ายังมิได้ตรวจอาการให้มารดาข้าเลย” กงหลี่เฉียงเอ่ยรั้งพวกเขาไว้“หึ เจ้ายังคิดจะให้นางเข้าไปตรวจมารดาเจ้าอีกรึ นางรึอุตส่าห์มาตรวจให้ถึงจวน แต่คนของเจ้ากลับทำกับนางเช่นนี้” เว่ยอ๋องจ้องมองทั้งสองอย่างดุดัน เขาอยากจะเข้าไปฉีกเนื้อทั้งคู่ทิ้งเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็ถูกเยว่ชิงสะกิดเรียกสติเขาไว้ก่อน “หม่อมฉันอยากกลับจวนแล้วเพคะ” เยว่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเบา ใบหน้าที่
ไทเฮาที่ได้กลิ่นสุราที่ตัวของบุตรชายคนเล็กนางก็ย่นจมูกทันที“อาจ้านเจ้าอาบสุราหรือว่าดื่มกันแน่” นางดันตัวบุตรชายออกอย่างนึกรังเกียจ“เสด็จพี่ ชวนลูกดื่มสุราเป็นเพื่อน ลูกจึงได้มาพบเสด็จช้ากว่าที่ควรพ่ะย่ะค่ะ”“เพ้ย อาจ้านเจ้าใส่ร้ายเจิ้นแล้ว” ฮ่องเต้ที่เดินตามมาติดๆ ก็ได้ยินที่น้องชายพูดจนต้องเอ่ยตำหนิเขาออกมา“เอาเถิดๆ แล้วพากันมาที่นี่มีเรื่องอันใด”“คุณหนูหลิวเล่าเสด็จแม่” ฮ่องเต้มองหาเยว่ชิงก็ไม่เห็นว่านางจะอยู่ภายในตำหนัก“หึ เจ้าจะรับนางเข้าวังหลังอย่างนั้นรึ” ไทเฮาเอ่ยถามบุตรชายคนโตอย่างสงสัยแต่เว่ยอ๋องหันไปมองพี่ชายอย่างไม่สบอารมณ์แล้ว “เสด็จแม่เข้าใจลูกผิดเสียแล้ว ลูกจะรับนางเข้าวังหลังได้อย่างไร แต่หากจะรับนางเข้าตำหนักอ๋องก็ว่าไปอย่าง” ฮ่องเต้มองน้องชายอย่างมีความหมาย“จริงรึ อาจ้าน” ไทเฮาหันมาถามบุตรชายคนเล็กอย่างสนใจ“เรื่องนี้ต้องให้เสด็จแม่ช่วยลูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอ๋องกุมมือของไทเฮา“เพราะอันใด”เว่ยอ๋องปรับทุกข์ให้ไทเฮาฟัง เรื่องที่ดูเหมือนว่าเยว่ชิงนางมิต้องการจะแต่งงาน จนเขาก็ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับนางเช่นไรแล้ว“เห้อ ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า ชิงเออร์นางมิอยา
เยว่ชิงเม้มปากแน่น นางไม่เชื่อเขาจริงๆ แต่ไม่กล้าจะเอ่ยออกมา“ชิงชิง” เขาเอ่ยเรียกนางเสียงแผ่วเบา ก่อนจะลุกจากที่นอน แล้วกระโดดออกจากห้องของนางไปเยว่ชิงนอนขดตัวอยู่บนที่นอน นางไม่รู้ว่าจะตอบเขาเช่นไรดี ถึงนางจะรู้สึกดีกับเขาไม่น้อย แต่นางในตอนนี้ยังมิอาจเปิดใจได้ เพราะยังหวาดกลัวในสิ่งที่กงหลี่เฉียงได้กระทำไว้รุ่งเช้า เมื่อเยว่ชิงตื่นขึ้น ขอบตาของนางดำคล้ำ เพราะอดนอน อาอิงที่เดินเข้ามาเตรียมน้ำล้างหน้าให้คุณหนูของนาง ถึงกับต้องอุทานออกมา“คุณหนู ท่านนอนไม่หลับหรือเจ้าคะ” นางไม่อยากเชื่อว่าคุณหนูของนางจะนอนไม่หลับ เพราะเมื่อวานมีคนไข้จนโรงหมอปิด ทั้งยังเหนื่อยล้ากันอย่างมาก“ไม่ ไม่มีอันใด เร่งมือเข้าเถิด ประเดี๋ยวจะไปเปิดโรงหมอสาย” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจเมื่อรับมื้อเช้าเรียบร้อย เยว่ชิงก็พาอาอิงออกไปที่โรงหมอ ด้านหน้าโรงหมอมีชาวบ้านมายืนรอกันอยู่หลายคนแล้ว นางจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นจำต้องเข้าไปที่ห้องตรวจทันทีผ่านมาหลายวัน เว่ยอ๋องก็ยังไม่ได้มาให้เยว่ชิงได้เห็นหน้า ทั้งยามค่ำคืนเขาก็ไม่แอบมาพบนางเช่นเดิม แต่เพราะโรงหมอมีคนไข้มากทุกวัน เยว่ชิงนางจึงไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องของเขา
ตั้งแต่แต่งนางเข้าไป เขาก็มีเรื่องปวดหัวไม่เว้นวัน ไหนจะสินเดิมที่นางไม่มีติดตัวมาด้วย แต่กลับชี้นิ้วสั่งจะเปลี่ยนเครื่องเรือน เสื้อผ้าเครื่องประดับก็จะเอาชุดใหม่อยู่ทุกวัน“ท่านไม่เห็นรึ ว่าข้าเจ็บตัวอยู่ ผู้ใดกันแน่ที่โดนทำร้าย”“หึ เปิ่นหวางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ทำร้ายผู้อื่นแต่กลับบอกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ น่าขันนัก ชิงชิงลุกไหวหรือไม่” เขามองนางอย่างปวดใจ เพียงแค่พ้นสายตาครู่เดียวนางก็ถูกรังแกแล้ว“ไหวเจ้าค่ะ” เยว่ชิงลุกขึ้นโดยมีเว่ยอ๋องประคองนางมิได้เจ็บอันใด แต่คงเป็นเพราะผิวของนางบอบบางจึงทำให้รอยนิ้วมือของซิงเยียนบนหน้านางดูน่ากลัว“เปิ่นหวางจะไปส่งเจ้าที่จวน” เว่ยอ๋องประคองเยว่ชิงเดนออกจากจวนตระกูลกง“ประเดี๋ยวก่อน คุณหนูหลิวเจ้ายังมิได้ตรวจอาการให้มารดาข้าเลย” กงหลี่เฉียงเอ่ยรั้งพวกเขาไว้“หึ เจ้ายังคิดจะให้นางเข้าไปตรวจมารดาเจ้าอีกรึ นางรึอุตส่าห์มาตรวจให้ถึงจวน แต่คนของเจ้ากลับทำกับนางเช่นนี้” เว่ยอ๋องจ้องมองทั้งสองอย่างดุดัน เขาอยากจะเข้าไปฉีกเนื้อทั้งคู่ทิ้งเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็ถูกเยว่ชิงสะกิดเรียกสติเขาไว้ก่อน “หม่อมฉันอยากกลับจวนแล้วเพคะ” เยว่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเบา ใบหน้าที่
เยว่ชิงยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อชาติที่แล้วก็เอ่ยกับนางเช่นนี้ เพื่อให้นางวุ่นวายอยู่กับการดูแลมารดาของเขา“เห็นทีจะไม่ได้ เจ้าไม่ได้ยินที่นางพูดรึ ให้พามารดาเจ้ามาที่โรงหมอ” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเย็นออกมา“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านกระมังท่านอ๋อง มารดาของข้ามิอาจลุกขึ้นจากเตียงได้ จะพานางมาได้อย่างไรเล่า”เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ ที่เว่ยอ๋องมาขัดขวางเขาเช่นนี้“ช่างเถิด ข้าจะไปดูนางเสียหน่อย” เยว่ชิงไม่อยากฟังพวกเขาทะเลาะกัน และนางก็เหนื่อยมากแล้วด้วยวันนี้ นางไม่อยากให้ตระกูลกงหาเรื่องปล่อยข่าวว่านางใจแคบไม่ยอมไปตรวจให้ตู้ซื่อที่จวน“เช่นนั้นเปิ่นหวางจะไปกับเจ้าด้วย” เยว่ชิงโบกมือแล้วแต่เขาเลย นางเดินกลับเข้าไปเตรียมของ ก่อนจะพาอาอิงไปที่รถม้าเพื่อไปที่จวนตระกูลกงนางก็อยากจะเห็นว่าตู้ซื่อล้มป่วยจริงหรือนางเพียงแต่แสดงงิ้วเช่นเมื่อชาติที่แล้วเว่ยอ๋องกระโดดขึ้นมานั่งรถม้าของเยว่ชิง เขาหันไปยิ้มเยาะให้กงหลี่เฉียงที่ในตอนแรกเขาจะขึ้นมานั่งคันของนาง“คุณชายกง หากท่านจะนั่งคันนี้เห็นทีจะไม่ได้ เปิ่นหวางไม่ชอบนั่งเบียดกับผู้ใด”เยว่ชิงที่นั่งกุมขมับอยู่ในรถม้า ปรายตามองเว่ยอ๋องอย่างไม่สบอ
แต่เพราะอยู่ใกล้กันเกินไป เมื่อนางหันไปมองเขา ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจของอีกคน เยว่ชิงรีบถอยหนีตามสัญชาตญาณ เว่ยอ๋องที่กำลังจะยื่นหน้ามาใกล้อีกอย่างลืมตัวจึงต้องหยุดชะงักลง เพราะกลัวจะทำให้นางตกใจ“แล้วนายท่านกงจะถูกตัดสินเช่นใดเพคะ” นางรีบเอ่ยเรื่องโทษของกงป๋อเหวินขึ้นมาทันที เพราะบรรยากาศภายในห้องอึดอัดไม่น้อย“หากไม่โดนประหารก็คงถูกเนรเทศไปใช้แรงงานกระมัง" เขาเอนตัวไปพิงเก้าอี้ แล้วยังไหล่ออกมาอย่างไม่ใส่ใจ“ผู้ใดทำสิ่งใดไว้ก็สมควรจะต้องชดใช้” นางเอ่ยออกมาเสียงเบา“เจ้าเห็นใจคุณชายเฉียงอย่างงั้นรึ” เว่ยอ๋องเลิกคิ้วถามนาง“เหอะ มีคำใดที่ข้าเอ่ยถึงเขาเช่นนั้นรึ” นางถลึงตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์“แล้วไป”“ท่านว่าอย่างไรนะเพคะ” นางเอ่ยถาม เพราะไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด“ไม่มีอันใด พรุ่งนี้โรงหมอของเจ้าจะเปิดใช่หรือไม่”“เพคะ”“เจ้าคิดดีแล้วหรือ เรื่องที่จะตรวจโรคให้หญิงคณิกา” ในตอนแรกที่เขารู้เรื่องนี้ก็ตกใจไม่น้อย“เพคะ หรือพระองค์กลัวว่าเรื่องที่พระองค์ไปเที่ยวหอนางโลมจะถูกพวกนางพูดออกมา” เยว่ชิงเอียงคอมองเว่ยอ๋องอย่างหยอกล้อ“เพ้ย ชิงชิงเจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาได้อ
เรื่องข่าวลือที่กระจายไปทั่ว ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลกง ไม่มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบมาถึงเยว่ชิงที่นั่งจัดเตรียมสมุนไพรอยู่ในทั้งบ่าวในจวนก็ไม่คิดจะเรื่องที่ได้ยินมา มาเล่าให้คุณหนูได้ฟัง เพราะไม่มีผู้ใดอยากจะเห็นคุณหนูของตนเจ็บปวดใจได้พอกงป๋อเหวินและกงหลี่เฉียงกลับมาถึงจวน ตู้ซื่อจึงเล่าเรื่องที่น้องชายของนางมาโวยวายที่จวนให้พวกเขาฟัง“เพ้ย เช่นนั้นเจ้าก็หาสินสอดกันเองเถิด” กงป๋อเหวินสะบัดชายเสื้อจากไปอย่างไม่ไยดี“ท่านแม่ แล้วเรื่องนี้จะทำอย่างไรกันดี” กงหลี่เฉียงยามนี้ก็ทำตัวเป็นบัณฑิตให้คนภายนอกดูแต่ความจริงแล้วเขายังไม่อาจสอบเข้าทำงานในราชสำนักได้ ถึงแม้จะสอบผ่านจิ้นซื่อหน้าพระพักตร์ได้แล้ว แต่ด้วยอันดับที่ไม่ดี ทั้งยังมิอาจสอบชิงเข้ากรมใดได้สักกรม จึงยังมิได้ทำงานเสียทีการแต่งงานกับเยว่ชิงก็หวังว่าตนจะได้อาศัยบารมีของหมอหลิวที่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้และไทเฮา เพื่อได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ดีในราชสำนักแต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะหมดหวังไปเสียทุกทาง แล้วยังมาถูกจวนตระกูลตู้เร่งรัดให้รีบส่งแม่สื่อไปที่จวนในเวลาเพียงสามวันเท่านั้น“จะทำอย่างไรได้ แม่คงต้องนำสินเดิมที่เก็บซ่อ
รุ่งเช้า เมื่อหมอหลิวเข้าไปทำงานที่วังหลวงก็พบกับนายท่านกงที่ดักรอเขาอยู่ที่หน้าประตูวัง“อาเฮ่อ ข้าขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”“หากเจ้าจะพูดเรื่องหมั้นหมายของชิงเออร์ เห็นทีข้าคงไม่มีเรื่องจะพูด”“อย่างไรเล่า อาเฉียงเป็นบุรุษ เรื่องสตรีย่อมต้องมีกันบ้าง เจ้าอย่าได้ใจแคบนักเลย หากเขาได้แต่งชิงเออร์เข้าตระกูลแล้วข้ารับรองว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” นายท่านกงเอ่ยออกมาอย่างหน้าด้านๆ“หึ กงป๋อเหวิน ข้าเห็นเจ้าเป็นสหาย หากเจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าอีกครั้ง แม้แต่ความเป็นสหายข้าก็จะไม่เหลือให้เจ้า” หมอหลิวจ้องมองนายท่านกงอย่างไม่สบอารมณ์“ใช่แล้ว ใต้เท้ากง ท่านพูดได้เห็นแก่ตัวนัก บุตรชายท่านจะทำตัวเช่นไรก็ได้อย่างนั้นรึ”หมอหลิวได้ยินเสียงก็รู้เลยว่าเป็นผู้ใด เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปทำความเคารพให้เว่ยอ๋องเมื่อเห็นเว่ยอ๋องเดินเข้ามาพูดสีหน้าของกงป๋อเหวินก็ซีดขาวทันที เพราะกงหลี่เฉียงกลับมาที่จวนแล้วเล่าสิ่งที่เว่ยอ๋องได้เอ่ยกับเขาออกมาให้บิดาได้ฟัง“กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ” กงป๋อเหวินเอ่ยขอตัวทันที เขาหันไปมองหน้าหมอหลิวก่อนจะเร่งรีบเดินจากไป“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลิวขอบคุณเว่ย
กงหลี่เฉียงหันไปมองเว่ยอ๋องอย่างไม่สบอารมณ์ เขากำลังหาทางปลีกตัวหนีได้อยู่แล้ว“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ท่านเกี่ยวอันใดด้วยพ่ะย่ะค่ะ"“เรื่องนี้เปิ่นหวางก็ไม่เกี่ยวหรอก เพียงแต่ว่ามันน่าสนุกดีมิใช่หรือ” เขายื่นหน้าไปใกล้กงหลี่เฉียง“หรือพระองค์กำลังเอาคืนกระหม่อม” กงหลี่เฉียงมองเว่ยอ๋องอย่างโกรธแค้น“เหตุใดเปิ่นหวางต้องแก้แค้นเจ้าด้วยเล่า” เขากอดอกมองกงหลี่เฉียงอย่างยียวน"พระองค์พึงใจในตัวชิงชิง คงจะยินดีไม่น้อยที่กระหม่อมมิได้แต่งนางเข้าจวน” กงหลี่เฉียงเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา แต่เขาก็เพียงพูดออกมาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน“เช่นนั้นรึ แล้วอย่างไรเล่า หากเป็นเปิ่นหวางที่ได้ใจนางมาครองคงมิยอมให้เสียไปอย่างแน่ แต่เจ้าเล่า หึหึ น่าขันนัก” เว่ยอ๋องกระซิบข้างหู ทั้งยังปรายตาไปมองซิงเยียนอย่างดูแคลนกงหลี่เฉียงตัวช้าวาบ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเมื่อก่อนที่เคยยิ้มเยาะเว่ยอ๋องที่แย่งเยว่ชิงมาได้ ในตอนนี้เขาได้สูญเสียนางไปเสียแล้วหากไม่เชื่อคำมารดา ออกมาพบซิงเยียนในวันนี้ เขาคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่แต่ไม่สิ หมอหลิวระแคะระคายเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร หากไม่มีผู้ใดเอ่ยบอกเรื่องที่จวนของเขา หมอหลิวจะส่งคนตามสืบ
นางมิได้คิดสิ่งใดกับกงหลี่เฉียงแล้วเสียหน่อย ทั้งความเสียใจที่ทุกเขากระทำก็หายไปเสียจนสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงแค่อยากเห็นชายชั่วกับหญิงร้ายถูกทำให้อับอายเช่นที่นางเคยโดนมาก็เท่านั้น“นายท่านต้องการนั่งที่ใดขอรับ” เสี่ยวเอ้อเดินออกมาต้อนรับ“ท่านพ่อลูกอยากนั่งที่ชั้นสองเจ้าค่ะ”“เช่นนั้นก็ชั้นสองเถิด”“ทางนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบนำทางไปทันทีเยว่ชิงที่ไม่ได้ปรากฏตัวนอกจวนเสียนาน เมื่อนางออกมาย่อมต้องตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น บุรุษได้แต่มองตามแผ่นหลังของนางที่เดินข้างบิดาไปอย่างล่องลอย สตรีก็ได้แต่มองไปอย่างอิจฉาในความงามของนางโต๊ะด้านในที่หลบสายตาของผู้อื่น มีบุรุษสองคนที่นั่งสนทนากัน กำลังมองมาที่หมอหลิวและเยว่ชิงอย่างนึกสนุก“หึหึ ช่างน่าสนใจ”“ท่านไม่คิดจะไปห้ามอย่างนั้นรึ”“เรื่องสนุกเช่นนี้ จะห้ามไปไย สมควรจะตามไปชมเสียมากกว่า” เขาโยนถั่วเข้าปากแล้วลุกขึ้นเดินตามสองพ่อลูกไปอย่างช้าๆ สหายของเขาได้แต่ส่ายหน้าและเร่งฝีเท้าตามไป“พี่เฉียง ท่านแอบออกมาพบข้าเช่นนี้ มิกลัวคุณหนูหลิวนางจะรู้เข้าอย่างนั้นรึ” เสียงสตรีกำลังต่อว่าบุรุษด้านใน ดังออกมาด้านนอก จนทำให้คนทั้งหมดที่กำลังจะเข้าไปในห้อ