แต่ทว่า พวกเขาก็ไม่ได้ถามซักไซ้แต่อย่างใดในเวลานี้ หลินอู๋เอ่ยขึ้นมาว่า “ในเมื่อมาเจอกันแล้ว งั้นก็นั่งลงกินข้าวด้วยกันสักมื้อไหมคะ?”ครั้นสิ้นเสียงของหลินอู๋ เหรินจี่เฟิงหมายจะพูดว่าได้ ทว่ากู้เหยียนกลับชิงกล่าวขึ้นมาก่อนว่า “ไม่ละ ฉันยังมีเรื่องของตัวเองที่ต้องทำ ไว้คราวหน้าก็แล้วกันนะ”กู้เหยียนกล่าวจบ จี้ชิงเยว่ก็พูดขึ้น “ผมเองก็มีแพลนของตัวเองแล้วเหมือนกัน ไม่ค่อยสะดวก คราวหน้าแล้วกันนะครับ”เหรินจี่เฟิงมากับจี้ชิงเยว่เขาคิดไม่ถึงว่าจี้ชิงเยว่จะพูดเช่นนี้เมื่อฟังมาจนถึงตรงนี้ เขาชะงักไปเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็ได้แต่พูดว่า “ใช่ คราวหน้าก็แล้วกันครับ”หลินอู๋นับว่าค่อนข้างสังเกตเหรินจี่เฟิงมากกว่าคนอื่น ๆเธอเล็งเห็นถึงสีหน้าของเหรินจี่เฟิง จึงเข้าใจในทันทีว่าที่จี้ชิงเยว่บอกว่าตัวเองมีแพลนแล้วนั้น ความจริงเป็นเพียงข้ออ้างเดาว่าจี้ชิงเยว่ก็คงจะแค่ไม่อยากทานข้าวกับเธอเท่านั้นพอนึกมาถึงตรงนี้ ความจริงเธอก็สังเกตเห็นแล้วว่าจี้ชิงเยว่ค่อนข้างเฉยเมยต่อเธออยู่เหมือนกัน ดูทรงแล้วจะเรียกว่ารู้สึกดีก็ไม่ได้ แต่จะบอกว่าไม่ชอบก็ไม่เชิงเมื่อนึกได้อย่างนี้ เธอพลันยิ้มสดใสเล็กน้อยก
ตอนเที่ยงของวันอาทิตย์เห็นกู้เหยียนถือโทรศัพท์ไว้ ท่าทางเหมือนจะยุ่งมาก เพื่อนของเขาจึงขยับเข้ามาดูพอเห็นเนื้อหาในมือถือเขา เพื่อนของเขาก็ถึงกับต้องปวดหัว “เดี๋ยวนะ นี่มันวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามเงินเดือนที่ฉางโม่จ้างนาย ไม่น่าถึงขั้นให้นายทำงานแม้กระทั่งในวันเสาร์อาทิตย์หรอกมั้ง? ฉันยังนึกว่านายกำลังคิดหาวิธีนัดคุณหรงคนนั้นออกมาซะอีก”กู้เหยียนอยากจะพัฒนาขึ้นของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับฉางโม่เมื่อได้ยินในสิ่งที่เพื่อนเขาพูด กู้เหยียนก็ไม่ได้ว่าอะไรตอนที่ยังไม่รู้ว่าหรงฉือยังไม่หย่า โดยปกติแล้วเขาก็จะพยายามหาวิธีนัดหรงฉือออกมาในทุก ๆ สัปดาห์จริง ๆแต่หรงฉือบอกว่าเธอยังไม่ได้หย่าแม้ฟังจากคำพูดของหรงฉือแล้วดูเหมือนว่าเธอกับสามีของเธอมาถึงขั้นที่จะหย่าร้างกันแล้วก็จริง แต่อย่างไรเธอก็ยังไม่ได้หย่าอย่างเป็นทางการ...ครั้นเห็นกู้เหยียนทำท่าครุ่นคิดไม่พูดไม่จา เพื่อนของเขาก็เคาะโต๊ะเบา ๆ “นายเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรเลย คิดอะไรอยู่?”กู้เหยียนดึงสติกลับมาได้ก่อนหน้านี้นึกว่าหรงฉือหย่าแล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องสามีของหรงฉือมากนักแต่ตั้งแต่ที่เขารู้ว่ายังไม่ได้หย่า อีกทั้งสามีขอ
เมื่อขึ้นไปชั้นบน เฟิงจิ่งซินแกะของขวัญที่เฟิงถิงเซินมอบให้ไปพลาง พูดคุยกับหรงฉือไปพลางหรงฉือนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ เป็นตอนนี้เองที่โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นเฟิงถิงเซินส่งข้อความมาหาเธอ[บ่ายพรุ่งนี้ผมยังต้องกลับไปจัดการธุระที่ประเทศเอนาวา เรื่องหย่าน่าจะต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกหนึ่งอาทิตย์]หรงฉืออ่านแล้วก็ขมวดคิ้ว เธอเริ่มพิมพ์ตอบกลับข้อความของเฟิงถิงเซิน[เช้าวันจันทร์ค่อยกลับไปประเทศเอนาวาไม่ได้เหรอ?]เฟิงถิงเซินตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว[ผมลองแล้ว แต่ไม่ได้ผล ขอโทษนะ]หรงฉือเม้มปาก ไม่ได้ส่งข้อความกลับไปอีกอาจจะเพราะรู้ว่าเธอโกรธแล้ว เฟิงถิงเซินถึงได้ส่งข้อความเข้ามาอีกฉบับ เพื่อรับปากกับเธอ [ต่อให้วันศุกร์หน้าผมกลับมาไม่ทัน แต่ผมจะกลับมาให้ทันก่อนวันจันทร์ของอีกสองอาทิตย์หน้าแน่นอน เรื่องนี้คุณสบายใจได้]ในเมื่อเฟิงถิงเซินบอกเวลากลับที่แน่ชัดมาแล้ว หรงฉือก็พอจะเข้าใจเธอวางโทรศัพท์ลงโดยไม่ได้ตอบอะไรซึ่งเฟิงถิงเซินก็อาจจะรู้ว่าที่จริงแล้วเธอเห็นข้อความแล้ว แต่เธอไม่ได้ตอบเขา เขาจึงไม่ได้ส่งข้อความไปหาเธออีกหลังเฟิงจิ่งซินคุยกับหรงฉือไปได้สักพักก็รู้สึกง่วง ไม่นานนักก็หลับไปอย่า
พอรู้ว่าเฟิงถิงเซินตั้งใจรีบกลับมาจากต่างประเทศก็เพื่อเซอร์ไพรส์เธอ ในที่สุดเฟิงจิ่งซินก็ดีใจเธอถือโทรศัพท์ไว้ในมือ พลางวิ่งลงไปชั้นล่างด้วยความตื่นเต้นหรงฉือมอง หลังจากชะงักอยู่ที่เดิมประมาณสองวินาทีแล้ว ก็ตามเฟิงจิ่งซินลงไปชั้นล่าง พลางแจ้งไปยังยามเฝ้าประตูให้เปิดประตูให้เฟิงถิงเซินเข้ามายามที่รถของเฟิงถิงเซินเคลื่อนตัวเข้ามาในลานบ้านตระกูลหรง เฟิงจิ่งซินก็วิ่งไปด้านนอก พุ่งตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเฟิงถิงเซินที่ลงมาจากรถด้วยความตื่นเต้นดีใจวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ แต่เฟิงถิงเซินไม่ได้โทรศัพท์มาหาเลยสักครั้ง แถมหรงฉือเองก็งานยุ่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีใครใส่ใจเธอเลย เธอทั้งน้อยใจทั้งเศร้าใจทำให้วันนี้ทั้งวันเธอได้แต่เศร้าหมองตอนนี้เห็นเฟิงถิงเซินตั้งใจรีบกลับมาจากต่างประเทศเพื่อฉลองวันเกิดให้เธอ เมื่อรับรู้ได้ถึงความใส่ใจของเฟิงถิงเซินที่มีให้เธอแล้ว อารมณ์น้อยใจของเฟิงจิ่งซินก็เอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง ทำให้ดวงตาของเธอแดงก่ำในทันทีเห็นเฟิงจิ่งซินพุ่งเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเองแล้ว เฟิงถิงเซินจึงยื่นมือไปลูบหัวของเธอเบา ๆ ตอนที่ย่อตัวลงไปอุ้มเธอนั้น ถึงได้รู้
สองสามวันต่อมา หรงฉือยังคงยุ่งกับงานเหมือนเช่นเคยหลายวันมานี้ เป็นเพราะเธอต้องออกเช้ากลับดึกทุกวัน ส่วนเฟิงจิ่งซินนั้น แม้ว่าจะมาอยู่ที่บ้านตระกูลหรงแล้ว ทว่าระยะเวลาที่พวกเธอสองแม่ลูกได้ใช้ร่วมกันนั้นมีไม่มากส่วนเฟิงถิงเซินที่แม้ว่าจะงานยุ่ง แต่ก็ได้ยินมาว่ามักจะโทรมาคุยกับเฟิงจิ่งซินทุกวันแต่ว่าตอนที่พวกเขาสองคนพ่อลูกคุยโทรศัพท์กันนั้นเธอล้วนไม่ได้อยู่ด้วย เธอเลยไม่รู้ว่าตอนที่พวกเขาสองคนพ่อลูกคุยโทรศัพท์กันนั้นคุยอะไรกันบ้างวันเกิดของเฟิงจิ่งซินตรงกับวันศุกร์อาจจะเป็นเพราะปกติแล้วเฟิงถิงเซินมอบความรักความห่วงใยให้เธอเต็มที่ พอใกล้จะถึงวันเกิดของเฟิงจิ่งซินแล้ว ต้องรู้ว่าเฟิงถิงเซินแน่ใจแล้วว่ากลับมาไม่ทันฉลองวันเกิดเธอ เฟิงจิ่งซินกลับไม่ได้ผิดหวังอะไรมากนัก แต่กอดแขนของหรงฉือไว้พลางพูดว่า “ไม่เป็นไร มีแม่ฉลองวันเกิดกับหนูก็พอแล้ว”ครั้นรู้ว่าหรงฉืองานยุ่ง วันเกิดของเฟิงจิ่งซินเลยมีเวลาฉลองกับเธอไม่มากเท่าไรนัก อาจจะทำได้เพียงต้มบะหมี่อายุยืนกับให้ของขวัญเธอเท่านั้น เฟิงจิ่งซินก็ออกจะผิดหวังไม่น้อยเธอไม่ได้กินเค้กที่หรงฉือทำมานานแล้วเลยคิดถึงไม่น้อยเธอคิดว่าอย่างน้อย
เช้าวันจันทร์ หรงฉือเพิ่งมาถึงด้านล่างบริษัท ก็เจอกับเขากู้เหยียนที่เพิ่งมาถึงบริษัทเหมือนกันพอดีกู้เหยียนยิ้ม “อรุณสวัสดิ์”หรงฉือ “อรุณสวัสดิ์”เพิ่งพูดจบ หรงฉือก็หันไปเห็นเงาร่างของจี้ชิงเยว่หรงฉือชะงักฝีเท้าทันทีที่เห็นเขากู้เหยียนเองก็เห็นจี้ชิงเยว่แล้วเช่นกัน เขาถึงกับขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจจี้ชิงเยว่ไม่ได้สนใจกู้เหยียนมากนัก เขาเดินตรงเข้าไปหาหรงฉือ “ผมเพิ่งกลับมาถึงบ้านเมื่อเช้ามืดวานนี้ พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันมาสักพักแล้ว เลยอยากมาเจอคุณสักหน่อย”จี้ชิงเยว่อยากมาเจอหน้าเธอจริง ๆ ไม่ได้มีความตั้งใจอื่นเลยเธอมีท่าทีชัดเจน ด้วยไม่อยากรบกวนเธอมากเกินไป และไม่อยากให้เธอรู้สึกรำคาญเขา เขาเลยพูดขึ้นอีกครั้งว่า “คุณทำงานเถอะ ไม่ต้องสนใจผม เดี๋ยวผมก็จะไปแล้ว”ทุกสิ่งทุกอย่างที่พอจะพูดกับจี้ชิงเยว่ได้นั้น หรงฉือล้วนพูดออกไปหมดแล้วการที่เขามาปรากฏตัวที่นี่โดยไม่ทันให้ตั้งตัวแบบนี้ เธอก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วยแล้วจริง ๆเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ หรงฉือจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป เธอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วหมุนตัวขึ้นไปชั้นบนของบริษัทกู้เหยียนมองจี้ชิงเยว่เล็กน้อยแล้ว ถึงก้าวเท้าตามหรงฉือไป