หน้าที่ทำการคอมมูนในตอนนี้ได้มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมายืนออกันเพื่อรับงานที่หัวหน้าหน่วยจะทำการแจกจ่าย
เสียงพูดคุยดังขึ้นราวนกกระจอกแตกรังจนกระทั่งดวงตาของพวกเขาเห็นหญิงวัยกลางคนที่เดินอุ้มห่ออะไรบางอย่างในอ้อมแขนตามติดมาด้วยเด็กชายตัวเล็กรูปร่างผอมบางไม่แตกต่างจากเด็กในหมู่บ้านคนอื่น
“อัยโย่! ฉันก็นึกว่าใครที่แท้ก็คนป่วยใกล้ตายนี่เอง” ผู้พูดเป็นหญิงวัยเดียวกันกับเมิ่งหลิง
(ป้าคนนี้ปากไม่ดีเลยแหะ) หรูฟู่ซิงคิดอย่างไม่สบอารมณ์
‘เจ้านาย ให้ผมสั่งสอนหล่อนดีไหม’ เป๋าเอ๋อร์ผู้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงคนตัวเล็กถามขึ้นเพราะเจ้าตัวเองก็ไม่ชอบคนแบบนี้เหมือนกัน
‘รอก่อน’
เมิ่งหลิงทำเพียงปรายตามองหล่อน ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากออกมาลอย ๆ “กลิ่นอะไรเน่า ๆ ลอยมาก็ไม่รู้เหม็นจะตายอยู่แล้ว”
“แก! หมายความว่ายังไง” ผู้หญิงคนนั้นเต้นผ่างถามออกมาเสียงดัง
“หืม? เธอเดือดร้อนอะไรไม่ทราบแม่โก่วซุน”
ในขณะที่หญิงคนนี้กำลังจะตอบโต้ออกมาอีก เสียงของหัวหน้าหน่วยก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“เอาละ ทุกคนฟังผมจะจ่ายงานให้แล้วนะ” หัวหน้าหน่วยคอมมูนได้แจกงานตามความเหมาะสมให้กับคนที่มาลงชื่อจนครบและเมื่อเขาเห็นนางเมิ่งกับหลานชายเจ้าตัวก็เกิดความสงสัย
“สหายเมิ่ง คุณเองก็มารับงานเหรอ แต่ผมได้ข่าวมาว่าคุณป่วยหนักถ้าอย่างนั้นพักให้หายก่อนดีกว่าไหม” การถามเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขาเป็นห่วงแต่ทว่างานในช่วงนี้มีไม่มาก
“เปล่าค่ะ ฉันจะมาแจ้งผู้ใหญ่บ้านเรื่องขอเพิ่มชื่อสมาชิกใหม่” คำพูดของเธอยิ่งนำพาความงุนงงมาให้ทั้งหัวหน้าหน่วยและผู้ใหญ่บ้านเป็นอย่างมาก
“หมายความว่ายังไง” เซี่ยฉางอันถามด้วยความสงสัย
“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ” เมิ่งหลิงได้พูดถึงความเป็นมาของหรูฟู่ซิงจากที่คิดเอาไว้ออกมา
“ในเมื่อเธอกับเสี่ยวจื่อไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นผมจะเพิ่มชื่อของอ้ายอ้ายเข้าในทะเบียนบ้านให้ก็แล้วกัน จะว่าไปเด็กคนนี้ก็ช่างอาภัพเหลือเกิน”
เมิ่งหลิงทำเพียงส่งยิ้มบางออกมาโดยไม่พูดอะไรเพิ่มและเมื่อเธอได้รับสมุดกระดาษที่ทำการเพิ่มชื่อของหลานสาวหล่อนก็แค่กล่าวออกมาสั้น ๆ
“ขอบคุณผู้ใหญ่เซี่ยมากค่ะ”
หลังจากจัดการเรื่องเรียบร้อยหล่อนก็พาหลานทั้งสองเดินกลับบ้านทว่าในระหว่างทางเธอก็โดนขวางเอาไว้
“นางหวัง หล่อนมาขวางฉันทำไม”
“ถุย! ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานลูกของแกไม่ไปทำงานก็เลยทำให้อาซุนของฉันได้รับความลำบากดังนั้นแกเป็นแม่จึงต้องชดใช้” ผู้พูดแสดงท่าทางคุกคามอย่างหาเรื่อง
“งานที่ลูกชายของหล่อนทำเกี่ยวอะไรกับฉัน อีกอย่างหากเขาไม่อยากทำก็สามารถบอกหัวหน้าหม่าก็ได้นี่” เมิ่งหลิงโต้
“แกก็รู้ว่าอาซุนเป็นคนดีเขาไม่ทำแบบนั้นหรอก”
เมิ่งหลิงฟังแล้วอยากกลอกตามองบน “เป็นคนดี เหอะ! หล่อนใช้ตาข้างไหนมองหากว่าเขาเป็นคนดีเมื่อวานคงไม่ไปหาเรื่องอาจื่อถึงบ้านหรอก”
เมื่อนางหวังได้ยินเมิ่งหลิงพูดออกมาแบบนี้ใบหน้าของหล่อนก็ไม่น่าชม
“พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อวานไอ้หลานตัวแสบของหล่อนทำอะไร” น้ำเสียงของเธอตะคอกจนเด็กทั้งสองต่างตกใจ
“แกกำลังทำให้หลานของฉันตกใจนะ อีกอย่างเสี่ยวเฉินตัวแค่นี้จะไปทำอะไรลูกแกที่ตัวโตอย่างกับวัวกับควายได้ล่ะ”
หวังซิงปรี่เข้ามาหมายจะทำร้ายคนตรงหน้าทว่าเท้าของเธอเหมือนมีอะไรขวางไว้จึงทำให้หล่อนสะดุด ร่างของเธอซวนเซเมิ่งหลิงเห็นท่าไม่ดีกลัวผู้หญิงคนนี้จะล้มมาทางตนและหลานชาย
“เสี่ยวเฉินหลบ!”
จบคำพูดของเธอร่างของนางหวังก็หน้าคะมำลงกับพื้นดินประจวบเหมาะว่าอาจจะเป็นคราวเคราะห์ของคนปากเสีย
“นางหวังฉันว่าแกรีบไปล้างหน้าเถอะนั่นขี้วัวเลยนะ แถมยังสดใหม่อีกด้วย” เมิ่งหลิงพูดขึ้นอย่างรังเกียจก่อนที่นางจะรีบพาหลาน ๆ กลับบ้าน
‘พี่ชาย คุณรีบเอามืออุดหู’ เสี่ยวเฉินรีบทำตามที่น้องสาวบอกทันที หากว่าเขาช้าอีกนิดเด็กชายจะต้องได้ยินเสียงกรีดร้องอันโหยหวนกอปรกับสารพัดคำหยาบที่พ่นออกมาจากปากของนางหวังอย่างแน่นอน
เมื่อสามคนย่าหลานกลับถึงบ้านพวกเขาก็พบว่าบ้านของตนมีร่องรอยของการถูกรื้อค้น
‘เจ้านาย บ้านเรามีโจรขึ้น’ เป๋าเอ๋อร์รีบสื่อสารบอกคนตัวเล็กในห่อผ้า
‘โจร! ใครมันกล้า ว่าแต่มันได้อะไรไปไหม’ หรูฟู่ซิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
‘ที่นอนหมอนมุ้งที่ผมเพิ่งเอาออกมา นอกนั้นไม่มีอะไรหายโชคดีที่พ่อของเจ้านายรอบคอบซ่อนของกินของใช้อย่างอื่นไว้ไม่งั้นเห็นทีคงจะไม่มีอะไรเหลือ’
‘มันเป็นใคร เธอรู้ไหม’
ในระหว่างที่ระบบสมบัติกับเด็กหญิงสนทนากันเท้าของนางเมิ่งก็วิ่งเข้าไปภายในตัวบ้านอย่างรีบร้อน
“หมดกัน หลานรัก ย่าขอโทษย่าผิดเองที่ทำให้หลานไร้ที่นอน” นางพูดขึ้นด้วยความเศร้าระคนเจ็บใจ
‘ย่าไม่ต้องร้อง หนูรู้ว่าใครเอาไปพวกเราสามารถไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านได้ หลักฐานพวกนั้นยังอยู่ที่บ้านของเขา’
เมื่อนางเมิ่งได้ยินเช่นนี้ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้พาหลานทั้งสองออกจากบ้านเพื่อกลับมายังคอมมูนอีกครั้ง
“ผู้ใหญ่บ้านเซี่ย! หัวหน้าหม่า! พวกคุณต้องช่วยฉันนะคะ” เธอพูดพลางหลั่งน้ำตา
“สหายเมิ่งใจเย็นลงก่อน มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำไมคุณต้องร้องไห้หรือว่าอาจื่อเป็นอะไร”
“ลูกของฉันสบายดี แต่บ้านของฉันต่างหากที่เป็น” เมิ่งหลิงคิ้วกระตุกที่ผู้ใหญ่บ้านแช่งลูกของตนก่อนที่จะรีบพูดออกมา
“โจร!! สหายเรื่องนี้คุณเอามาพูดมั่วซั่วไม่ได้นะครับ” หัวหน้าหม่าพูดออกมาอย่างกังวลระคนไม่พอใจเพราะหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่เขาดูแลจะให้เขาตอบกับผู้ว่าประจำมณฑลได้อย่างไร
“คุณคิดว่าฉันจะกล้าเอาเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นหรือคะ หากไม่เชื่อพวกคุณก็ไปตรวจดูที่บ้านฉันได้เลย” เมื่อนางเมิ่งพูดออกมาแบบนี้พวกเขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไร
ดังนั้นชายวัยกลางคนทั้งสามจึงได้พากันมาดูที่บ้านของนางเมิ่งซึ่งเป็นผู้เสียหายทันที
“รอยเท้านี้เป็นของผู้ชายไม่ผิดแน่” ผู้ใหญ่เซี่ยพูดเมื่อเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่ที่เป็นเพียงเท้าเปล่า
“ผู้ใหญ่ จะใช่ของหรูจื่อหรือเปล่า” หัวหน้าหม่าถาม
“ไม่ใช่หรอกครับ อาจื่อมีปัญหาการเดินแต่รอยเท้าพวกนี้ล้วนเป็นคนปกติ”
“ถ้าอย่างนั้นมีแค่รอยเท้าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นขโมย” ผู้ช่วยของหม่าหาวหมิงพูดออกมาอย่างหนักใจ
“ฉันรู้” เมิ่งหลิงโพล่งออกมาทันที
“ใคร” คนทั้งสามต่างถามออกมาพร้อมกัน
และในตอนนี้พวกเขาทั้งหกรวมเด็กอีกสองจึงได้มายืนอยู่หน้าบ้านแบบเดียวกันกับนางเมิ่งและคนทั้งหมดในหมู่บ้านเพียงแต่ด้านหน้าจะมีเลขที่บ้านติดเอาไว้
“โก่วซุน! นายออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงของเซี่ยฉางอันดังขึ้นอย่างดุดันจึงทำให้เจ้าของชื่อเกิดความหวาดระแวง
(ไม่มีอะไร ผู้ใหญ่บ้านอาจจะมาตามไปทำงาน แกจะตื่นเต้นทำไม) เจ้าตัวพยายามคิดเข้าข้างตนหลังจากไปทำผิดมา ชายหนุ่มร่างผอมใบหน้าตอบคางเหล็กแหลมราวกับจิ้งจอกเดินออกมาจากด้านใน
“ผู้ใหญ่ มาหาผมทำไม” เขาถามแต่พอเห็นว่ามีใครมากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน
“ช่วงสายของวันนี้แกอยู่ที่ไหน” ผู้ใหญ่บ้านยิงคำถามทันที
“ผมก็อยู่บ้านสิครับ ผมไม่สบายจะไปที่ไหนได้” เขาแสร้งไอตอบโดยก้มหน้าหลบตา
“สหายโก่วซุน หากนายอยู่แต่ในบ้านแล้วทำไมเท้าของคุณถึงได้เต็มไปด้วยดินโคลนกันล่ะ” เมื่อหัวหน้าหม่าถามออกมาแบบนี้ใบหน้าของชายหนุ่มก็เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพรายในสมองกำลังคิดหาข้อแก้ตัวอย่างเร็วจี๋
ค่ำคืนนั้นครอบครัวจ้าวทั้งหมดมารวมตัวกันที่สถานีรถไฟปักกิ่ง บรรยากาศคึกคักของผู้โดยสารที่กำลังเดินทางไปยังจุดหมายต่าง ๆ เติมเต็มสถานีให้มีชีวิตชีวาจ้าวเซิงเดินนำหน้า เขาถือกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ขณะที่หลิวเหวยจินและจ้าวเหยาต่างช่วยกันดูแลของใช้ที่จำเป็นเมื่อถึงเวลา รถไฟเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา เสียงล้อเหล็กบดกับรางดังก้อง ครอบครัวทั้งหมดนั่งรวมกันในโบกี้ชั้นสอง หลิวเหวยจินมองออกไปนอกหน้าต่างสายตาเต็มไปด้วยความหวังและความกังวล“ถ้าเธอเป็นลูกของเรา... ฉันจะไม่ยอมให้เธอต้องเผชิญความทุกข์ยากอีกต่อไป” หลิวเหวยจินพูดพึมพำกับตัวเอง“จิน เธอจะไม่ต้องทำสิ่งนี้คนเดียว พวกเราจะทำมันด้วยกัน” จ้าวเซิงพูดพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้แน่นจ้าวเหยามองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ก็รู้สึกยินดีที่ครอบครัวของพี่ชายกำลังจะได้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้งยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่อง รถไฟมาถึงจุดหมายในที่สุด เสียงหวูดดังบอกให้ทุกคนเตรียมตัวลงจากขบวน หลิวเหวยจินสูดลมหายใจลึกเธอรู้สึกทั้งตื่นเต้นและกังวลในเวลาเดียวกันจ้าวเซิงยกกระเป๋าขึ้นบ่าก่อนจะหันมองภรรย
รถไฟแล่นผ่านทิวเขาและแม่น้ำ เสียงล้อเหล็กบดไปบนรางดังก้องเข้ากับจังหวะหัวใจของผู้โดยสาร อ้ายอ้ายชี้ไปยังภูเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกเบาบางพร้อมกับพูดขึ้นให้ฟางหนิงฟังด้วยความชื่นชมทิวทัศน์ตรงหน้า“ดูสิ เหมือนในภาพวาดเลย!”ฟางหนิงพยักหน้า “ใช่เลย เหมือนมาก”เสียงหัวเราะพูดคุยของเด็ก ๆ ดังขึ้นเนื่องจากการเดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มาต่างมณฑล และในที่สุดการเดินทางยาวนานหลายชั่วโมงก็สิ้นสุดลงในช่วงเช้ามืดของวันใหม่รถไฟหยุดลงที่สถานีใหญ่ในเฉินตู เสียงประกาศดังก้องไปทั่วสถานีพร้อมกับเสียงผู้คนที่เร่งรีบเดินไปมาด้วยจุดหมายปลายทางของตัวเอง ครูจิงหยุนฉิงนำเด็ก ๆ ลงจากขบวนรถไฟ ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความตื่นเต้นและความพร้อม“เด็ก ๆ ระวังอย่าแยกกลุ่มนะ ไปเก็บของที่โรงแรมก่อนแล้วพวกเราจะไปสนามแข่ง” ครูจิงหยุนฉิงพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือเรียกเด็ก ๆ ให้เดินตามอ้ายอ้ายหันมองรอบตัว เธอรู้สึกทึ่งกับเมืองเฉินตูที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตึกสูงทันสมัยตั้งตระหง่านคู่กับอาคารเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์จีนดั้งเดิมท้องถนนคลาคล่ำไปด้วยรถราที่วิ่งสวนกันไปมา ผู้คนสวมเสื
อ้ายอ้ายที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงปิดภาคการศึกษา เธอไม่เคยหยุดนิ่งต่อการทำนู่นนี่นั่นซึ่งภาพเหล่านี้พ่อจ้าวแม่จ้าวมักจะเห็นจนเริ่มชินตา“อ้ายอ้ายนั่นหลานจะไปไหนหรือลูก” แม่จ้าวถามขึ้นเมื่อเห็นหลานสาวขึ้นค่อมจักรยานและกำลังจะปั่นออกไปข้างนอก“เธอบอกว่าจะไปหาอาหย่งที่โรงงานแปรรูปการเกษตรที่เขาเพิ่งจะเข้ามาดูแลเมื่อไม่นาน” เมิ่งหลิงเป็นคนตอบแทนหลานสาวที่กำลังหันมาโบกมือให้ผู้สูงวัยทั้งสามคนด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า“หนูไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับค่ะ” เจ้าตัวกล่าวจบก็ปั่นจักรยานออกจากบ้านเมิ่งหลิงมองตามหลานสาวไปด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนจะหันกลับมามองพ่อจ้าวแม่จ้าว“อ้ายอ้ายเธอเป็นเด็กที่มีความมุ่งมั่นค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรเธอก็ตั้งใจทำเต็มที่”แม่จ้าวพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “ฉันเห็นด้วยกับคุณค่ะ เด็กคนนี้ไม่เคยอยู่เฉยเลย เธอเหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราทุกคนในบ้านด้วย”พ่อจ้าวหัวเราะอย่างเห็นพ้อง “จริง ลูกสาวของเซิงกับจินไม่ธรรมดาเลย โตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าจะเจอเรื่องร้ายแรงในอดีตแต่เธอกลับเติบโตขึ้นมาได้ดี เรื่องนี้ผมต้องขอบคุณสหายเมิ่
จ้าวเซิงสบตากับหลิวเหวยจินครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจลึก ใบหน้าของเขาฉายแววรู้สึกผิดอย่างชัดเจน เขาค่อย ๆ หันกลับมามองอ้ายอ้าย เด็กหญิงที่นั่งรอคำตอบด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้“อ้ายอ้าย...” น้ำเสียงของจ้าวเซิงเริ่มต้นด้วยความยากลำบากใจ“พ่ออยากจะขอโทษลูกจากหัวใจจริง ๆ พ่อรู้ว่าลูกต้องเจ็บปวดและสับสน แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่ไม่รักลูก” เขาหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้า“ตอนที่ลูกเกิด พ่อไม่คิดว่าจะมีคนทำร้ายลูกรวมถึงครอบครัวของเราจากความหวังดี” จ้าวเซิงพูดเสียงเบาขณะที่หลิวเหวยจินซับน้ำตาและพยักหน้าเสริม“แม่ไม่คิดว่าเพราะความอิจฉาของผู้หญิงคนหนึ่งจะทำร้ายลูกและครอบครัวของเราได้มากถึงเพียงนี้แม้ว่าอ้ายอ้ายจะเห็นใจพวกเขาทว่าความจริงที่ไม่อาจละเลยนั่นก็คือเด็กคนนี้ซึ่งเป็นเจ้าของร่างเดิมได้ตายจากพวกเขาสองคนไปแล้วแม้ว่าเธอจะมาอาศัยอยู่กระนั้นเธอก็อยากรู้เรื่องให้กระจ่างจ้าวเซิงหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะเล่าความจริงออกมา “ผู้หญิงคนหนึ่ง... คนที่พ่อเคยช่วยเหลือในอดีต เธอหลงรักพ่อและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้พ่อมา แต่พ่อไม่
หลิวเหวยจินที่ยืนอยู่ข้างจ้าวเซิงมองภาพครอบครัวหรูด้วยรอยยิ้มอบอุ่นในดวงตา เธอสัมผัสได้ถึงความรักและความผูกพันที่ครอบครัวนี้มีให้กันหญิงสาวไม่สามารถหยุดความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นได้ ขณะนั้นเองอ้ายอ้ายที่เพิ่งผละจากอ้อมกอดของแม่ก็หันมามองหลิวเหวยจินด้วยความสงสัยเจ้านาย คุณกับผู้หญิงคนนี้มีบางอย่างเหมือนกัน จะให้ผมตรวจสอบดูไหมครับ จู่ ๆ เสียงของเป๋าเอ๋อร์ก็ดังขึ้นนายคิดว่าเธอคนนี้จะเป็นแม่ของฉันอย่างนั้นเหรอ อ้ายอ้ายบอกไม่ถูกว่าเธอรู้สึกเช่นไรทั้งนี้เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าเธอเป็นอะไรและเป็นใครแต่จะให้เธอปฏิเสธถ้าผู้หญิงกับจ้าวเซิงเป็นพ่อแม่ก็คงจะไม่ได้อีกเหมือนกันเพราะดูจากสีหน้าของพวกเขา เธอสามารถบอกได้ว่าคนทั้งสองนั้นย่อมรักลูกของตัวเองมากผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก แต่เจ้านายทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่กับคุณว่าจะยอมรับหรือเปล่า เป๋าเอ๋อร์เองก็เข้าใจถึงเรื่องราวนี้ดีฉันไม่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่หรูฟู่ซิงรู้สึกอับจนหนทาง เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แม้ว่าเธอจะยึดครองร่างนี้มาหลายปีแต่เธอก็รู
คล้อยหลังจ้าวเซิงเดินออกไป บรรยากาศในห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ จ้าวเหยาเอามือกุมกันแน่น เธอเหลือบมองพ่อแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามใบหน้าของแม่จ้าวดูสับสนปนด้วยความหวัง ขณะที่พ่อจ้าวยังคงนิ่งเงียบแต่แววตาฉายชัดถึงความกังวลบางอย่าง“พ่อกับแม่คิดว่ายังไงคะ?” จ้าวเหยาถามเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจจ้าวเจี้ยนถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ถ้าอ้ายอ้ายเป็นหลานของเรา...พ่อก็ดีใจที่เธอยังปลอดภัย แต่พ่อก็สงสารลูก พวกเธอผ่านอะไรมามากเกินไป”“แม่เองก็คิดแบบนั้น” แม่จ้าวเสริมน้ำเสียงสั่นเครือ “เหยาเหยา ถ้าทุกอย่างเป็นจริง อ้ายอ้ายจะต้องดีใจที่รู้ว่าเธอไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ลูกอย่ากังวลไปเลยนะไม่ว่าผลจะเป็นยังไงเราก็ยังจะรักเธอเหมือนเดิม”จ้าวเหยาพยักหน้าน้ำตาคลอเบ้า เธอรู้สึกซาบซึ้งในความรักและความอบอุ่นของพ่อแม่“แม่คะ พ่อคะ ขอบคุณมากค่ะ หนูเองก็หวังว่าอ้ายอ้ายจะได้รับความรักจากทุกคนในครอบครัวนี้เพราะเธอเป็นเด็กดีมาก อีกอย่างนับตั้งแต่ที่เธอมาอยู่ในครอบครัวของเราบ้านของเราก็มีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามา อย่างขาของสามีฉันก็หายดีจนตอนนี้แทบจะมอง