“ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าคิดว่ามันจบแล้วเจ้าค่ะ เวลามันอาจจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น” สองมือปาดน้ำตาตัวเองแล้วลุกขึ้น “ข้าจะไปหาผักตบชวามาสานรองเท้าเจ้าค่ะ” บัวเพิ่งรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้มีผักตบชวาอยู่ในลำน้ำเป็นจำนวนมาก เธอจึงอยากนำมาสานรองเท้าและขายให้คนในหมู่บ้านนี้ จะได้ช่วยให้ฐานะของครอบครัวดีขึ้น ว่าจบบัวก็เดินลงเรือนไป เธอต้องเข้มแข็งเธอจะอ่อนแอไม่ได้ “เฮ้อ!” ล้อมถอนหายใจแรง ๆ หมดปัญญาไม่รู้จะช่วยลูกอย่างไรดี เรื่องแบบนี้คนอื่นทำแทนไม่ได้ด้วยสิ บัวเดินตามถนนไปอย่างเงียบ ๆ ในหัวตอนนี้มีแต่ภาพลูก ๆ ที่คอยวิ่งเล่นเมื่อตอนที่เธอทำงาน ภาพที่พวกเขาร้องตามเธอไปทุกที่ ภาพที่เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สามี และภาพที่เขาคอยนอนกกกอดเธอทุกคืน ภายใต้ผ้าคลุมหน้าอันมิดชิด น้ำตามันยังหลั่งไหลออกมาไม่หยุดทั้งที่บอกกับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ จะเข้มแข็งแต่เธอก็ทำไม่ได้ แพทย์หญิงอย่างเธอไม่เคยกลัวอะไรง่าย ๆ ไม่เคยกลัวผี ไม่เคยกลัวแม้แต่ความตาย แต่ทำไมเธอต้องมาอ่อนไหวกับเรื่องแค่นี้ด้วย เธอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บัวกำลังก้มเงย ๆ
สายแล้วแต่บัวยังนั่งนิ่งอยู่ในตัวเรือนที่ผนังกรุด้วยใบตองพลวงหลังคามุงด้วยหญ้าคาคล้ายกับบ้านของเธอที่อยู่กับลูกและสามี ใบหน้าเธอดูเศร้าหมอง ทำไมอาการของเธอตอนนี้ถึงเหมือนคนอกหัก อกหักเพราะหลงรักสามีตัวเอง เกิดมาไม่เคยรักใครด้วยสิไม่คิดว่าคนอกหักจะอาการหนักขนาดนี้ มันเจ็บจุก หายใจลำบากคล้ายคนกำลังจะจมน้ำ คิดถึง โหยหาจนนอนไม่หลับน้ำตาที่ไหลแล้วไหลอีกจนตอนนี้แทบไม่มีน้ำตาจะให้ไหล คิดถึงลูก คิดถึงพ่อของลูก ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ใครจะต้มน้ำให้อาบ ใครจะถูตัวให้ ใครจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเขากิน ‘ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า ถ้าเจ้ามีวิธีรักษาให้ข้าเดินได้อีกครั้งข้าจะเลิกกับเจ้า’ยิ่งคิดถึงคำพูดของเขาน้ำตาก็ยิ่งไหลเอื่อย ๆ ออกมาเป็นสาย นานหลายนาทีกว่ามันจะหยุดลง เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายชั่วยาม “เฮ้อ!” บัวนั่งถอนหายใจถ้านับก็น่าจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมัง พ่อแม่กับพี่สาวได้แต่มองอย่างเห็นใจ “อาการน่าเป็นห่วงนะเจ้าคะ” จันทน์หอมพูดขึ้น เห็นน้องสาวเอาแต่นั่งร้องไห้ไม่พูดไม่จาก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องตาม จากที่ก่อนหน้าเคยไม่ชอบน้องสาวตัว
เขากลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอปากรู้สึกขมปร่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาเหมือนคนถูกสาปให้ก้าวขาไม่ออกไปชั่วขณะ จู่ ๆ ร่างกายก็เหมือนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ในหัวมึนตื้อไปหมด“ท่านพ่อข้าอยากไปหาท่านแม่เจ้าค่ะ” ละอองพูดขึ้นข้าง ๆ ผู้เป็นพ่อ ลุกขึ้นเขย่าแขนพ่อเบา ๆ แต่สมิงยังคงยืนนิ่ง“ท่านแม่คงกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เราไปหาท่านแม่ในครัวกันเถอะเดี๋ยวค่อยไปแปรงฟัน” เมฆชวนน้องสาวเหมือนเช่นทุกวันหลังจากตื่นนอน ทั้งสองกำลังจะเดินตามกันเข้าไปในครัว แต่สมิงคว้าแขนลูกสาวไว้ได้ก่อน “ละออง เมฆ” เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาเบาหวิว “เจ้าคะ/ขอรับ” “แม่ของพวกเจ้าไม่อยู่แล้ว” สมิงพูดออกมาเหมือนคนสิ้นหวัง ไม่คิดว่านางจะใจแข็งได้ถึงเพียงนี้ เมื่อคืนเขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันสื่อความรู้สึกที่มีต่อเธอออกไปอย่างชัดเจนและมากพอที่จะรั้งเธอให้อยู่ด้วยแล้ว แต่เขาคิดผิดเธอไม่เคยมีใจให้เขาตั้งแต่ต้นจริง ๆ ใช่ เธอไม่ได้มีใจตั้งแต่ต้นและก็ไม่เคยมีเลย เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แม่ของลูก ไม่ใช่คนที่อยู่กับเขามาเป็นสิบปี เธอถึงไม่รู้สึกอะไรเลยแล้วเธอเป็นใคร? “ท่านพ่อโกหกข้า ข้าจะไปตามหาท
หกเดือนแล้วที่เขาผ่าตัดมา สมิงกลับมาเดินได้คล่องเป็นปกติ วันนี้เขาออกไปล่าสัตว์ตั้งแต่เช้ามืด ชายร่างโตสมส่วนเดินถือซากไก่ป่าและกระต่ายป่ามาหลายตัว “ท่านพ่อได้ไก่เยอะจังเลยขอรับ” เมฆและละอองวิ่งมารับซากสัตว์จากมือพ่อแล้วถือไปให้แม่ “ข้าต้มน้ำไว้ให้ท่านพี่แล้ว” “พี่อยากให้เจ้าเช็ดตัวให้จัง” สมิงว่า ใบหน้าวางเฉยแต่แววตาเป็นประกายระยิบระยับ บางครั้งการที่ได้อ้อนเมียมันก็ทำให้กระชุ่มกระชวยหัวใจนัก “หื้อ ท่านพี่ไม่ได้ป่วยสักหน่อย” “ไม่ป่วยเช็ดให้ไม่ได้รึ” คิ้วเลิกสูงหรี่ตามองเธอ “ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปทำอาหาร” “อะ อื้ม” เมฆกระแอมเมื่อพ่อกับแม่ยังยืนจีบกันโดยไม่เห็นหัวลูก พ่อกับแม่ทำหน้าเลิ่กลั่กเสมองไปคนละทิศละทาง “เด็ก ๆ ไปทำอาหารช่วยแม่กันเถอะ” บัวรีบพูดขึ้นก่อนที่ลูกคนใดคนหนึ่งจะพูดให้อาย “ขอรับ/เจ้าค่ะ” สมิงได้แต่มองลูกตาเขียว กะจะอ้อนเมียสักหน่อยแต่ลูกก็มาขวาง ช่วงบ่ายบัวกำลังนั่งสานรองเท้าอยู่อย่างเงียบ ๆ เหมือนเช่นทุกวัน ขณะที่ลูกและสามียังนั่งทำงานช่วยก
คืนหนึ่งหลังจากลูกนอนแล้วสมิงกระเถิบกายเข้าใกล้ภรรยามากขึ้นวาดวงแขนไปกอดเธอแล้วรั้งเข้ามากอดพลิกกายเธอให้หันหน้าเข้าหาตัวเอง ภายใต้ความมืดทั้งสองจ้องตากัน “บัว!” “เจ้าคะ” “เจ้ามีคนที่รักอยู่แล้วใช่หรือไม่” เขาอึดอัดเหลือเกินที่ต้องเก็บความอยากรู้นี้ไว้ในใจ วันนี้ถึงจะเจ็บกับความจริงเขาก็พร้อมฟัง “ท่านเอามาจากไหนเจ้าคะ” “เรียกท่านพี่ตามที่สมควรได้แล้ว” เขาว่าเธอเสียงเขียว บัวเอาแต่เรียกท่าน ๆ อยู่ได้ “เจ้าค่ะ ท่านพี่” บัวพูดตามใจเขาอย่างว่าง่าย“ก็พี่เห็น” สมิงก็เปลี่ยนสรรพนามตัวเองทันที แบบนี้ถึงรู้สึกว่าสนิทกันมากหน่อย “เห็นอะไรเจ้าคะ” “เห็นเจ้าเก้งกับเจ้าก้านมา…” เขาถอนหายใจแรง “มาอะไรเจ้าคะ” บัวยิ้มในเงามืด ที่ผ่านมาแสดงว่าเขาสังเกตเธอตลอดแต่ไม่พูดออกมาแค่นั้น “มาติดพันเจ้า ข้าอยากรู้ว่าเจ้าชอบใครกันแน่” เขาถามเธอน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก บัวส่ายหน้าก่อนตอบ “ไม่ชอบใครเลยเจ้าค่ะ ชีวิตนี้ข้าจะไม่ชอบใครอีก” นอกจากผู้ชายที่นอนกอดเธออยู่ตอนนี้ “เจ้า
สามเดือนแล้วที่บัวยึดอาชีพสานรองเท้าจากกก จากผักตบชวาขาย และเย็บเสื้อผ้าเป็นอาชีพหลัก ส่วนอาชีพหมอนั้นเป็นงานอดิเรกเพราะที่นี่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหากเธอจะนำออกจากมิติมาใช้ก็กลัวจะแตกตื่นกันไปใหญ่บัวกับลูกทั้งสองกำลังตากก้านผักตบชวาบนเสื่อกก วันนี้เธอแต่งหน้าอ่อน ๆ ด้วยเครื่องสำอางที่ซื้อมาจากพระนครที่ขาดไม่ได้คือครีมกันแดดที่นำออกมาจากมิติของเธอ วันนี้บัวสวมเสื้อแขนกุดคอวีสีกรมท่าที่ตัดเย็บเองกับกระโปงยาวถึงน่องที่เธอออกแบบเอง แต่ถึงจะออกแบบเองก็มีคนคอยกำชับอยู่ข้าง ๆ ตลอด สั้นเหนือเข่าไม่ได้ เปิดไหล่ไม่ได้ นู่น นี่ นั่นไม่ได้ สุดท้ายก็เลยทันสมัยได้แค่นี้ ถึงกระนั้นก็ห้ามเธอใส่เสื้อผ้าพวกนี้ออกไปนอกบ้าน ไม่รู้ว่าเขาจะอายคนไปถึงไหน “บัว!” สำอางยืนอยู่หน้าบ้านที่ตอนนี้บัวให้เสือกับเก้งล้อมรั้วระแนงไม้ไผ่ให้อย่างสวยงาม ความสูงประมาณหน้าอกผู้ใหญ่ บัวกับลูกหันไปมองตามเสียง สมิงที่นั่งเก้าอี้ม้าโยกก็หันมาเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงอดีตคนรักที่คุ้นเคย บัดนี้สำอางก็อ้วนขึ้นมากเพราะเธอเป็นแม่ลูกสามแล้ว แต่ก็คงไม่อ้วนเท่าบัวในครั้งก่อน ถ้าเทียบกันต