[เกวลิน]
“เฮ้อออ!! เมื่อไรจะกลับมาเนี่ย!?” ฉันนั่งบ่นอยู่บนเก้าอี้กินข้าวมาเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วมั้ง นี่ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้วนะ ที่ฉันนั่งรออีตานั่นกลับมากินข้าวอ่ะ นั่งๆ ยืนๆ ไปมาจนตูดชาไปหมดแล้ว อาหารบนโต๊ะก็เย็นชืดไปหมดแล้วด้วยเหมือนกันอ่ะ นี่ถ้าไม่เห็นแก่ป้ากานที่อุตส่าห์เตรียมอาหารไว้ให้ตั้งนานล่ะก็ ฉันไม่อยู่รออีตานั่นให้เสียเวลาตัวเองแบบนี้หรอก โครกกก!! โอ๊ะ! แย่แล้วสิ ท้องฉันร้องประท้วงขึ้นมาอีกรอบแล้ว เฮ้อออ…ก็นะ อาหารตรงหน้าน่าตาน่่ากินขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ฉันต้องอดใจนั่งเฝ้ามันเฉยๆ โดยที่ไม่แตะต้องมันเลยแบบนี้ “แอบกินมันสักหน่อยจะเป็นอะไรมั้ยน้าาา?” ฉันว่า…บางทีอีตานั่นอาจจะกินข้าวมาจากข้างนอกแล้วก็ได้ เพราะนี่มันก็สองทุ่มกว่าแล้ว มันน่าจะดึกเกินไปที่เขาจะกินข้าวรึเปล่านะ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงต้องทิ้งอาหารพวกนี้ไป น่าเสียดายแย่เลย เพราะงั้น…คงไม่เป็นไรหรอกมั้งถ้าฉันจะแอบกินมันสักนิดสักหน่อยอ่ะเนาะ ฟึ่บ!! การกระทำมักจะไวกว่าความคิดเสมอ ไม่รู้ว่ามือตัวดีของฉันมันเอื้อมไปตักอาหารบนโต๊ะไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็… “อ้ามมม!!” เนื้อไก่ตุ๋นชิ้นเบ้อเริ่มถูกป้อนเข้าปากฉันไปซะแล้ว หืม~ อร่อยชะมัด เนื้อไก่นุ่มละลายในปากไปเลยอ่ะ นี่มันเป็นเนื้อไก่ตุ๋นที่อร่อยที่สุดที่ฉันเคยกินมาเลยอ่ะ โอ๊ะ! มีกุ้งทอดกระเทียมของโปรดฉันด้วยอ่ะ ฟึ่บ!! ฉันหยิบนู่น นั่น นี่เข้าปากไปอย่างลืมตัว จนตอนนี้อาหารมันเริ่มเต็มปากฉันไปหมดแล้ว “แค่กๆๆ!!” เพราะความละโมภโลภมากจนลืมตัวของฉัน ที่เอาแต่ยัดอาหารเข้าปากอย่างเดียวแต่ลืมเคี้ยวซะงั้น ทำให้อาหารมันไปกระจุกกันอยู่ที่คอจนสำลักขึ้นมาซะได้ ตุบๆๆ!! ฉันทุบอกตัวเองแรงๆเพื่อให้อาหารมันลงท้องไปซะให้หมด แต่มันก็ฝืดเกินไปจนกลืนไม่ลง น้ำ! น้ำ! ฉันต้องการน้ำเดี๋ยวนี้!! นึกได้ดังนั้น ฉันก็ไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าหาตู้เย็นเพื่อเอาน้ำออกมาดื่มทันที พลั่ก!! พอเปิดประตูตู้เย็นออกมาแล้ว ก็เจอเข้ากับเหยือกแก้วใสๆ ที่มีน้ำเปล่าอยู่ข้างใน ฉันรีบหยิบเหยือกน้ำนั่นออกมา แล้วยกมันขึ้นมาดื่มทันควัน “เอื้อกๆ!!” พรวดดด!! วินาทีที่ไอ้น้ำใสๆนั่นมันไหลเข้าปากเอาอาหารลงท้องไปหมดแล้ว ฉันเพิ่งจะได้รับรู้ถึงรสชาติของน้ำใสๆนั่น ทันทีที่รสชาติของมันเด่นชัดอยู่ที่ปลายลิ้น ฉันถึงกับต้องพ่นของเหลวพวกนั้นออกมาทันควัน นี่มัน…ไม่ใช่น้ำเปล่านี่! น้ำเปล่าอะไรขมขนาดนี้ นี่มันเหล้าชัดๆ ใครเขาเอาเหล้ามาใส่ในเหยือกน้ำเปล่ากันเนี่ย!? “ทำอะไรของเธอน่ะ?!” ปึง!! เสียงที่คุ้นเคยที่ดังเล็ดลอดออกมาทำใจฉันตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มในทันที ซวยแล้ว! ยัยเกวลิน “เอ่อ…คือ…” “เมื่อวานก็แอบเข้าไปในเรือนกระจกของฉันโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต วันนี้ยังแอบมากินอาหารของฉันอีกเหรอ นี่เธอเป็นโจรรึไงฮ่ะ!? เกวลิน!” เจ้าของบ้านเดินดุ่มๆตรงเข้ามาหาฉัน พร้อมกับจ้องมาที่ฉันตาเขม็ง “เอ่อ…ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ป้ากานเขาสั่งให้ฉันอยู่รออุ่นอาหารให้คุณทานน่ะค่ะ” “แล้วไหนล่ะอาหารฉัน?” “ก็นี่ไง…” ขวับ!! เฮ้ย! ทำไมอาหารบนโต๊ะมันเหลือแค่นี้อ่ะ? นี่ฉันกินไปเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? อาหารแต่ละจานเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งจานด้วยซ้ำ โอ้ยยย! ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ยเกว!!? “แฮ่ๆ ฉะ…ฉัน…ไม่ได้ตั้งใจจะ…” หมับ!! ฉันยังไม่ทันจะพูดจบ คนตรงหน้าก็ยื่นมือมาดึงเหยือกน้ำในมือฉันไป “นี่เธอดื่มไอ้นี่หมดได้ยังไง? บ้าไปแล้วรึไง?” ไม่รู้ทำไมแต่จู่ๆ ตาฉันมันก็เริ่มมัวๆ ทำไมอีตานี่ถึงมีสามหัวได้อ่ะ แล้ว…เมื่อกี้เขาพูดอะไรของเขานะ? ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ “เมื่อกี้…คุณว่าไงนะค้าาา?”[คิมหันต์]“คุณคิมหันต์!! มาดูนี่เร็ววว~” เสียงของคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ริมทะเลหันมาร้องเรียกผมพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส“หึๆ” ผมที่ที่กำลังเดินอยู่ก็รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเกวลินโดยทันที พร้อมกับหิ้วไก่ทอดที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ติดมือมาด้วย ตามคำสั่งของคนตัวเล็ก“คุณคิมหันต์ พระอาทิตย์ตกสวยมากเลยว่ามั้ยคะ?” พอเดินเข้ามาถึงตัวเกวลินแล้ว เธอก็ยังคงยกยิ้มสดใสออกมาด้วยความสดใส แถมยังกระโดดไปมาดุกดิกด้วยความตื่นเต้นกับวิวพระอาทิตย์ตกริมทะเลตรงหน้าอีกด้วยผมที่ได้เห็นท่าทีของเธอที่น่ารักของเธอ ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“ไหนว่าจะกลับห้องไง ทำไมถึงพามาที่นี่ล่ะ?” หลังจากออกมาจากห้างก่อนหน้านี้ ผมตั้งใจว่าจะพาเกวลินกลับไปพักที่ห้องของเธอทันที แต่เธอก็ดื้อดึงอ้อนให้ผมพามาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่จนได้ แล้วท่าทีตอนที่เกวลินอ้อนผมมันก็ดันน่ารักซะจนผมปฏิเสธเธอไม่ลงเลยจริงๆ“จะกลับเลยได้ยังไงล่ะคะ วันนี้อุตส่าห์ได้พักทั้งที ต้องออกมาเที่ยวซะหน่อยสิ”หมับ!! เกวลินพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ผม ขณะเดียวกันเธอก็ยื่นมือตัวเองมาจับมือที่ว่างอยู่ของผมเอาไว้ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมใจสั
[เกวลิน]“แน่ใจนะว่าไม่ต้องไปโรงพยาบาล” คุณคิมหันต์ที่ขับรถอยูข้างๆเอ่ยถามคำถามนีเป็นรอบที่สิบได้แล้วมั้ง? หลังจากที่ฉันดีขึ้นแล้ว คุณริมหันต์ก็จัดการเรื่องลางานกับผู้จัดการให้ฉัน แถมยังอาสาพาฉันกลับห้องอีกด้วย และตั้งแต่ที่ออกมามาจากโรงแรม เขาก็เอาแต่ถามย้ำกับฉันอยู่ได้ว่าไม่เป็นไรแน่นะ? ไม่ต้องโรงพยาบาลแน่นะ? ให้ฉันพาไปโรงพยาบาลมั้ย? ถามย้ำรอบที่สิบได้แล้วมั้งน่ะ“เกวไม่เป็นไรแล้วจริงๆค่า แข็งแรงดี สบายใจหายห่วงได้ค่ะ”“ถ้างั้นกลับห้องไปก็พักผ่อนให้เต็มที่่นะ”“เอ่อ คือว่า…ก่อนกลับห้อง เกวมีที่ที่ต้องไปก่อนน่ะค่ะ” จริงๆวันนี้ฉันต้องไปทำธุระสำคัญอย่างหนึ่ง ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะไปคนเดียวด้วยซ้ำ แต่คุณคิมหันต์ก็ดื้อดึงจะไปส่งฉันให้ได้ ฉันปฏิเสธเขาไม่ได้เลยจริงๆ เลยต้องยอมให้เขามาส่งให้จนได้“ไว้รอหายดีก่อนแล้วค่อยไปวันหลัง วันนี้เธอต้องกลับไปพักก่อน”“ไม่ได้ค่ะ เกวต้องไปทำธุระสำคัญมากๆ ต้องไปวันนี้เท่านั้นค่ะ”“ฉันไม่ให้ไป” คนตัวสูงข้างๆเอ่ยออกมาอย่างเด็ดขาด“คุณคิมหันต์! นี่คุณจะเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ ฉันไปแค่แปบเดียว คุณแค่ไปส่งฉันแล้วนั่งรออยู่บนรถก็ได้”“ธุระอะไรจะสำคัญไป
[คิมหันต์]พรึ่บ!! ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะต้องหรี่ตาลงเมื่อแสงที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสอดส่องเข้ามากระทบกับดวงตา และเมื่อปรับสายตาให้คงที่ได้แล้ว ผมถึงได้รู้ว่าตัวเองยังคงนอนอยู่ใขอบนเตียงในห้องพักของเกวลินเหมือนเดิมเพียงแต่ตอนนี้ที่ข้างๆที่เคยมีเกวลินนอนอยู่ด้วย กลับเหลือไว้เพียงแค่รอยยับที่ว่างเปล่าเท่านั้นเกวลิน…ยัยนั่นทิ้งผมไปอีกแล้วเหรอเนี่ย?ฟุ่บ!! ผมลุกขึ้นมาจากเตียงนอน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา แต่เมื่อก้าวเข้าไปในห้องน้ำแล้ว บางสิ่งบางอย่างอยู่ในนั้นกลับทำให้ผมแปลกใจขึ้นมาบนกระจกในห้องน้ำมีกระดาษอยู่สามแผ่นแปะเรียงกันไว้อย่างเป็นแถวเลยล่ะฟึ่บ! ผมเอื้อมมือไปหยิบกระดาษโน้ตแผ่นที่แปะอยู่บนกระจกห้องน้ำมาอ่าน‘เกวต้องออกไปทำงานแต่เช้าเมื่อคืนคุณดูเหนื่อยมากเกวเลยไม่อยากปลุก ขอโทษที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวนะคะ’“หึ! ใครกันแน่ที่เหนื่อย” ผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจทันทีที่ได้อ่านข้อความที่เกวลินทิ้งไว้ให้ฟึ่บ!! จากนี้ก็หยิบกระดาษโน้ตใบที่สองขึ้นมาอ่านต่อ‘คุณอาบน้้ำแปรงฟันก่อนได้นะคะ เกวแขวนเสื้อผ้าที่คุณพอจะใส่ได้ไว้ให้ที่ตู้แล้ว’ผมอดไม่ไ
วันต่อมาณ โรงแรมพาวิลงเลียน“อ้าวเกว” เสียงของรินณ์เอ่ยทักขึ้นทันทีที่รินณ์เดินเข้ามาในห้องพักพนักงาน ซึ่งมีฉันที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ววันนี้ฉันตั้งใจออกจากห้องมาแต่เช้า เช้าถึงขนาดที่คุณคิมหันต์ยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ “ไงรินณ์”“ทำไมมาเช้าจังอ่ะ วันนี้เกวเข้างานกะบ่ายไม่ใช่เหรอ?”“อ่อ เราแลกเวรกับพี่แอนอ่ะ พอดี…ตอนเย็นเรามีธุระต้องไปทำธน่ะ” ใช่แล้วล่ะ! จริงๆ วันนี้ฉันเข้างานกะบ่าย แต่ช่วงเย็นวันนี้ฉันมีที่ที่ต้องไปน่ะ เลยแลกเวรกับพี่แอนไว้“ไปไหนอ่ะ? หรือว่า…ไปเดทเหรอ?” รินณ์ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเดินเข้ามากระซิบใกล้ฉัน อะไรกัน? ยิ้มแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย?“ดะ เดทอะไรกันเล่า? ไม่ใช่ซะหน่อย” “เอ้า! ไม่ใช่หรอกเหรอ แต่เมื่อคืนเราเห็นน้า ผู้หญิงชุดฟ้าที่เดินควงแขนกับคุณคิมหันต์” รินณ์เข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนจะเขยิบมากระซิบข้างๆหู“นี่รินณ์เห็นด้วยเหรอ?0_0!” ฉันถึงกับเบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเมื่อคืนจะมีคนเห็นฉันกันคุณคิมหันต์ด้วย นี่ขนาดแอบย่องออกไปตอนไม่มีคนแล้วน่ะเนี่ย ยังมีคนเห็นอีกเหรอเนี่ย? “อื้ม เมื่อคืนเราอยู่ทำโอทีน่ะ”“นอกจากรินณ์แล้ว…”“ไม่ต้องห่วงหรอก เมื
“อื้มมม~” เสียงครวญครางของเราสองคนดังลั่นไปทั่วทั้งห้องพักของฉัน เพราะรสจูบที่ร้อนแรงเกินกว่าจะต้านทานของกันและกัน เรียวลิ้นที่สอดประสานกันไปมาของเราสองคน มันเต็มไปด้วยความรุ่มร้อน แต่ก็แฝงไปด้วยความปรารถนาที่เหลือล้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าริมฝีปากของคนตัวสูงยิ่งหอมหวานน่าช่วงชิมมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆหมับ!! ฉันเอื้อมมือออกไปค้วาท้ายทอยของคนตัวสูงเหนือร่างลงมากอดไว้แน่น เพื่อให้เราสองคนแลกเปลี่ยนรสจูบจากกันและกันได้แนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น“อื้อออ~” ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ต้องการสัมผัสจากคุณคิมหันต์ เขาเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกันกับฉัน ฉันส่งเสียงครวญครางผ่านลำคอออกมาด้วยความเสียวซ่าน เมื่อคนตัวสูงเลื่อนไล้มือหนาของตัวเอง ลงไปสัมผัสกับกลีบกุหลาบที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงนอนของฉัน ในขณะที่ปากของเขาก็ยังคงดูดเม้ม ช่วงชิมรสหวานจากปากของฉันอย่างไม่ลดละ“อื้อ!!~” ฉันเริ่มจะทนกับความเสียวซ่านที่ถูกกระตุ้นทั้งช่วงบน และช่วงล่างไม่ไหวแล้ว จนต้องส่งเสียงร้องประท้วงผ่านลำคอออกมาเพื่อให้เขาปล่อยส่วนใดส่วนหนึ่งซะที ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวจนขาดใจตายไปซะก่อน“อึก!
หลังจากที่คุณคิมหันต์บุกเข้ามาหาถึงห้อง แล้วขอนอนค้างด้วย ตอนนี้เขา…กำลังนอนอยู่บนเตียงข้างๆฉันถึงแม้ว่าคุณคิมหันต์จะนอนก่ายหน้าผากอยูข้างฉัน แต่เขากลับไม่เอ่ยปากคุยอะไรกับฉันต่อเลยแม้แต่คำเดียวนี่เขา…กำลังไม่พอใจฉันอยูแน่ๆเลย“คุณคิมหันต์ หลับรึยังคะ?” ฉันรู้ว่าเขายังไม่หลับแน่ๆ“หลับแล้ว” หลับแล้วเขาจะตอบฉันได้ยังไงล่ะ?“คุณ…โกรธเกวเหรอคะ?”“…” สิ้นสุดคำถามของฉัน ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากคนข้างๆอีกเลย“เกวขอโทษนะคะ ที่ทิ้งคุณไว้ที่ร้านอาหารคนเดียว”“…” คราวนี้ก็ยังเงียบเหมือนเดิม“เกวแค่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริงน่ะค่ะ”“เกวลิน…”“คะ?”“รู้ใช่มั้ย…ว่าฉันรักเธอ?” คุณคิมหันต์ที่เอาแต่หลับตาในตอนแรก ตอนนี้เขากลับลืมตาหันมามองฉันที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยแววตาที่อ่อนโยน“…รู้ค่ะ” ฉันจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา พลางเอ่ยคำตอบที่รู้ดีอยู่แก่ใจออกไปอย่างลึกซึ้ง“แล้วเธอล่ะ?” คำถามที่คาดไม่ถึงจากคนตัวสูงตรงหน้า ทำฉันอึ้งจนอ้าปากค้าง ทำไมเขาถึงถามแบบนี้ออกมาได้“รักสิคะ เกวรักคุณมากๆค่ะ”“ถ้างั้น…อย่าทิ้งฉันไปอีกได้มั้ยเกว?” คำถามที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือของคนตรงหน้า บวกกับ