ในนครพิงค์อันงดงาม... โชคชะตานำพาให้ "แก้วกัลยา" หญิงสาวผู้มีจิตใจงดงาม ต้องมาพัวพันกับสองหนุ่มผู้สูงศักดิ์อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง หนึ่งคือ หม่อมราชวงศ์รวิ ผู้สูงศักดิ์ เพียบพร้อม และมอบความรักอันลึกซึ้ง อีกหนึ่งคือ เจ้าศิริวัฒน์ คู่หมั้นที่เหมาะสม แต่หัวใจกลับห่างไกล ท่ามกลางข่าวลือที่มุ่งร้าย แผนการร้ายที่ซ่อนเงื่อน และความรู้สึกที่ยากจะหักห้าม... แก้วกัลยาจะเลือกใคร? และความลับเบื้องหลังบุพเพสันนิวาสครั้งนี้จะนำพาเธอไปสู่โชคชะตาเช่นไร?
더 보기นครเชียงใหม่ในยามสายของฤดูร้อน แสงแดดสีทองสาดส่องลงมากระทบเรือนไม้สักหลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้นานาพันธุ์ กลิ่นหอมหวานของดอกจำปีและดอกแก้วลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ บ่งบอกถึงความพิถีพิถันในการดูแลของผู้เป็นเจ้าของเรือน
ภายในห้องเรือนอันโอ่โถง “แก้วกัลยา” ธิดาคนเดียวของ “พ่อเลี้ยงอินถา” คหบดีผู้ร่ำรวยแห่งเมืองเชียงใหม่ กำลังนั่งปักผ้าไหมลายดอกพิกุลอย่างประณีต นิ้วเรียวเล็กขยับเข็มขึ้นลงอย่างชำนาญ ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใส แม้ในวัยเพียงสิบแปดปี แก้วกัลยาก็มีรูปโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือ ผิวขาวผ่องราวกลีบดอกบัวแรกแย้ม ผมดำขลับยาวสลวยถึงกลางหลังถูกเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อย ประดับด้วยปิ่นทองลายก้านแย่ง ทว่าภายใต้ความงามสง่า กลับซ่อนไว้ซึ่งความรู้สึกอึดอัดและขมขื่น แก้วกัลยากำลังจะถูกคลุมถุงชนให้แต่งงานกับ “เจ้าศิริวัฒน์” บุตรชายของเจ้าเมืองผู้มีอำนาจ แม้เจ้าศิริวัฒน์จะเป็นชายหนุ่มรูปงาม ฐานะดี และเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง แต่ในหัวใจของแก้วกัลยากลับไม่ได้รู้สึกยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้เลย เธอปรารถนาความรักที่เกิดจากความรู้สึกของคนสองคน มิใช่การผูกพันด้วยผลประโยชน์หรือฐานันดร “แม่แก้ว... ปักผ้าเสร็จหรือยังลูก?” เสียงทุ้มนุ่มของพ่อเลี้ยงอินทาดังขึ้นจากหน้าประตู แก้วกัลยารีบเงยหน้าขึ้น ยกมือไหว้ผู้เป็นบิดาด้วยรอยยิ้มที่ฝืนเจื่อน “ยังเจ้าค่ะพ่อ” พ่อเลี้ยงอินทาก้าวเข้ามาในห้อง มองบุตรีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ “ใกล้ถึงวันหมั้นหมายของลูกแล้วนะ เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้าง” คำพูดของผู้เป็นบิดาทำให้ความรู้สึกหน่วงในอกของแก้วกัลยาเพิ่มมากขึ้น เธอพยักหน้ารับเบา ๆ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป “พ่อรู้ว่าลูกอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับคุณเจ้า...” พ่อเลี้ยงอินทาทอดเสียงอ่อนลง “แต่พ่อเชื่อว่าเมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ความรักความผูกพันจะค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเอง” แก้วกัลยารู้ดีว่าบิดาหวังดีและต้องการให้เธอมีชีวิตที่สุขสบาย แต่ในใจลึก ๆ เธอกลับโหยหาความรักที่แท้จริง รักที่ทำให้หัวใจเต้นแรงเพียงแค่ได้สบตา ในวันต่อมา แก้วกัลยาตัดสินใจขออนุญาตบิดาไปยังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เพื่อทำบุญและขอพรให้จิตใจสงบลง เธอมาพร้อมกับ “ป้าเมี้ยน” หญิงวัยกลางคนที่คอยดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก บรรยากาศภายในวัดยังคงร่มเย็นและเงียบสงบ แก้วกัลยาเดินชมความงามของสถาปัตยกรรมล้านนาอย่างช้า ๆ ความวิจิตรงดงามของลายแกะสลักบนไม้และปูนปั้นช่วยให้จิตใจของเธอสงบลงได้บ้าง ขณะที่แก้วกัลยากำลังจะเข้าไปกราบพระประธาน เธอก็ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหลัง “ขออภัยขอรับ...” แก้วกัลยาหันกลับไปมอง พบกับชายหนุ่มรูปงามในชุดข้าราชการ สวมหมวกทรงประพาส ใบหน้าคมสัน ดวงตาคมกริบแต่ทว่าอบอุ่น กำลังยืนอยู่ด้านหลังเธอ “มิเป็นไรเจ้าค่ะ” แก้วกัลยารีบตอบกลับด้วยความสุภาพ ชายหนุ่มผู้นั้นส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ “กระผม หม่อมราชวงศ์รวิ... เพิ่งเดินทางมาจากบางกอก” หัวใจของแก้วกัลยากระตุกวูบอย่างประหลาดเมื่อได้สบตากับเขา รอยยิ้มของหม่อมราชวงศ์รวิราวกับแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาในความมืดมิดในใจของเธอ “ดิฉัน แก้วกัลยาเจ้าค่ะ” เธอแนะนำตัวเองเสียงแผ่ว การพบกันครั้งแรกใต้ร่มเงาของพระวิหารในวัดศักดิ์สิทธิ์แห่งนครพิงค์ ราวกับบุพเพสันนิวาสที่ชักนำให้คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้มาพบเจอกัน ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในหัวใจของทั้งคู่... ความรู้สึกที่แสนจะอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดกาลเวลาล่วงเลยผ่านไป ความรักและความผูกพันของแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิยังคงเบ่งบานและหยั่งรากลึกในหัวใจของลูกหลาน พวกเขาได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นที่รักของคนรอบข้าง เรื่องราวความรักของทั้งสองกลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่นในนครพิงค์ในวัยชรา แก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิยังคงอยู่เคียงข้างกันและกัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความรักและความเข้าใจของพวกเขาก็ไม่เคยจางหาย ทั้งสองใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความสงบสุข มองดูลูกหลานเติบโตและสร้างครอบครัวของตนเองวันหนึ่ง ในยามเช้าที่อากาศสดใส แก้วกัลยานั่งอยู่บนเก้าอี้หวายในสวน มองดูดอกไม้ที่ยังคงเบ่งบานงดงาม หม่อมราชวงศ์รวิเดินเข้ามานั่งเคียงข้างเธอ จับมือของเธออย่างอ่อนโยน“วันนี้อากาศดีจริง ๆ นะครับ” หม่อมราชวงศ์รวิกล่าวด้วยรอยยิ้มแก้วกัลยามองตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ค่ะ ทุกวันที่ได้อยู่กับท่านก็เป็นวันที่ดีเสมอ”ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันอย่างเงียบ ๆ สูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ และฟังเสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว ความเงียบนั้นไม่ได้น่าอึดอัด แต่กลับเต็มไปด้วยความเข้าใจและความผูกพันที่ลึกซึ้ง“ท่านยังจำวันที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหมคะ?” แก้วกัลยาเ
กาลเวลาผันผ่านไป บุตรชายและบุตรสาวของแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มสาว พวกเขาได้รับการสั่งสอนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม และมีความรักใคร่ในครอบครัว เฉกเช่นที่บิดามารดาเคยปฏิบัติบุตรชายคนโตของพวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความมุ่งมั่น เขาได้รับการศึกษาอย่างดีและได้ช่วยแบ่งเบาภาระของหม่อมราชวงศ์รวิในการบริหารจัดการกิจการต่าง ๆ ในเมืองส่วนบุตรสาวคนเล็กก็มีความงดงามและมีจิตใจโอบอ้อมอารี เธอได้รับการอบรมให้เป็นกุลสตรีที่ดี และเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในครอบครัวแก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิมองดูลูก ๆ เติบโตด้วยความภาคภูมิใจ ความสุขของพวกเขาทวีคูณยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นลูก ๆ มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตพ่อเลี้ยงอินทาและมารดาของแก้วกัลยาก็แก่ชราลง แต่ท่านทั้งสองก็ยังคงแข็งแรงและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลาน ความรักและความอบอุ่นในครอบครัวยังคงเหนียวแน่นเจ้าสรุศักดิ์ยังคงเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว เขามักจะมาเยี่ยมเยียนและเล่นกับหลาน ๆ เป็นประจำ แม้จะไม่ได้มีครอบครัวเป็นของตนเอง แต่เขาก็มีความสุขที่ได้เห็นความสุขของเพื่อนวันหนึ่ง แก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวินั่งอยู่ด้วยกัน
ภายหลังจากพิธีแต่งงานครั้งที่สอง แก้วกัลยาและหม่อมราชวงศ์รวิก็ได้เริ่มต้นชีวิตคู่ร่วมกันอย่างแท้จริง เรือนของพ่อเลี้ยงอินทาอบอวลไปด้วยความรักและความสุข แก้วกัลยาปรับตัวเข้ากับการเป็นภรรยาได้อย่างราบรื่น เธอเรียนรู้การดูแลเรือนและการจัดการต่าง ๆ จากป้าเมี้ยน และได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากหม่อมราชวงศ์รวิเป็นอย่างดีหม่อมราชวงศ์รวิยังคงปฏิบัติราชการด้วยความซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง เขาให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และมักจะหาเวลาอยู่กับแก้วกัลยาเสมอทั้งสองใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นในสวน การอ่านหนังสือ การสนทนา หรือการไปเยี่ยมเยียนญาติมิตร ความรักและความเข้าใจของพวกเขายิ่งแน่นแฟ้นขึ้นในทุก ๆ วันพ่อเลี้ยงอินทาและมารดาของแก้วกัลยามีความสุขที่ได้เห็นลูกสาวมีความสุข ท่านทั้งสองเอ็นดูหม่อมราชวงศ์รวิเหมือนลูกชายแท้ ๆ และมักจะให้คำแนะนำและช่วยเหลือทั้งสองเสมอเจ้าสรุศักดิ์เองก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของทั้งคู่ เขามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนและร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเสมอ แม้ในใจลึก ๆ จะยังคงมีความรู้สึกบางอย่าง แต่เขาก็เลือกที่จะยินดีกับความสุขของเพื่อนกาลเวลาผ่
ข่าวการจับกุมแม่หญิงเดือนฉายได้ถูกส่งไปถึงแก้วกัลยาที่บ้านเดิมของเธอ ป้าเมี้ยนเป็นคนนำข่าวดีนี้ไปบอก เมื่อแก้วกัลยาทราบว่าอันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว ความรู้สึกโล่งใจก็ท่วมท้นหัวใจ เธอรู้ว่าหม่อมราชวงศ์รวิได้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอในจดหมายที่หม่อมราชวงศ์รวิส่งมาพร้อมกับข่าวนี้ เขาได้เขียนถึงความรักและความคิดถึงที่มีต่อเธออย่างลึกซึ้ง และขอให้เธอกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันอีกครั้งเมื่ออ่านจดหมายจบ แก้วกัลยารู้สึกอบอุ่นหัวใจ เธอรู้ว่าที่ที่เธอควรอยู่คือข้างกายหม่อมราชวงศ์รวิ เธอตัดสินใจที่จะกลับไปหาเขาในทันทีแก้วกัลยาเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว และร่ำลาพ่อเลี้ยงและมารดาด้วยความรัก ท่านทั้งสองดีใจที่เห็นแก้วกัลยาตัดสินใจเช่นนั้น และอวยพรให้เธอมีความสุขกับหม่อมราชวงศ์รวิการเดินทางกลับมายังเรือนของพ่อเลี้ยงอินทาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื้นตัน เมื่อรถม้ามาถึงหน้าเรือน แก้วกัลยารีบลงจากรถและมองไปยังเรือนที่คุ้นเคย หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความคิดถึงหม่อมราชวงศ์รวิที่รอคอยการกลับมาของเธออยู่แล้ว รีบออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรัก เมื่อทั้งสองได้พบกัน พวกเขาก็โผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่น ค
ภายหลังจากที่หม่อมราชวงศ์รวิและเจ้าสรุศักดิ์วางแผนการอย่างรอบคอบ พวกเขาก็เริ่มดำเนินการตามล่าแม่หญิงเดือนฉายอย่างเงียบ ๆ พวกเขาสืบหาเบาะแสจากคนรู้จักและแหล่งข่าวต่าง ๆ จนในที่สุดก็ทราบว่าแม่หญิงเดือนฉายได้หลบซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมร้างนอกเมืองหม่อมราชวงศ์รวิและเจ้าสรุศักดิ์นำกำลังคนจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังกระท่อมร้างแห่งนั้นในคืนหนึ่ง แสงจันทร์ส่องสว่างพอให้เห็นทาง แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบสงัดและน่าหวาดหวั่นเมื่อไปถึงกระท่อม หม่อมราชวงศ์รวิสั่งให้คนล้อมกระท่อมไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้แม่หญิงเดือนฉายหลบหนีไปได้“ระวังตัวด้วยนะครับท่านหม่อมราชวงศ์” เจ้าสรุศักดิ์กระซิบเตือนหม่อมราชวงศ์รวิพยักหน้า เขาเดินนำหน้าเข้าไปในกระท่อมอย่างระมัดระวัง ภายในกระท่อมมืดสนิท แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของใครบางคน“ออกมาเถิดแม่หญิงเดือนฉาย เรารู้ว่าท่านอยู่ในนี้” หม่อมราชวงศ์รวิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นความเงียบปกคลุมอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เสียงหัวเราะเยาะจะดังขึ้นจากมุมมืด“เก่งนี่ท่านหม่อมราชวงศ์ ตามหาฉันจนเจอ” เสียงของแม่หญิงเดือนฉายดังขึ้นจากเงามืด แม่หญิงเดือนฉายปรากฏตัวออกมา เธอมีสีหน้าที่บิดเบี้ย
แม้จะรู้สึกเจ็บปวดกับการจากลาของแก้วกัลยา แต่หม่อมราชวงศ์รวิก็ไม่ยอมแพ้โดยง่ายดาย เขารู้ดีว่าการตัดสินใจของแก้วกัลยามาจากความหวาดกลัวและความปรารถนาที่จะปกป้องเขา เขาเชื่อมั่นในความรักที่พวกเขามีให้กัน และไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงเช่นนี้ตลอดหลายวันที่แก้วกัลยาไม่อยู่ หม่อมราชวงศ์รวิใช้เวลาทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เขาคิดถึงความสุขที่เคยมีร่วมกัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความผูกพันที่ลึกซึ้ง เขาไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีแก้วกัลยาได้หม่อมราชวงศ์รวิตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้ความหวาดกลัวมาพรากคนรักของเขาไป เขาจะหาทางพิสูจน์ให้แก้วกัลยาเห็นว่าเข้มแข็งพอที่จะปกป้องเธอได้ และความรักของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าความแค้นของแม่หญิงเดือนฉายหม่อมราชวงศ์รวิเริ่มวางแผนบางอย่าง เขารู้ว่าแม่หญิงเดือนฉายยังคงเป็นภัยคุกคาม และตราบใดที่เธอยังไม่ถูกจัดการ ทุกคนก็ยังคงไม่ปลอดภัยเขาได้ปรึกษากับเจ้าสรุศักดิ์ถึงเรื่องนี้ เจ้าสรุศักดิ์เองก็เห็นด้วยว่าพวกเขาไม่ควรปล่อยให้แม่หญิงเดือนฉายลอยนวล“เราต้องหาทางจับตัวแม่หญิงเดือนฉายให้ได้” หม่อมราชวงศ์รวิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่“ท่านมีแผนอย่างไรห
댓글