อัจจิมาทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นไม้บาเก้ในห้องนอน ปล่อยน้ำตาที่อัดแน่นในอกให้ไหลทะลักออกมากับความไม่ยุติธรรมของชีวิต
จู่ ๆ เธอก็กลายเป็นคนตกงาน เงินเก็บก่อนสุดท้ายหมดไปกับการชดใช้บุญคุณที่ไม่รู้จะจบสิ้นวันไหน
มือทั้งสองกุมใบหน้าที่เปียกชุ่ม แม้จะถูกปัญหารุมเร้าหนักแต่เธอก็ต้องกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นของตัวเองดังออกไปข้างนอก ถ้าตอนนี้ ‘บังอร’ แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ หากประสิทธิ์ไม่พาเพ็ญพักตร์เข้ามาอยู่ในบ้าน
ชีวิตของเธอจะดีกว่านี้ไหม สวรรค์ต้องทดสอบเธออีกสักแค่ไหน ความสุขเลือนรางถึงจะมากองอยู่ตรงหน้า
ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความทุกข์ในใจได้ไม่นาน อัจจิมาก็ต้องดึงสติให้กลับมา ไม่มีประโยชน์อันใดที่เธอจะมัวมาอ่อนแอ เรียกร้องหาความยุติธรรมหรือความใจดีจากฟ้าจากสวรรค์ที่ไหน
ร่างบางพยุงตัวเองให้ลุกยืนใช้หลังมือปาดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ เข้าไปอาบน้ำชำระล้างให้เนื้อตัวสะอาดสดชื่น เมื่อเธอยังต้องออกไปรับบททดสอบของชีวิต
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเร่งรีบอัจจิมาจึงไม่ได้พิถีพิถันในการอาบน้ำ ร่างบางที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวมัดอกนั่งลงหน้ากระจกได้ก็จัดการใช้ไดร์ผมให้แห้ง ก่อนจะเขียนคิ้วทาปากแค่พอดูได้ เสร็จแล้วก็ถอดชุดสวยออกมาจากไม้แขวน
เดรสสั้นสายเดี่ยวรูดข้างสีชมพูนู้ดอยู่บนร่างผอมเพรียวได้อย่างน่าค้นหา แต่เพราะเธอต้องนั่งแท็กซี่ออกไปทำงานเลยจำเป็นต้องสวมทับด้วยเสื้อคลุมความยาวเลยเข่าอีกชั้นหนึ่งเพื่อความปลอดภัย
เรียบร้อยแล้วอัจจิมาก็ลงมาข้างล่าง เห็นประสิทธิ์กับเพ็ญพักตร์กำลังดูละครทีวีด้วยกัน
ตั้งใจจะเดินผ่านไปเฉย ๆ แต่ถูกผู้เป็นพ่อเอ่ยทัก
“จะไปทำงานแล้วเหรอ” ความจริงประสิทธิ์ไม่ได้เห็นด้วยที่เธอทำงานกลางคืน แต่พ่ออย่างเขาจะทัดทานอะไรได้ ที่ลูกต้องลำบากทำงานแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงสาเหตุก็มาจากตนเองทั้งสิ้น
“แหม…คุณ ถามอะไรแบบนั้น ที่ทุกวันนี้ลูกคุณมีเงินทองให้คุณใช้ก็เพราะไปทำงานขาย…ทำงานที่ให้พวกผู้ชายมันลูบๆ คลำๆ” ถ้าไม่ติดว่าประสิทธิ์นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยคำว่า ขายตัว ก็คงจะหลุดออกมาจากปากของเพ็ญพักตร์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเสื้อผ้าที่อัจจิมาใส่ออกจากบ้านเวลานี้ทุกวัน มันคงจะวัดคุณค่าในตัวเธอไปแล้ว
“รู้สึกว่าน้าเพ็ญจะรู้ดีจังเลยนะคะ เหมือนไปทำเองเลย”
“หมายความว่าไง” เพ็ญพักตร์จ้องหน้าเธอด้วยจนลูกตาแทบถลนออกมา
“หนูก็พูดไปงั้นแหละอย่าใส่ใจเลยค่ะ” พูดจบก็เดินก้นบิดออกจากบ้านไป ปล่อยให้เพ็ญพักตร์ได้แต่เก็บคำพูดกำกวมเหล่านั้นมาคิด
หรืออัจจิมาจะไปรู้อะไรมา?
เวลาต่อมาร่างเพรียวบางสวมชุดเดรสสั้นก้าวลงจากแท็กซี่เขียวเหลืองในเวลาหนึ่งทุ่ม เธอหลบเลี่ยงผู้คนเพื่อเดินไปเข้าประตูด้านหลังของไนต์คลับหรูซึ่งเป็นทางเข้าออกเฉพาะพนักงาน
หลายเดือนก่อนเพื่อนสนิทของเธอแนะนำงานหนึ่งให้ งานซึ่งต้องใช้หน้าตาหากิน กล้าพูดกล้าคุย ชอบสังสรรค์เข้าสังคมเก่ง เมื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถเหล่านี้
‘เด็กเอนฯ’ จึงเป็นงานเสริมที่อัจจิมาทำมาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ ‘ฟาวเวอร์ ไนต์คลับ’ แห่งนี้
‘งานเอนเตอร์เทน’ มีหลายระดับขั้น ตั้งแต่นั่งคุยเป็นเพื่อนแขก ทำหน้าที่คอยชงเหล้า ตลอดจนดูหนังทานข้าว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังจัดบริการไว้แก่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม อย่างกิจกรรม ‘ปาร์ตี้ริมสระ’
คนที่รับงานนี้แต่งกายด้วยชุดบิกินีล่อแหลมเพื่อปลุกใจเสือป่า คอยเทคแคร์นั่งดื่มกินเป็นเพื่อน รวมถึงลงไปบริการในสระตามแต่ที่ลูกค้าต้องการ
แต่หากเป็นสถานที่รโหฐาน ‘บางครั้ง’ อาจมีการใช้สารเสพติดร่วมด้วย
คนส่วนใหญ่รู้เพียงว่า’ อาชีพเอนเตอร์เทน’ เป็นงานที่ให้ลูกค้าถึงเนื้อถึงตัวได้
แต่ถ้าพูดถึงระดับการบริการสูงสุดของงานด้านนี้ คงจะเป็นการที่ สาวหรือหนุ่ม’ เอนฯ’ ให้บริการลูกค้าถึงบนเตียง
ซึ่งเรทราคาหรือที่เรียกว่า ‘บัดเจ็ท’ แต่ละระดับสามารถบ่งบอกถึงลักษณะงานได้เป็นอย่างดี
ไนต์คลับที่อัจจิมาทำงานอยู่เป็นสถานบันเทิงหรูทั่วไป เพียงแต่มีออฟชั่นเสริมเพื่อรองรับลูกค้าอีกกลุ่มที่ต้องการมาหาความสุขใส่ตัว
มีบริการให้เลือกถึงสองระดับ โดยเรียกกันในนั้นว่าเป็นแบบ ‘solf กับ power ‘
Solf ประเภทนั่งคุยเป็นเพื่อน เอาใจลูกค้า ดูแลเรื่องเครื่องดื่ม ถูกเนื้อต้องตัว กอดหอม และยังมีหน้าที่เชียร์ให้ลูกค้าสั่งเครื่องดื่มให้มากที่สุด
ส่วน Power มีขอบเขตการให้บริการเหมือนกับ Solf เพียงแต่จะไปจบงานกันที่เตียง แน่นอนว่าค่าบริการย่อมสูงกว่า
ถึงแม้ว่าเงินจะสำคัญกับชีวิตแต่ที่ผ่านมาอัจจิมาก็เลือกรับงานแบบ solf เท่านั้น
ไม่มีใครอยากทำงานที่คนอื่นดูถูก หากแต่ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ งานไหนที่ทำแล้วได้เงินเธอก็พร้อมพุ่งเข้าใส่ เพราะความจนมันน่ากลัว
ลูกค้าของ ‘ฟาวเวอร์ ไนต์คลับ’ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจประปรายด้วยดาราและเหล่าไฮโซ
แต่ก็นั่นแหละ คนที่มาเที่ยวสถานบันเทิงประเภทนี้ก็มักจะเพื่อหาความสุขทั้งนั้น หน้าที่เชียร์เครื่องดื่มจึงพ่วงมาด้วยการเอาอกเอาใจแบบถึงเนื้อถึงตัว
โดยเนื้องานลูกค้าไม่มีความผิด แต่ละวันเธอจึงต้องคอยเอาตัวรอดจากพวกผู้ชายมากตัณหา อาศัยประสบการณ์บ้าง ใช้มารยาหญิงก็บ่อยครั้ง
--------------------
ช่วงแรกบทนางเอกจะเยอะนิสนุง อีกนิดดด คุณหมอก็จะออกโรงแล้ว
ดีไม่ดี อาจจะมาเพื่อประกาศตัดลูกชายออกจากกองมรดกต่อหน้าทุกคนความเงียบเข้าปกคลุมในงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้แต่เสียงเพลงรักหวานซึ้งของนักร้องชื่อดังยังต้องหยุดเอาไว้เมื่อพ่อกับลูกเผชิญหน้ากันพิธารู้ว่าในใจของอัจจิมาตอนนี้รู้สึกอย่างไร กับการที่พ่อของเขามางานทั้งที่ไม่ยอมรับเธอเป็นสะใภ้ของวงศ์ตระกูล เขาจึงเอื้อมมือไปกุมมือเธอ สายตาสื่อความหมายลึกซึ้งต่อให้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เขาก็จะแต่งงานกับเธอและจะไม่ยอมปล่อยมือนี้ไปเด็ดขาดให้ความมั่นใจกับเธอแล้วเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับคุณนิพนธ์อีกครั้งผู้ใหญ่ในงานคนหนึ่งซึ่งสนิทกับคุณนิพนธ์พอสมควรตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะเพื่อจะเข้าไปช่วยพูดไม่ให้คนเป็นพ่อทำเสียฤกษ์หรือพูดอะไรที่จะเป็นการหักหาญน้ำใจเจ้าบ่าวเจ้าสาวผู้ใหญ่คนดังกล่าวไม่ทันจะได้พูดอะไร อดีตนายแพทย์นิพนธ์ก็ยกมือขึ้นห้าม สายตามองไปยังเวที บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันใด“แกแต่งงานแต่ไม่คิดจะเชิญฉัน ยังเห็นฉันเป็นพ่ออยู่ไหม” แม้จะฟังดูเป็นการต่อว่าต่อขาน หากแต่ทุกคนก็มองออกว่าคุณนิพนธ์ไม่ได้จะมาพังงานแต่งลูกชายอย่างที่พากันกังวล หรือกระทำการใดที่บ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงา
ในที่สุดความอดทนในการเฝ้ารอให้ถึงวันที่เขาจะได้แต่งงานกับอัจจิมาก็จบลง เมื่อฤกษ์มงคลที่ประสิทธิ์ได้มาจากหลวงพ่อวัดดังย่านหนึ่งแล้วก็ขอให้เขารอมาอีกสามเดือน ในที่สุดก็ถึงวันนี้แล้วขณะที่แขกเหรื่อกำลังทยอยกันมาร่วมงาน บ่าวสาวยังอยู่บนห้องรับรอง อัจจิมาที่ตื่นแต่เช้ามืดถูกช่างแต่งหน้าชื่อดังทั้งหมดสามคนรุมแปลงโฉมเป็นเจ้าสาว ด้านเจ้าบ่าวแต่งตัวอยู่อีกห้องหนึ่งชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวเรียบหรูยืนรออยู่หน้ากระจกบานใหญ่เกือบเท่าความสูงของชายหนุ่ม สายตาคมปลาบมองสำรวจตัวเองทุกกระเบียดนิ้ว จัดเนกไทเส้นแพงหลายครั้ง ไม่ยอมให้มีจุดไหนบกพร่องเล็ดลอดสายตา เมื่อวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา“มึงจะดูอะไรนักหนาวะ” เห็นเพื่อนพิถีพิถันกับการแต่งตัวแล้วเคืองลูกกะตาหมอธนาจึงแซวขึ้น พลอยให้ช่างแต่งหน้าสาวสวยมองแล้วยิ้มตาม“มึงไม่เคยแต่งงานมึงไม่รู้หรอก” อยากอ้าปากเถียงให้หายหมั่นไส้ในความขี้อวด แต่หนุ่มมาดเจ้าชู้ก็ดันเถียงไม่ออก เจ้าบ่าวสายเห่อเดินไปหย่อนกายลงบนโซฟาอย่างคนอารมณ์ดี หลังจากตรวจทานความเรียบร้อยของตัวเองจนพอใจแล้ว“เชิญมึงแต่งไปคนเดียวเหอะ ส่วนกูขออยู่เป็นโสดแบบนี้ดีกว่า” คนนั่งไขว่ห้างกร
“เร็วสิ ภิมน้อยมันอยากให้คุณสัมผัสจะแย่แล้ว” ช้อนตามองบอกเสียงนุ่มปนแหบพร่าเมื่อเห็นคนตัวเล็กเอาแต่แกล้งให้เขาทรมาน“แบบนี้ไม่น้อยแล้วค่ะ” อัจจิมาพูดเย้าหยอกหากก็เป็นความจริง ก่อนจะหลุบตาลงมองแผ่นท้องเครียดครัดด้วยมัดกล้ามของคุณหมอเห็นไรขนสีเข้มประปรายเลื้อยต่ำลงไปในขอบกางเกง แล้วจัดการถอดหัวเข็มขัดเส้นแพงออก นิ้วเนียนนุ่มเลื่อนลงไปปลดตะขอทันทีกางเกงเนื้อดีเลื่อนลงจากสะโพกเพรียวตามด้วยบ็อกเซอร์ตัวเล็ก เผยให้เห็นลำเอ็นอวบใหญ่ที่เริ่มจะแข็งขึงขึ้นมาจนน่ากลัวแม้จะยังขยายขนาดไม่เต็มที่เธอลูบไล้เนื้อตัวของเขาโดยปราศจากความเหนียมอาย มือเล็กนุ่มเคลื่อนต่ำลงไปจนถึงกึ่งกลางกาย คว้าจับท่อนเนื้อแข็งร้อนเอาไว้แล้วรูดรึงลำเอ็นขึ้นลงจนมันโป่งพองขยายขนาด รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดขรุขระที่ปูดโปนบนลำยาวเขากดไหล่เธอให้นั่งลงบนขอบอ่างด้านหลังโดยที่เขายังอยู่ในท่ายืน มือข้างหนึ่งกุมมือเธอรอบท่อนเนื้ออวบใหญ่ของตนเอง อีกข้างรวบกำเส้นผมยาวสลวย ตรึงเธอไว้ให้มั่น ก่อนที่มือข้างหนึ่งนั้นจะเคลื่อนต่ำลงไปหาจุดอ่อนไหวของเธอนิ้วเรียวยาวเสียดสีกับยอดเกสร ส่งกระแสซาบซ่านไปทั่วร่างกาย หญิงสาวรู้สึกถึงความฉ่ำชื้นที่ซ
หลังจากผลการตรวจแน่ชัดว่าอัจจิมาตั้งครรภ์ พิธาก็ขออนุญาตประสิทธิ์ให้เธอมาอยู่ที่เพ้นท์เฮาส์ในช่วงนี้เพื่อที่เขาจะได้สะดวกในการดูแลเธอเริ่มต้นเดือนแห่งความรักท้องฟ้าแจ่มใสตลอดทั้งวัน อัจจิมาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเธอก็หันไปมองข้างกาย กลับพบแต่ร่องรอยที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนนี้มีคนนอนอยู่ด้วยอัจจิมาลุกขึ้นจากเตียงหนานุ่ม เปิดประตูออกไปจากห้อง พลันได้กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก ชวนให้คนเพิ่งตื่นนอนรู้สึกหิวขึ้นมาทันที และเมื่อเดินเข้าไปใกล้กับส่วนของเคาน์เตอร์ เธอก็เห็นใครบางคนกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเช้าพิธาอยู่ในชุดไปรเวทสบาย ๆ หากก็ยังดูดี เขาผูกกันเปื้อนสีน้ำตาลเข้ม ท่าทางดูคล่องแคล่ว เห็นแล้วอัจจิมาก็อดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้าเธอไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอจะมีคนตื่นมาทำกับข้าวให้ทาน แถมเขายังตื่นนอนก่อนเธอทุกวันแม้ว่าจะเลิกงานกลับมาดึกดื่น และพิธาก็ปฏิบัติกับเธอแบบนี้ตั้งแต่วันที่สารภาพความรู้สึกอัจจิมาค่อย ๆ ย่องเข้าไปด้านหลังของชายหนุ่ม สวมกอดเขาไว้เพียงหลวม ๆ แหงนหน้าขึ้นไปถามคนตัวสูง “ทำอะไรกินคะ หอมจัง”“ข้าวต้มหมู คุณหิ
สองเดือนต่อมาอัจจิมาไม่ได้ไปทำงานเพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย เมื่อวานที่บริษัทก็หน้ามืดไปครั้งหนึ่ง วันนี้เจ้านายเลยอนุญาตให้เธอหยุดพักผ่อนอยู่บ้าน“ไปหาหมอหน่อยไหม จะได้รู้ว่าเป็นอะไร” ประสิทธิ์เห็นลูกไม่ได้ไปทำงานก็อดเป็นห่วงไม่ได้“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูซื้อยามากินแล้ว นอนพักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” เจ้าของใบหน้าอ่อนเพลียเอ่ยตอบผู้เป็นพ่อก่อนจะนั่งลงทานข้าวต้มร้อน ๆ ที่ประสิทธิ์เพิ่งจะยกออกมาให้“คงไม่ใช่ว่าท้องหรอกนะ” เพ็ญพักตร์พูดขึ้นลอย ๆ แต่มันก็ทำให้เธอฉุกคิด…ช่วงนี้ที่บริษัทงานยุ่ง บางวันอัจจิมาถึงกับต้องเอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน เธอจึงลืมไปเสียสนิทว่าเดือนนี้ประจำเดือนยังไม่มา แต่นอกจากอาการหน้ามืดซึ่งเธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอก็ไม่มีอาการอื่นประสิทธิ์มองหน้าหญิงสาว จะว่าไปแล้วสมัยที่บังอรตั้งท้องเธอก็หน้ามืดแบบนี้“ไปโรง’บาลเถอะ เป็นอะไรจะได้รู้”“ไปก็ไปค่ะ แต่วันหลังนะคะ วันนี้หนูไปไม่ไหว”“แล้วทำไมไม่ให้คุณหมอมารับล่ะ” สองสัปดาห์ให้หลังมานี้อัจจิมากลับมานอนที่บ้านทุกวัน อีกทั้งยังไม่เห็นพิธาขับรถมาส่งลูกเหมือนช่วงแรก ๆ ประสิทธิ์จึงถามไถ่ถึงว่าที่ลูกเขย“ช่วงนี้เขางานยุ
ร่างบางในชุดนอนตัวโคร่งขดอยู่ใต้ผ้าห่มกำลังหลับสนิท ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาในห้องกลางดึก ผ้าห่มหนานุ่มถูกดึงเลื่อนลงจากตัวทีละน้อยหญิงสาวขดตัวเข้าหันกันเมื่อผิวเนื้อปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ฝ่ามือเรียวยาวของชายหนุ่มกุมเท้านุ่มนิ่มข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ลูบคลำขึ้นมาถึงปลีน่องนวลเนียน ปลายนิ้วลูบโลมสูงขึ้นไปจนถึงด้านในขาอ่อนใต้ร่มผ้า ลากไล้เนินเนื้อที่กึ่งกลางกายสาวผ่านชุดนอน ‘ไม่ได้นอน’ สุดวาบหวิวที่อัจจิมาเพิ่งจะถอยมาวันนี้ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อคนหลับตาอยู่ส่งเสียงงึมงำออกมา “อื้ออ”“ไหนว่าจะรอผมไง” เสียงทุ้มดังขึ้นที่ริมหู อัจจิมาลืมตาขึ้นในความมืดสลัว มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก หากก็รู้ว่าเจ้าของมือซุกซนคือเจ้าของหัวใจและร่างกายของเธอ“กี่โมงแล้วคะ”“ตีหนึ่ง” เขากระซิบข้างหูพลางรู้สึกผิดขึ้นมาที่บอกให้เธอรอแต่ตัวเองดันกลับดึกเพราะมีเคสผ่าตัดเร่งด่วนเข้ามา แถมการผ่าตัดใหญ่ยังลากยาวกว่ากำหนด ขนาดว่าเขารีบบึ่งรถกลับมาแล้วอัจจิมายันตัวลุกขึ้นนั่ง พิธาโน้มศีรษะซุกหน้าลงกับเรือนผมสีน้ำตาลประกายทอง กลิ่นโรงพยาบาลคละเคล้ากับกลิ่นโคโลญจน์จากตัวชายหนุ่ม เธ