ชีหยวนมองเซียวอวิ๋นถิงด้วยสีหน้าสลับซับซ้อนขณะเดียวกัน ที่อารามไป๋อวิ๋น ฮ่องเต้หย่งชางก็กำลังช่วยเซียวโม่คัดเมล็ดถั่วอยู่ถั่วเขียว ถั่วแดง และถั่วดำปะปนกันอยู่ในตะกร้าสาน ต้องแยกตามสีแล้วใส่ในตะกร้าแต่ละใบเซียวโม่คัดทีละเม็ด เขานับได้ถึงแค่ยี่สิบ จากนั้นก็ต้องเริ่มนับใหม่แต่เขากลับมีความอดทนอย่างยิ่ง ไม่รู้สึกว่ารำคาญใจแม้แต่น้อยฮ่องเต้หย่งชางทอดพระเนตรพระชายาหลิ่วด้วยความแปลกใจ “เขานิ่งได้นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”“ถ้านิ่งไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า?” พระชายาหลิ่วหัวเราะเยาะตนเองเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “พวกเราถูกไล่ล่า เขาจึงส่งเสียงดังไม่ได้ ยิ่งไม่อาจออกไปข้างนอกได้ตามใจ ฉะนั้นจึงต้องมีอะไรสักอย่างเพื่อฝึกความอดทนของเขา”สิ่งที่ตอนนี้ดูเหมือนจะง่ายดายนั้น คือสิ่งที่นางทุ่มเทเวลาไปมากกว่าจะฝึกให้เขาทำได้ฮ่องเต้หย่งชางพลันเงียบไปโชคดีที่ในตอนนั้น ขันทีเซี่ยก้าวเข้ามาจากด้านนอก รายงานเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท องครักษ์เสื้อแพรที่ประจำการฝั่งตะวันตกเกิดปัญหา ทำให้คนของลัทธิปทุมพิสุทธิ์กลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งแฝงตัวขึ้นเขามาได้พ่ะย่ะค่ะ”การเสด็จของฮ่องเต้หย่งชางล้วนอยู่ในการดู
ทันทีที่เสิ่นเจียหล่างเริ่มไอ ชีหยวนที่ไม่ค่อยเผยอารมณ์ให้ใครเห็น น้ำเสียงกลับสั่นเครือเล็กน้อย นางเอื้อมมือไปปัดเศษดินจากปากและใบหน้าของเสิ่นเจียหล่างออก พลางเอ่ยเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “ขอโทษ ขอโทษ”เสิ่นเจียหล่างกำหมัดแน่น เงยหน้ามองชีหยวนด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย น้ำเสียงสั่นเครือไม่ต่างกัน แต่ยังคงเอ่ยตอบชีหยวนอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าไม่ร้องไห้ ข้ากลั้นไว้แล้ว! ข้ารู้ว่าพี่สาวจะต้องมาช่วยข้า ข้าไม่ร้องไห้!”ตอนที่เขารอให้แม่กลับมารับ เขาไม่ร้องไห้ตอนที่ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในโลงจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เขาก็ยังไม่ร้องไห้เด็กคนนี้ เหมือนกับนางยามเยาว์วัยไม่มีผิดตอนเด็กนางตกลงไปในแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยงูเขียวเพราะพลาดขณะตัดฟืน ปฏิกิริยาแรกไม่ใช่การร้องไห้ แต่เป็นการคว้ากิ่งไม้ไว้แน่น ฝืนความเจ็บปีนขึ้นหน้าผาไปชีหยวนอยากจะร้องไห้เหลือเกิน แต่สุดท้ายนางก็ไม่ร้องแม้แต่น้ำตาหยดเดียวก็ไม่อยากหลั่ง ใครที่ทำร้ายคนของนาง ผู้นั้นสมควรตายผู่อู๋ย่งตายไปแล้ว แต่เรื่องครั้งนี้ ไม่มีทางไม่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงเป่าหรงและอ๋องฉีผู่อู๋ย่งกลัวว่าฉือซานจะไม่มีคนอยู่ในปรโลกด้วยมิใช่หรือ?นางก็จะส่งเพื่อนลง
ท้ายที่สุดแล้ว ฉือซานก็เคยเป็นใหญ่ที่นี่มานานกว่าสิบปี ที่นี่แทบจะเป็นรังแสนสุขของเขาเลยก็ว่าได้อีกทั้งฉือซานก็ตายที่นี่ ผู่อู๋ย่งย่อมต้องอยากให้ศพของฉือซานฝังไว้ที่นี่เขาเอ่ยข้อสันนิษฐานของตนออกมาชีหยวนพยักหน้า เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของเซียวอวิ๋นถิงทว่าใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงกลับดูไม่สู้ดีนัก เขากล่าวว่า “ค้นทั่วทุกแห่งแล้ว ไม่พบว่าที่ใดมีร่องรอยการขุดดินเลย...”หากยังค้นหาแบบนี้ต่อไป คนที่ถูกฝังทั้งเป็นในโลงศพ เกรงว่าคงจะสิ้นลมหายใจเขาเริ่มวิตก และก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อยในตอนนั้นชีหยวนได้ส่งองครักษ์ของตระกูลชีไปที่เรือนพักนอกเมืองแล้วเขาเองยังนึกว่าหากผู่อู๋ย่งจะลงมือ ก็ต้องเล็งไปที่คนในครอบครัวของชีหยวนใครจะรู้ว่าเป้าหมายที่ผู่อู๋ย่งเลือก กลับกลายเป็นจวนพักนอกเมืองกำลังคนแตกต่างกันลิบลับ เรื่องนี้จึงแทบจะไร้หนทางรับมือจู่ ๆ ชีหยวนก็พลันนึกถึงกลิ่นที่แขนเสื้อของผู่อู๋ย่งยามที่นางลงมือสังหารเขาเป็นกลิ่นหอมของไม้กฤษณาชั้นดีผสานกับกลิ่นดอกเหมยนางเองก็เคยได้กลิ่นนี้จากตัวของฉือซานมาก่อนฉือซาน!นางหันไปมองเซียวอวิ๋นถิงทันที “ข้างหลังเรือนของฉือซาน มีสวนดอกเหม
ชีหยวนรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่งแล้วนางยกมือกุมบ่าที่ถูกพันแผลไว้เรียบร้อยแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงปาเป่าดังมาจากฝั่งตรงข้ามว่า “อย่ามัวมองเลยคุณหนูใหญ่ชี ที่นี่ก็คือวัดว่านอันที่ท่านจุดไฟเผาไปนั่นแหละ ท่านอ๋องของข้าพาท่านมา”ชีหยวนเม้มริมฝีปากแน่นความจริงตอนนั้นนางไม่จำเป็นต้องสลบไป ด้วยความแข็งแกร่งของนาง หากต้องการจะทำอะไรก็ฝืนไว้ในอึดใจเดียวได้เสมอแต่นางไม่อยากพัวพันกับเซียวอวิ๋นถิงอีกต่อไปนางรู้ถึงความรู้สึกและการทุ่มเทของเซียวอวิ๋นถิง แต่นางจะไม่เอาทั้งชีวิตของตัวเองมาเดิมพันว่าในชาตินี้ ระหว่างนางกับเฝิงไฉ่เวยเขาจะเลือกใครกันแน่การรักใครสักคนก็เหมือนการเดิมพัน เอาความรัก ความรู้สึก และความจริงใจทั้งหมดของตนลงไปวางเดิมพัน หวังให้เขาตอบแทนด้วยความรักในระดับเดียวกันหรืออย่างน้อยก็ยืนยาวเท่ากันยิ่งวางเดิมพันมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่อยากถอนตัวเท่านั้นอย่าพูดเรื่องไม่หวังสิ่งตอบแทนเลย คนที่ขึ้นโต๊ะพนัน ไม่มีใครอยากกลับออกไปมือเปล่าหรอกนางไม่เคยพนัน ไม่เคยคาดหวัง ก็เลยไม่เคยผิดหวังนางเลิกคิ้วมองไปทางปาเป่า “พิษของข้าถอนแล้วหรือ?”ปาเป่าถึงกับร
แม้จะเป็นชีวิตก็ตาม ชีหยวนขยับริมฝีปากเล็กน้อย นางย่อมรู้ดีว่าความจริงใจล้ำค่าเพียงใด และมิใช่ว่าไม่มีหัวใจ ทว่าในชาติก่อน หนึ่งวันก่อนที่เฝิงไฉ่เวยจะกลายเป็นพระชายาของเขา เขาเพิ่งจะให้คำมั่นสัญญากับนาง ว่าจะให้สกุลเซี่ยรับนางเป็นบุตรบุญธรรม และจากนั้นจะมาสู่ขอนางอย่างเปิดเผย นางมิได้เคลือบแคลงความจริงใจของเซียวอวิ๋นถิงในยามนี้ หากแต่คำสัญญาของเขาเมื่อปะทะกับเฝิงไฉ่เวยแล้วความหมายก็เปลี่ยนไปทันที และนางก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกหวั่นไหวกับ แต่เพราะเรื่องของเฝิงไฉ่เวย นางใช่ว่าต้องอภัยเซียวอวิ๋นถิงเพียงหนึ่งครั้งแล้วหยุด แต่ทุกหนึ่งครั้งที่คิดถึงขึ้นมาก็ต้องให้อภัยอีกหนึ่งครั้ง เหนื่อยเกินไปแล้ว กับเรื่องอื่นนางอาจจะยอมทุ่มเทได้ทุกอย่างโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่เรื่องความรัก นางปรารถนาจะเป็นคนที่ถูกรักและถูกเลือกอย่างมั่นคงไม่แปรเปลี่ยนเท่านั้น ยิ่งไปนั้นก็ต้องยอมรับว่า บางครั้ง การสูญเสียเป็นสิ่งที่มั่นคงยิ่งกว่าการได้ครอบครองเสียอีก นางเหลือบสายตามองเซียวอวิ๋นถิง สายตาคู่นั้นชัดเจนว่าเย็นชา ทว่ามันกลับคล้ายว่าแฝงไว้ด้วยพายุลูกใหญ่ ในที่สุดพายุลูกนี้ก็สงบลง ชีหยวนเพีย
สิ่งนี้องค์หญิงเป่าหรงให้เขาไว้ บอกว่าขอมาจากอ๋องฉี เป็นอาวุธคมที่ใช้สังหารคนในระยะประชิด ในตอนประชิดตัวคู่ต่อสู้ถือว่าใช้งานได้ดีกว่าปืนไฟเสียอีก หนนี้เขาเตรียมตัวอย่างพร้อมพรัก สวะไร้ประโยชน์พวกนี้พึ่งพาไม่ได้ เขาก็ต้องลงมือด้วยตนเอง จะต้องทำให้ชีหยวนตายให้ได้! ทว่าเขายังไม่ทันได้ลงมือ เซียวอวิ๋นถิงเตะเข้ากลางหลังของเขาจากด้านหลังอย่างเต็มแรงแล้ว ทำให้ร่างของเขาล้มถลาไปด้านหน้า ชีหยวนฉวยโอกาสเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ทันใดนั้นกริชที่อยู่ในแขนเสื้อด้านซ้ายก็ไหลออกมา นางข่มความเจ็บปวดเอาไว้และใช้มือขวาเอื้อมไปกระชากเส้นผมของผู่อู๋ย่ง ก่อนจะใช้มือด้านซ้ายแทงกริชเข้าไปที่ลำคอของผู่อู๋ย่ง ทันใดนั้นโลหิตสีแดงสดก็ทะลักพุ่งพรวด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนผู่อู๋ย่งยังมีสติ เขาเบิกตากว้างจ้องมองชีหยวนอย่างไม่อยากเชื่อ เขาคิดไม่ตก ในเมื่อชีหยวนแสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงพวกเด็ก ๆ ในเรือนพักต่างเมืองนั่น แต่เหตุใดยังลงมือสังหารเขาอีก? เหตุใดนางจึงไม่ถามถึงที่อยู่ของพวกเขา? ราวกับรู้ข้อสงสัยในใจของเขา ชีหยวนโน้มตัวเข้ามามองเขา ก่อนจะกระตุกมุมปากขึ้นอย่างเยือกเย็น “ผู่กงกง ท่านต้อ
เซียวอวิ๋นถิงก็สบโอกาสนี้ล้วงอาวุธลับออกมาด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะแทงเข้ากลางหลังม้าทันที ผู่อู๋ย่งฝืนอยู่บนหลังม้าไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ร่วงลงมาบนพื้น ทันใดนั้นก็เจ็บจนต้องแยกเขี้ยวใบหน้าเหยเก มาถึงตำแหน่งระดับอย่างเขา ความจริงช่วงเวลาที่น่าอัปยศเช่นนี้แทบจะมิได้ประสบพบเจอแล้ว เขาโกรธจนแทบคลั่ง ทันใดก็รีบเหนี่ยวไกอาวุธในมือไปยังจุดที่เคยมีคบไฟอยู่ กิ่งไม้หลายกิ่งถูกยิง ฉับพลันทันใดก็ร่วงหล่นลงพื้นเป็นวงกว้าง เซียวอวิ๋นถิงรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปเสี้ยวขณะ เขาตะโกนเสียงดังออกมา “ชีหยวน!” ในฐานะพระนัดดารัชทายาท เขาย่อมรู้ดีถึงความร้ายกาจของปืนไฟที่กรมโยธาผลิตขึ้น แม้ไกลร้อยหลายังสามารถเอาชีวิตคนได้ เหมือนกับดอกไม้ไฟที่สามารถพุ่งไปได้ทุกทิศทาง หากโดนเข้า เบาที่สุดยังต้องมีรูทะลุ “ข้าไม่เป็นไร!” ชีหยวนตอบกลับคำหนึ่ง ก่อนจะเงียบไปทันที ผู่อู๋ย่งโกรธจนเสียสติไปแล้ว องครักษ์เสื้อแพรด้านหน้ากำลังถอยร่นภายใต้การตีวงล้อมของทหารเต๋า มีคนล้มตายไปไม่น้อยแล้ว คิดใคร่ครวญนับหมื่นนับพันครั้ง ก็คือไม่ถึงว่าเซียวอวิ๋นถิงจะกล้าเดิมพันชีวิตในเวลาแบบนี้ แม้แต่ตัวเขาเองยังได้รับบาดเจ็บด้
ขันทีใหญ่ข้างพระวรกายฝ่าบาท หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพร ย่อมเชี่ยวชาญการทะลวงจิตใจผู้คนได้อย่างคล่องแคล่วง่ายดาย เซียวอวิ๋นถิงกังวลบาดแผลของชีหยวน จึงดึงรั้งนางไว้สุดชีวิต “ตั้งสติ บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงหน้า!” ชีหยวนกุมไหล่ตนเองไว้ ทันใดนั้นก็ยิ้มใส่ผู่อู๋ย่งอย่างไม่ใส่ใจ “ผู่กงกง ท่านก็ดูฉลาดปราดเปรื่อง เหตุใดถึงได้เอาแต่ทำเรื่องโง่เง่าอยู่ตลอด?” “หลานชายไร้ประโยชน์คนนั้นของท่าน ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็โดนข้าแทงตายในหนึ่งกระบวน แม้แต่โอกาสร้องขอความช่วยเหลือยังไม่มีด้วยซ้ำ เหตุใดท่านถึงได้คิดว่าหากข้าตายไปแล้ว คนอย่างเขาจะสามารถจัดการข้าได้อีก?” พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าของผู่อู๋ย่งพลันเปลี่ยนไปทันที ชีหยวนกลับแค่นหัวเราะเสียงเย็นเยียบอยู่ในใจ สงครามประสาทหรือ ใครเล่าจะเล่นไม่เป็น? เรื่องอื่นนางอาจจะไม่ถนัดนัก แต่เรื่องฆ่าคนทำลายใจกลับเป็นสิ่งที่ทำบ่อยที่สุดและเชี่ยวชาญที่สุด ผู่อู๋ย่งมองนางด้วยสายตาอำมหิต “ไว้เจ้าตายก่อนเถิด ข้าย่อมมีวิธีให้เจ้าว่านอนสอนง่ายแน่!” “อาจจะไม่เสมอไปกระมัง?” ชีหยวนผุดยิ้มอย่างดูแคลน “หากว่าพวกภิกษุนักพรตเหล่านั้นมีฝีมือดีขนาดนั้นจริง
ผู่อู๋ย่งไม่มีเวลาสนใจความเป็นความตายขององครักษ์เสื้อแพรคนนี้ ทว่าใบหน้าของเขาในยามนี้กลับปรากฏความตื่นตะลึงอึ้งงันอย่างใหญ่หลวง นัยน์ตาจ้องเขม็งมองเซียวอวิ๋นถิงที่เพิ่งลงมือเมื่อครู่ ก่อนจะส่งเสียงเดาะลิ้นอย่างเยือกเย็น “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็พระราชนัดดาองค์โตเองหรือ!” เดิมทีเขาโปรดปรานการปัดแป้งบนใบหน้าอยู่แล้ว ดวงหน้าขาวซีดไร้สีเลือดยิ่งดูน่ากลัวด้วยสีหน้าอำมหิตวิตถารของเขายิ่งในยามค่ำคืนยิ่งคล้ายดูผีดุตนหนึ่ง ราวกับเป็นปีศาจที่พร้อมจะอ้าปากเขมือบคนได้ทุกเมื่อ เขาหัวเราะเสียงดังสนั่น ชัดเจนว่าเมื่อครู่ตอนที่องครักษ์เสื้อแพรกำลังโรมรันกับชีหยวนอย่างดุเดือดไม่ยอมเลิกรา โทสะของเขายังคงเดือดพล่านดังอสนีบาต ทว่าตอนนี้พอเห็นเซียวอวิ๋นถิงเข้าร่วมในสมรภูมิด้วยแล้ว เขาเหมือนได้เจอเรื่องที่ชวนให้เบิกบานใจมากกว่าแล้ว พระราชนัดดาพระองค์นี้ที่ต่อหน้าดูไร้พิษสงต่อทั้งคนและสัตว์ พระราชนัดดาพระองค์นี้ที่ปากเอาแต่อ้างว่าร่างกายอ่อนแอ จึงต้องอาศัยอยู่บนเขาเหมาซานนานสิบกว่าปี ที่แท้แล้วมีฝีมือโดดเด่นไม่ธรรมดาเพียงนี้เชียวหรือ ไม่ ประเด็นสำคัญที่สุด คือเขายอมทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อชีหยวน!