เซียวจิ่งจาวดูราวกับว่าถูกบีบบังคับจนหมดหนทาง พูดด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นและโกรธเคืองว่า: “เสด็จย่า เมื่อเดือนก่อน หลานได้รับบัญชาจากเสด็จพ่อให้ไปเยี่ยมท่านลุงทวด เกิดหลงใหลในชั่วขณะ จึงเผลอทำจี้หยกประจำตัวของหลานหล่นไว้”เขารู้ดี หากไม่พูดให้มีเหตุมีผล ฮองเฮาเฝิงจะต้องคิดไปในทางร้ายแน่นอนไม่แน่ว่าอาจจะโยงเรื่องที่หลี่ฉางชิงสมคบกับเฝิงไฉ่เวยมาใส่ความเขาด้วยถึงเวลานั้น ผลที่ตามมาย่อมเลวร้ายยิ่งกว่าคำพูดของเขาตอนนี้หลายเท่านักเขากลั้นทั้งความอัปยศและหงุดหงิดภายในใจ ก้มศีรษะลงกราบแทบเท้าฮองเฮาเฝิงไม่หยุด “เสด็จย่า ทั้งหมดเป็นความผิดของหลานเอง หลานสมควรตาย! หลานสมควรตายหมื่นครั้ง!”ฮองเฮาเฝิงถอนหายใจอย่างแรง ก่อนจะตวัดสายตาไปมองเฝิงไฉ่เวยอย่างฉับพลันนางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า เฝิงไฉ่เวยในปากเอาแต่ร่ำร้องจะเป็นพระชายารัชทายาท แต่ลับหลังกลับไปมีสัมพันธ์กับเซียวจิ่งจาวเฝิงไฉ่เวยเสียสติไปแล้วหรือไร?!นางมองเฝิงไฉ่เวยด้วยสายตาเย็นยะเยือก “เจ้าคิดหรือว่า ทำเช่นนี้แล้วจะรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้?”ในเมื่อเรื่องราวได้เปิดเผยจนหมดสิ้นแล้ว เฝิงไฉ่เวยก็ไม่คิดจะเสแสร้งอีกตอนนี้นางเพิ่งเข้าใ
ฮองเฮาเฝิงรู้สึกราวกับว่าตนจับต้องได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่างที่สำคัญยิ่ง ทว่ากลับรู้สึกสับสนยิ่งกว่าเดิมพระนางขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อสกุลเฝิงอย่างล้นเหลือแล้ว พระราชทานอนุญาตให้กลับเข้าเมืองหลวงได้ก็ถือเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างสูงยิ่ง หม่อมฉันบังอาจเอ่ยเพียงว่า บรรดาเด็กในตระกูลของหม่อมฉันบัดนี้มีคุณสมบัติดีบ้างไม่เอาไหนบ้าง เกรงว่าคงไม่อาจจะมีใครเหมาะสมจะเป็นพระชายาอีกคนได้แล้วเพคะ…...”ตามปกติแล้ว ตอนนี้เซียวจิ่งจาวยังเป็นเพียงแค่จวิ้นอ๋องเท่านั้นแต่เมื่อถึงวันที่รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ย่อมจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ชินอ๋องแก่เซียวจิ่งจาวย่อม จากนั้นก็ส่งเขาไปครองเมืองตามเขตปกครองของเขาเช่นนั้นเฝิงไฉ่เวยก็ย่อมมีฐานะเป็นพระชายาอ๋องในอนาคตฮองเฮาหรงที่กล่าวเช่นนั้น จึงไม่ถือว่าผิดนักเฝิงไฉ่เวก้มหน้าต่ำ ท่าทางเชื่อฟังใสซื่อไร้เดียงสาบริสุทธิ์ไร้พิษภัยขณะที่เซียวจิ่งจาวกลับไร้อารมณ์ใดๆ บนใบหน้า ไม่อาจอ่านความคิดในใจเขาได้เลยฮ่องเต้หย่งชางเมื่อเห็นฮองเฮาเฝิงปฏิเสธ ก็เข้าใจไปว่านางคงถูกปีเดือนที่ผ่านมาหล่อหลอมเสียจนไร้ความแข็งกร้าวในจิตใจไปเสียแล้วจึงตรัสพลางหั
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาตามเอาผิดใคร เฝิงไฉ่เวยอยู่ในวัง ไม่ว่านางจะทำอะไรขึ้นมา ก็อาจทำให้ตระกูลเฝิงพังพินาศจนไม่อาจกอบกู้ และยังอาจทำให้ฮองเฮาเฝิงพังพินาศไปด้วย จะอย่างไรนางก็ยังเป็นคนตระกูลเฝิง!ฮองเฮาเฝิงเหลือบตามองเฝิงอวี้จางอย่างไม่พอใจ แล้วสั่งขันทีคนสนิทเสียงเฉียบ “รีบไปตามหา! ห้ามเอ็ดตะโรให้คนอื่นรู้ จงพานางกลับมาที่ตำหนักของข้า!”ขันทีรีบรับคำ แล้ววิ่งออกไปทันทีแต่คนที่ออกไปหายังไม่ทันกลับมา ขันทีเซี่ยคนสนิทของฮ่องเต้หย่งชางกลับมาเยือนก่อนพอพบฮองเฮาเฝิง ขันทีเซี่ยก็ก้มหน้าโค้งตัว “ฮองเฮา ฝ่าบาทเชิญพระองค์ไปพบพ่ะย่ะค่ะ”ไปตอนนี้หรือ?ฮองเฮาเฝิงตกใจเล็กน้อย แล้วก็อดคิดถึงเฝิงไฉ่เวยไม่ได้ จึงเกิดความไม่สบายใจขึ้นทันที “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเชิญข้าไปด้วยเหตุใดหรือ?”บนใบหน้าของขันทีเซี่ยมีรอยยิ้มบาง ๆ “ฮองเฮาไปถึงก็จะทราบเอง เรื่องของฝ่าบาท บ่าวมิกล้าก้าวก่าย”ตั้งแต่เกิดเรื่องของผู่อู๋ย่งขึ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ยิ่งมากด้วยความระแวงต่อคนรอบกายแม้แต่ขันทีเซี่ย ก็ยิ่งต้องระวังตัวมากกว่าเดิมฮองเฮาเฝิงสูดหายใจเข้าลึก ยักคิ้วขึ้นเล็กน้อยเอ่ยว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนเครื่องทรง แ
ปรมาจารย์จื่อหยางกลับหัวเราะเสียงดัง พลางลูบเคราของตนมองนักพรตน้อยแล้วถามว่า “สิ่งที่อาจารย์สอนเจ้าบ่อยที่สุดคืออะไร?”นักพรตน้อยเกาหัว “หนทางแห่งการบำเพ็ญตนอยู่ที่การปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามธรรมชาติ”“ใช่แล้ว ถ้าพูดให้หยาบกว่านั้นอีกหน่อย การบำเพ็ญตนของเราก็คือ จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า ถ้าไม่เชื่อก็ช่างมัน” ปรมาจารย์จื่อหยางมองเงาร่างในชุดแดงที่หายลับเข้าไปในเงาไม้แล้วหัวเราะ “และอีกอย่างก็คือ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องของข้า”ในมุมมองนี้ เด็กสาวคนนั้นกลับเป็นคนที่เหมาะกับการบำเพ็ญเซียนจริง ๆชีหยวนไม่เคยอยากเจอเซียวอวิ๋นถิงมากเท่านี้มาก่อนเลยเมื่อคิดถึงใครสักคน ก็ต้องวิ่งไปหานางลงจากเขาไปหาม้าของตน แล้วห้อตะบึงอาชาตรงสู่เมืองหลวงในเวลานั้นที่เมืองหลวง เฝิงอวี้จางมองฮองเฮาเฝิงด้วยใบหน้าซีดเผือด “ฮองเฮา เรื่องนี้...”สีหน้าฮองเฮาเฝิงก็ดูไม่ดีเช่นกัน แต่สิ่งที่นางรู้สึกมากกว่าคือความโกรธต่อคนตระกูลเฝิงนางเอ่ยถามตรง ๆ “ให้พวกเจ้าสั่งสอนบุตรหลานให้ดี ให้สั่งสอนไฉ่เวยให้ดี พวกเจ้าสั่งสอนจนเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?!”เฝิงไฉ่เวยนั้นเหลวไหลเกินไปจริง ๆไม่เพียงขาดความอ
ลมบนเขาจื่อหยางทั้งหนาวทั้งแรง ชีหยวนพักอยู่ที่นี่หนึ่งคืนพอเช้าวันถัดมา เมื่อนางตื่นขึ้น ปรมาจารย์จื่อหยางก็กำลังรำหมัดมวยอยู่บนยอดเขา เขาอายุมากแล้ว แต่เวลารำไทเก๊กกลับยังคงเปี่ยมพลัง แต่ละท่วงท่าดูสมบูรณ์แบบนักพอเห็นนางตื่น ปรมาจารย์จื่อหยางก็หยุดการฝึก แล้วยิ้มให้นาง “คุณหนูตื่นแล้วหรือ?”ชีหยวนมองไปยังหมู่เมฆที่กลิ้งคลื่นอยู่ใต้ภูเขาเงียบ ๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปาก “เมื่อคืนข้าฝันเรื่องหนึ่ง”ปรมาจารย์จื่อหยางยิ้ม เดินไปยังราวกั้น มองทะเลเมฆที่ลอยไหว และเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ยามเช้าที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าอย่างสบายใจ ก่อนถามขึ้น “ฝันว่าอะไรเล่า?”“ข้าฝันว่าตนเองไปอยู่ในพระราชวังที่โอ่อ่างดงาม ภายในวังเต็มไปด้วยเงาแสงสั่นไหว มีจอกสุราองุ่นเรืองแสง ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นล้วนเป็นคนที่ข้าเคยรู้จัก ข้าเดินเข้าไปเรียกพวกเขา แต่ไม่มีใครตอบรับเลยสักคน”ภาพในฝันยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำจนถึงตอนนี้สีหน้าของชีหยวนแสดงความเจ็บปวด นางหลับตาลง “จนเมื่อพวกเขาหันหน้ามา ข้าจึงพบว่าพวกเขากลายเป็นโครงกระดูกขาวโพลน กลายเป็นวิญญาณร้าย...”ปรมาจารย์จื่อหยางมองนางเงียบ ๆ“ต่อมา มีใครบางคนวิ่งเข
นางเดินไปตามทางบนภูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าข้างหน้าไม่มีทางอีกต่อไปแล้ว กลางหุบเขาซึ่งเชื่อมสองฟากไว้ กลับเป็นสะพานหินตามธรรมชาติสะพานหินนั้นแคบมาก มีแต่ตะไคร่น้ำขึ้นเขียวครึ้ม ดูแล้วเดินผ่านเพียงคนเดียวก็ยังยากนางนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อย ๆ ข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งของยอดเขา มีนักพรตน้อยร้องอุทานขึ้นว่า “โอ้ะ ท่านเดินช้า ๆ หน่อย ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?!”เสียงตะโกนนั้นทำให้คนในอารามเต๋าฝั่งตรงข้ามต้องแตกตื่น ไม่นานก็มีนักพรตน้อยสามสี่คนพากันออกมาดู ต่างก็เบิกตากว้างมองชีหยวนชีหยวนข้ามสะพานมาเรียบร้อยแล้วนักพรตน้อยเหล่านั้นต่างตะลึงงัน พวกเขาไม่ได้พบคนเก่งกล้าขนาดนี้มาหลายปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือนางเป็นสตรี!นางกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย เดินข้ามสะพานมาตรง ๆชีหยวนก้มหน้าลงมองพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องการพบปรมาจารย์จื่อหยาง”นักพรตน้อยถามนางด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านเป็นใคร?”“คนที่ต้องการพบเขา” ชีหยวนตอบสั้น ๆ ก่อนจะควักหยกชิ้นหนึ่งออกมายื่นให้พวกเขา “เขาเห็นแล้วก็จะเข้าใจเอง”นักพรตน้อยรับไปเพ่งดู แล้วมองนางอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย จากนั้นก็รีบวิ่งจากไปไม่นานนัก เขาก็วิ่ง