หยุนจิงนั่งอยู่บนเตียงมองรอบห้องด้วยความรู้สึกสับสน ดวงตาคู่น้อยกวาดมองเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งแกะสลักละเอียดที่แปลกตาไปจากทุกสิ่งที่เธอเคยเห็นในชีวิตจริง
ห้องนอนใหญ่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศโบราณและกลิ่นหอมจากไม้จันทร์ที่กำลังลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศทำให้เธอรู้สึกเหมือนหลุดมาอยู่ในฉากละครย้อนยุค
“มันจะต้องเป็นความฝันแน่ ๆ... แต่มันสมจริงเกินไปไหม” หยุนจิงพึมพำเบาๆ พร้อมหยิกแขนตัวเองจนรู้สึกเจ็บ “โอ๊ย! เจ็บนี่นา!”
“คุณหนู! เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้น” ไป่ซินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ขณะที่รีบวางอ่างน้ำและผ้าไว้ที่โต๊ะด้านข้าง
หยุนจิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของนาง หญิงวัยกลางคนในชุดสาวใช้ที่ดูสุภาพเรียบร้อย หยุนจิงพยายามเก็บสีหน้าเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถาม
“เอ่อ... ข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก” หยุนจิงตอบด้วยเสียงแผ่วเบา พยายามปรับตัวกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย เธอกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อคิดหาข้อแก้ตัว
“แค่...แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
ไป่ซินมองดูคุณหนูของนางอย่างสงสัยแต่ไม่กล้าถามมากความ นางหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาบิดเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้
“คุณหนูนอนพักก่อนเถอะนะเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวจะเช็ดหน้าให้” ไป่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขณะยกผ้าขึ้นเตรียมเช็ดใบหน้าของเด็กหญิง
หยุนจิงผงะหนีโดยไม่ตั้งใจ ความคิดตีกันยุ่งในหัว เธอไม่รู้จักคนตรงหน้าและยังไม่แน่ใจว่าเธอควรทำตัวอย่างไรให้ดูเหมือนคุณหนูตัวจริง
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าทำเองได้” หยุนจิงเอ่ยออกไปในที่สุด พลางยื่นมือไปรับผ้ามาเช็ดหน้ามาลูบตามกรอบหน้าด้วยตัวเอง
ไป่ซินมองคุณหนูของนางด้วยแววตาประหลาดใจแต่ก็ยิ้มรับ “หากคุณหนูไม่ต้องการให้บ่าวช่วย บ่าวก็ไม่บังคับเจ้าค่ะ แต่ถ้าคุณหนูต้องการอะไรอย่าลืมเรียกบ่าวนะเจ้าคะ”
หยุนจิงพยักหน้าเบา ๆ ขณะมองไป่ซินเดินกลับไปที่อ่างน้ำ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งแปลกและยากลำบาก
“คนพวกนี้...เป็นใครกันแน่ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” หยุนจิงคิดในใจขณะพยายามสงบสติอารมณ์ และเริ่มครุ่นคิดหาวิธีค้นหาความจริงในสถานการณ์ที่ดูเหมือนความฝันนี้
หยุนจิงระบายลมหายใจออกมาเพื่อคลายความอึดอัด ก่อนจะหันไปสำรวจรอบ ๆ ห้องนอนที่ตกแต่งด้วยข้าวของโบราณต่อ
มือของเธอลูบไปที่หัวเตียงไม้แกะสลักอย่างประณีต ก่อนจะมองไปทางโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกทองเหลืองตั้งอยู่และตู้เก็บของขนาดใหญ่ที่ประดับด้วยลวดลายดอกไม้อันอ่อนช้อยซึ่งเธอไม่รู้ว่าคือดอกอะไรแต่มันดูงดงามเป็นอย่างมาก
“ถ้าฉันยังฝันอยู่ ก็คงจะเป็นฝันที่สมจริงที่สุด...” เธอพึมพำกับตัวเอง หัวใจยังเต้นระรัวจากความสับสนที่ท่วมท้นอยู่ในอก ไป่ซินที่กำลังจัดของอยู่เงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของคุณหนูที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ
“คุณหนูเจ้าคะ หากไม่สบายใจเรื่องใดสามารถบอกกับบ่าวได้นะเจ้าคะ”
หยุนจิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งยิ้มออกไปให้นาง แม้ว่าเธอจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด แต่เธอก็เริ่มตระหนักว่า การทำตัวสงบและค่อย ๆ เก็บข้อมูลอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ข้าไม่เป็นไร แค่...รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย” หยุนจิงตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “ว่าแต่...ข้าควรเตรียมตัวทำอะไรวันนี้หรือไม่”
ไป่ซินเอียงคอเล็กน้อยพลางคิด ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณหนูเพิ่งจะฟื้นจากไข้ เพียงแค่นอนพักผ่อนก็พอเจ้าค่ะ ว่าแต่เหตุใดเถาจูยังไม่กลับมาอีก”
หยุนจิงเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ “เถาจู” ที่ไป่ซินเอ่ยถึง เธอพยายามคงท่าทีสงบและถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“เถาจูหรือ? นางเป็นใครกัน เอ่อแล้วเจ้ามีชื่อว่าอะไรด้วย”
ไป่ซินเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจก่อนจะตอบ
“คุณหนูลืมแล้วหรือเจ้าคะ เถาจูเป็นคนรับใช้คนสนิทของคุณหนู ปกติแล้วนางจะไม่ห่างจากคุณหนูเลย แต่เมื่อเช้าตอนคุณหนูเพิ่งฟื้นข้าสั่งให้นางไปตามฮูหยิน ส่วนบ่าวมีชื่อว่าไป่ซินเป็นแม่นมของคุณหนู แม้แต่เรื่องนี้คุณหนูก็ลืมหรือเจ้าคะ ไม่ได้การแล้วเห็นทีว่าข้าคงต้องออกไปเรียนฮูหยินด้วยตัวเอง”
หญิงวัยกลางคนรีบเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังทำให้หยุนจิงได้แต่มองแผ่นหลังของนางตาปริบ ๆ ในขณะที่นางกำลังยังคงสับสนอยู่หูของเจ้าตัวก็พลันได้ยินเสียงเอะอะจากทางด้านนอก ร่างเล็ก ๆ ของเธอสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ เสียงนั้นดูเหมือนเป็นการโต้เถียงกันระหว่างผู้คนหลายคนและท่าทางจะเป็นเรื่องไม่เล็ก
เธอรีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างระมัดระวัง แม้จะยังรู้สึกมึนหัวอยู่บ้างแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นกลับเอาชนะทุกอย่าง หยุนจิงเดินไปที่หน้าต่างเปิดม่านออกอย่างช้า ๆ และมองออกไปข้างนอก
ที่ลานด้านหน้าบริเวณสวนดอกไม้ คนหลายคนกำลังยืนออกันอยู่ ท่ามกลางพวกเขามีหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาจากความทรงจำเลือนรางของร่างเดิมกำลังยืนปกป้องเด็กหญิงร่างเล็กที่น่าจะอายุไล่เลี่ยกับเจ้าของร่างที่เธอเข้ามาสิง (แค่ก ๆ อาศัย)
“พี่หญิง ลูกของข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเยว่ฮวา (นามรองของนางเอก) นะเจ้าคะ” จงเสวี่ยเหม่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแต่ใบหน้าที่ดูหวาดกลัวกลับเผยแววเจ้าเล่ห์อย่างเห็นได้ชัดสำหรับผู้ที่สังเกตดี ๆ
เหม่ยจูมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงเฉียบขาดสวนกลับไปอย่างไม่ยินยอม
“ไม่ตั้งใจ? เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อคำพูดไร้ความจริงของเจ้าอีกหรือ! ลูกข้าเพิ่งฟื้นจากไข้หนักกลับถูกเจ้าลูกสารเลวของเจ้าผลักจนล้มไม่เป็นท่าจนหัวกระแทก แค่คำว่าไม่ตั้งใจจะชดใช้ได้อย่างนั้นรึ?”
จงเสวี่ยเหม่ยยกมือขึ้นปิดปากทำทีเหมือนสะอื้น “พี่หญิงอย่าได้พูดแรงถึงเพียงนั้น ลูกของข้ายังเด็ก นางอาจจะเล่นซนไปบ้างตามประสา แต่ไม่มีเจตนาทำร้ายเยว่ฮวาเลยจริง ๆ” น้ำเสียงของนางชวนให้ผู้ฟังคิดว่าเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง
“เล่นซน? ลูกของเจ้าแก่กว่าลูกของข้าสองปี” เหม่ยจูแค่นเสียงหัวเราะเยาะก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกของเจ้าเล่นซนจนข้าเกือบเสียลูกไป! และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าพยายามจะใช้ลูกของเจ้าเป็นข้ออ้าง! ในการกระทำความผิด”
เสียงของเหม่ยจูดึงดูดความสนใจของเหล่าคนรับใช้ที่อยู่ใกล้เคียง จงเสวี่ยเหม่ยเริ่มรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากทุกทิศทาง แต่นางยังคงรักษาท่าทีสงบไว้ พลางยิ้มแย้มแม้จะมีเหงื่อซึมเล็กน้อย
“พี่หญิง คิดไปเองหรือเปล่า?” นางเอ่ยเสียงเบาหวิว ทว่าคำพูดของนางกลับจุดประกายความโกรธในดวงตาของเหม่ยจู
“คิดไปเอง?” เหม่ยจูขยับเข้าไปใกล้พร้อมพูดอย่างดุดัน “ข้าคิดไปเองทุกครั้งที่ลูกของข้าต้องล้มป่วยหรือเลือดตกยางออกเพราะถูกลูกของเจ้ากระทำอย่างนั้นหรือ? อย่าคิดว่าข้าจะอดทนได้ตลอดไป!”
บรรยากาศรอบตัวเงียบงัน มีเพียงเสียงหายใจหนัก ๆ ของเหม่ยจูและเสียงลมหายใจที่พยายามอดกลั้นของผู้คนที่ยืนมองเหตุการณ์
หยุนจิงที่แอบฟังอยู่ด้านในรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันตึงเครียด เธอขมวดคิ้วแน่นพลางคิดว่า “แม่ของร่างนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้ เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจและความหนักแน่นของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“พอได้แล้ว! ข้าจะฟังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
เสียงของหลี่เจี้ยนเฉิงดังขึ้นพร้อมกับร่างของเขาที่ก้าวเข้ามากลางวงล้อมของผู้ชม สายตาของเขาแฝงไปด้วยความเย็นชาพลางกวาดมองทั้งเหม่ยจูและจงเสวี่ยเหม่ยอย่างพิจารณาราวกับต้องการให้ทั้งสองสงบลงด้วยแรงกดดันที่แผ่ออกมา
“เหตุใดจึงมีเสียงเอะอะในจวน? พวกเจ้าไม่เกรงใจข้าเลยหรืออย่างไร ไป๋เสวี่ย (นามรองของจงเสวี่ยเหม่ย) ไม่ใช่เจ้าให้ เหยียนเฉิง (นามรองของหลี่อี้เฉิน)ไปตามข้าเรื่องที่ถูกเหม่ยจูกล่าวหาว่าเจ้าขโมยของหรอกหรือ” น้ำเสียงของเขาต่ำลึกและเต็มไปด้วยอำนาจ มันจึงทำให้บรรยากาศดูอึดอัดยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าค่ะ ท่านพี่” จงเสวี่ยเหม่ยก้มหน้าลงเล็กน้อย ท่าทางเหมือนหวาดกลัวแต่แฝงไว้ด้วยความน้อยใจ “ข้าแค่ต้องการอธิบายความจริงให้ท่านฟังแต่ดูเหมือนว่าพี่หญิงจะเข้าใจข้าผิดเสียก่อน”
เหม่ยจูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับไม่ยอมลดราวาศอก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธแต่ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม
“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าใครจะเชื่อคำพูดของเจ้ากันแน่ เสวี่ยเหม่ย!”
หลี่เจี้ยนเฉิงยกมือขึ้นเพื่อหยุดการโต้เถียงของทั้งสอง “ข้าจะฟังคำอธิบายจากเจ้าทั้งคู่ และข้าจะเป็นผู้ตัดสินเองว่าใครผิดใครถูก”
หยุนจิงที่แอบฟังอยู่ภายในห้องรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นางพยายามเงี่ยหูฟังเพื่อจับความหมายของบทสนทนาที่ดุเดือดระหว่างผู้ใหญ่เหล่านี้
ก่อนที่ดวงตาของเธอจะสว่างวาบ “ทำไมชื่อคนเหล่านี้ถึงคุ้นหูฉันมากขนาดนี้ มะ..ไม่จริงหรอกใช่ไหม เรื่องที่คุยกับเหม่ยหลินเมื่อคืนจะเกิดขึ้นได้ยังไง” หยุนจิงพึมพำด้วยใบหน้าซีดเผือด
ในตอนนี้เธอกำลังทำการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ถึงสิ่งที่รู้เห็นกับตาของตัวเองและผลสรุปที่ได้นั้นก็คือเธอได้หลงข้ามยุคผ่านกาลเวลามาอยู่ในนิยายเรื่องพยัคฆ์ล่มราชวงศ์ในยุคของฮั่นอู่ตี้เข้าให้แล้ว
การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ
ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ
พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม
ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่
หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม