หลินฉิงอันที่ไม่ได้คิดมากกับการเดินทางไกลครั้งแรกในภพนี้ของนาง นางปล่อยให้ซูเซียนเป็นคนเก็บเสื้อผ้า เครื่องประดับของนาง ส่วนตนเองนั้นกลับไปตรวจสอบดูสมุดจดที่นางเตรียมจะถวายฎีกาให้กับฮ่องเต้หลังจากไปถึงเมืองหลวงเท่านั้น หลินฉิงอันกลัวว่าจะหลงลืมเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติมที่นางอยากเสนอให้ฝ่าบาททรงพิจารณา เนื่องจากนางไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จะเกิดภัยแล้ง ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่เคยเกิดภัยแล้งขึ้นก็ตาม แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ หลินฉิงอันจึงคิดจะเสนอเรื่องนี้ขึ้นไป ส่วนพื้นที่ชายทะเลที่ท่านปู่บอกจะพานางอ้อมไปดูนั้นก็นับเป็นเรื่องที่ดี นางได้ยินท่านปู่บอกมาว่าที่นั่นมีเรือของต่างชาติมาจอดบ่อยๆ บางทีนางอาจจะได้เมล็ดพันธุ์พืชที่ปลูกง่ายและให้ผลผลิตสูงสำหรับชาวบ้านก็เป็นได้ หลินฉิงอันได้แต่หวังว่าการเดินทางครั้งนี้นางจะสามารถพัฒนาการเกษตรให้กับชาวบ้านระหว่างทางได้บ้างไม่มากก็น้อย
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ตอนนี้ขบวนรถม้าทั้งหมด 10 คัน ต่างจอดรอให้นายท่านทั้งหลายขึ้นรถได้แล้ว โดยเหิงอันโหวจะเป็นคนนั่งในรถม้าคันแรก ส่วนรถม้าคั
เหิงอันโหวมองหยกสลับกับหลินฉางหยูอยู่นานจนกระทั่งเขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“ข้ารู้จักคนที่หยกเช่นเจ้าอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะเชื่อใจข้าหรือไม่ ฉางหยู”หลินฉางหยูเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน เหตุใดเขาจึงไม่นำหยกมาให้ท่านผู้อาวุโสดูแต่แรก ไม่เช่นนั้นเขาคงได้มีเวลาออกตามหาครอบครัวของตนก่อนจะเดินทางพาลูก ๆ ไปสอบที่เมืองหลวงแล้ว“จริงหรือขอรับท่านผู้อาวุโส? ท่านรู้จักครอบครัวข้าจริงหรือขอรับ?”“แน่นอนว่าข้ารู้จักดีเสียด้วย พวกเราเคยร่วมรบกันมาในศึกชายแดนตะวันตกเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยนั้นแคว้นของเราต่างถูกรุกรานจากแคว้นรอบข้างอยู่เนือง ๆ ข้ากับบุตรชายและลูกสะใภ้จำเป็นจะต้องออกศึกแยกกัน ข้าไปที่ด่านคุนหมิง ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ของข้านั้นไปที่ด่านต้าหลี่ทางชายแดนใต้ ส่วนชายแดนเหนือในตอนนั้นเป็นฮ่องเต้ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานพาทหารไปต้านข้าศึกด้วยพระองค์เองในสมัยนั้น โดยมีไท่ฝูเป็นกุนซือให้กับฝ
สายวันต่อมา เหิงอันโหวให้คนไปตามเจ้าเมืองฉวนมาที่จวนเพื่อพาหลินฉิงอันไปตรวจสอบสภาพพื้นที่ภายในเมืองชายทะเลแห่งนี้ เพื่อที่นางจะได้เขียนรายงานการพัฒนาและปรับปรุงอาชีพให้กับชาวบ้าน“คารวะท่านโหวและท่านที่ปรึกษาขอรับ” เจ้าเมืองฉวนมาถึงแล้วจึงรีบทำความเคารพพวกเขาที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ว่าวันนี้หลินฉิงอันอยากดูสิ่งใดในเมืองบ้าง“เจ้าตามสบายเถอะ ฉิงอัน หลานต้องการทราบสิ่งใดเพื่อพัฒนาเมืองแห่งนี้ก็บอกกับเจ้าเมืองฉวนไปนะ ปู่จะไปดูแลฉิงเฉิงกับฉิงหยางก่อน ให้ซงหยางติดตามเจ้าไปแทนจ้าวหลงด้วยล่ะ ซงหยางมีฝีมือมากกว่าจ้าวหลง หากมีใครกล้ารังแกเจ้าเขาจะได้ช่วยจัดการเสีย”“ขอบคุณท่านปู่เจ้าค่ะ ให้พี่ชายซงหยางรอสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ข้าขอสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพของชาวเมืองที่นี่กับท่านเจ้าเมืองก่อนเจ้าค่ะ”“อืม… เจ้าทำตามที่ต้องการเถอะ ปู่รู้ดีว่าเจ้าต้องการพัฒนาบ้านเมืองมากแค่ไหน”หลินฉิง
หลินฉิงอันให้ราคาสัตว์ทะเลทั้งหมดสามตะกร้า 50 ตำลึง ทำเอาชายหนุ่มถึงกับไม่กล้ารับเงินมากมายเช่นนี้“นี่มันมากเกินไปขอรับคุณหนู อย่างมากของพวกนี้ก็มีราคาไม่ถึง 100 อีแปะนะขอรับ ข้าไม่อยากเอาเปรียบท่าน”“พี่ชายอย่าได้คิดเช่นนั้น สิ่งของพวกนี้ข้าสามารถนำไปทำอาหารแสนอร่อยได้หลายอย่างเลยทีเดียว หลังจากนี้ข้าจะมอบสูตรอาหารให้กับท่านเจ้าเมืองเพื่อให้เขาส่งต่อชาวบ้านอย่างพวกท่าน ทุกคนจะได้สามารถขายสัตว์ทะเลเปลือกแข็งเหล่านี้ได้ราคาดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”“อ่า… คุณหนูพูดจริงหรือขอรับ”“แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นความจริงเจ้าค่ะ ท่านรับเงินเอาไว้เถิดเจ้าค่ะ”“ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ ข้าจะรอวันที่ท่านเจ้าเมืองประกาศสูตรอาหารนะขอรับ”ชายหนุ่มหลังจากรับเงินแล้วจึงนำเรือไปมัดเอาไว้ตรงท่าเทียบเรือของตนเอง ก่อนที่เขาจะจากไปพร้อมรอยยิ้ม หลินฉิงอันหันไปหาซงหยางพ
กว่าที่มื้ออาหารแสนอร่อยจะจบลง เวลาก็ล่วงไปถึงยามซวีแล้ว หลินฉิงอันรับปากกับเจ้าเมืองฉวนก่อนที่เขาจะเดินทางกลับจวนว่านางจะเขียนสูตรการทำอาหารทั้งหมดให้เขานำไปเผยแพร่ต่อ ส่วนพรุ่งนี้นางยังนัดเขาให้มาพานางไปเดินตรวจสอบบริเวณขอบผาอีกฝั่งของทะเลเพื่อดูว่านางจะสามารถผันน้ำขึ้นมาทำบ่อเกลือได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หลินฉิงอันจึงต้องตรวจสอบความพร้อมก่อนที่จะเขียนฎีกาส่งไปขอพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้เสียก่อนอาหารเช้าวันต่อมาที่จวนพักของเหิงอันโหวยังคงมีอาหารจากเมื่อวานเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาจึงได้มีลาบปากอีกครั้งในเช้าวันนี้ ซึ่งหลังอาหารผ่านไปเพียงไม่นาน เจ้าเมืองฉวนก็มาถึงจวนพักเพื่อพาหลินฉิงอันไปสำรวจพื้นที่อีกด้านหนึ่งของชายหาดซึ่งเป็นผาสูงชันเจ้าเมืองฉวนไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินฉิงอันจึงต้องการไปเดินดูที่แห่งนั้นซึ่งถือว่าเป็นสถานที่รกร้างของเมืองเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เขาเองไม่อาจละลาบละล้วงเรื่องการทำงานของหลินฉิงอันได้ เขาจึงทำหน้าที่เพียงนำทางตามที่นางต้องการเท่านั้น
ค่ำคืนนั้น กว่าที่ไฟในห้องของหลินฉิงอันจะดับลงก็ล่วงเลยเวลาไปถึงยามโฉ่วแล้ว หลินฉิงอันทบทวนสูตรอาหารและน้ำจิ้มทั้งหมดจนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง นางจึงได้เก็บกระดาษสูตรทั้งหมดเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้นางยังต้องร่างฎีกาส่งไปยังเมืองหลวงภายในเร็ววันตามที่ท่านปู่บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้หลินฉิงอันจะไม่เคยร่างฎีกามาก่อน แต่นางคิดว่าคงไม่น่าจะต่างจากรายงานการประชุมอย่างละเอียดที่นางเคยทำมาในภพชาติก่อนกระมังหลังอาหารเช้า หลินฉิงอันส่งสูตรอาหารทั้งหมดให้พ่อบ้านใหญ่ช่วยนำไปส่งท่านเจ้าเมืองฉวนก่อนที่เขาจะมาในยามบ่าย เพราะนางไม่อยากเสียเวลาสนทนากับเขาในระหว่างกำลังเขียนฎีกาสำคัญเหิงอันโหวยังบอกหลินฉิงอันด้วยว่าหากนางไม่เข้าใจวิธีการเขียนฎีกาก็ให้ไปสอบถามเขาได้ตลอด“ขอบคุณท่านปู่เจ้าค่ะ ข้าจะลองร่างออกมาก่อนแล้วส่งให้ท่านปู่ตรวจสอบให้นะเจ้าคะ”“ตกลง ๆ เช่นนั้นเจ้ารีบเข้าไปเขียนเถิด ปู่จะไปสอนเด็ก ๆ ต่อ ยิ่งเวลาใกล้เข้ามา
17 วันต่อมา ขบวนเดินทางของเหิงอันโหวก็เดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงอันใหญ่โตแล้ว ระหว่างการเดินทาง หลินฉิงอันยังคงจดรายละเอียดพื้นที่และเก็บตัวอย่างดินมาด้วยเช่นเคย นางหวังว่าการมาเมืองหลวงครั้งนี้จะได้ทำงานรับใช้ราชสำนักตามที่ฮ่องเต้ทรงพระเมตตาแต่งตั้งนางทหารหน้าประตูเมืองหลวงจดจำองครักษ์ซงหยางที่นำขบวนได้ พวกเขาจึงปล่อยให้ขบวนเดินทางของเหิงอันโหวเดินทางเข้าไปได้โดยไม่ต้องตรวจสอบชาวเมืองหลายคนเห็นรถม้าตีตราจวนโหวเข้าก็ต่างประหลาดใจ นานมากแล้วที่พวกเขาเห็นขบวนรถม้าของจวนโหวออกจากเมืองหลวงไปเมื่อหลายเดือนก่อน ครั้งนี้พอเห็นว่าทุกคนกลับมากันแล้ว ชาวเมืองจึงได้พากันชมดูว่าท่านโหวมาด้วยหรือไม่คนของขุนนางจวนต่าง ๆ รีบส่งข่าวให้เจ้านายตนเองทราบว่าท่านโหวกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่นานนักข่าวการกลับมาก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซึ่งเหิงอันโหวที่เคยชินกับเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้สนใจพวกสอดรู้สอดเห็นในเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย เขาหวังว่าจะได้สอนหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางให
จูฉิงอันเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอจำความได้ หลังจากอายุครบเกณฑ์ที่ต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุ 18 เธอก็หางานทำและเรียนไปด้วยจนกระทั่งจบปริญญาตรีด้านการตลาด ทุกปีจูฉิงอันจะนำเงินเก็บส่วนหนึ่งส่งกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเลี้ยงดูน้อง ๆ เหมือนกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่ออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกับเธอหลังจากเรียนจบและทำงานพาร์ทไทม์ต่อมาอีก 3 ปี จูฉิงอันก็มีโอกาสได้เข้าทำงานในบริษัทนำเข้าและส่งออกผลไม้รายใหญ่ของประเทศจากความสามารถของเธอเอง ทำให้จูฉิงอันสามารถซื้อคอนโดและรถยนต์ส่วนตัวได้จากเงินเดือนที่ได้รับในบริษัทใหญ่บริษัทนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี นับว่าเธอตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมทำงานประจำกับบริษัทนี้หลังจากที่เปรียบเทียบรายได้จากการทำงานพาร์ทไทม์หลายงานมานานหลายปี2 ปี ต่อมา ตำแหน่งของจูฉิงอันก็ได้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เธอต้องรับผิดชอบงานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก ยิ่งเธอขยันทำงานมากเท่าไหร่ เงินรายได้ของเธอก็ยิ่งได้รับจากการทำงานมากขึ้นเท่านั้น หัวหน้าแผนกยังไว้วางใจให้เธอเข้าร่วมงานสัมนาและการประชุมต่
กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะมาถึงที่เกิดเหตุ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที เนื่องจากสายฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าปกติ เจ้าของรถสามคันที่รอเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนหน้านี้รีบถือร่มลงจากรถไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังตามความจริงว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุน่าจะไม่ชินเส้นทางและมาด้วยความเร็วเมื่อตำรวจฟังคำให้การของพลเมืองดีทั้งสามคนเสร็จ ตำรวจก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากที่เกิดเหตุหลังขอเบอร์โทรของพวกเขาเอาไว้เผื่อจะขอคำให้การเพิ่มเติม ไม่นานนักเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็นำร่างของจูฉิงอันออกจากรถได้ เจ้าหน้าที่หลายคนตรวจสอบภายในรถจนพบว่าโทรศัพท์ของผู้ตายยังคงใช้งานได้ เพียงแต่หน้าจอแตกร้าวเท่านั้น เขาจึงหาเบอร์โทรล่าสุดเพื่อแจ้งให้ญาติทราบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว[ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติเจ้าของโทรศัพท์หรือเปล่าครับ ][ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ ไม่ทราบใครโทรมาครับ ][ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองเหลียงเฮ่อครับ เจ้าของโทรศัพท์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณช่วยติดต่อญาติเพื่อมารับศพด้วยนะครับ ][ อะไรนะครับ!!! ][ ผมบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณติ
17 วันต่อมา ขบวนเดินทางของเหิงอันโหวก็เดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงอันใหญ่โตแล้ว ระหว่างการเดินทาง หลินฉิงอันยังคงจดรายละเอียดพื้นที่และเก็บตัวอย่างดินมาด้วยเช่นเคย นางหวังว่าการมาเมืองหลวงครั้งนี้จะได้ทำงานรับใช้ราชสำนักตามที่ฮ่องเต้ทรงพระเมตตาแต่งตั้งนางทหารหน้าประตูเมืองหลวงจดจำองครักษ์ซงหยางที่นำขบวนได้ พวกเขาจึงปล่อยให้ขบวนเดินทางของเหิงอันโหวเดินทางเข้าไปได้โดยไม่ต้องตรวจสอบชาวเมืองหลายคนเห็นรถม้าตีตราจวนโหวเข้าก็ต่างประหลาดใจ นานมากแล้วที่พวกเขาเห็นขบวนรถม้าของจวนโหวออกจากเมืองหลวงไปเมื่อหลายเดือนก่อน ครั้งนี้พอเห็นว่าทุกคนกลับมากันแล้ว ชาวเมืองจึงได้พากันชมดูว่าท่านโหวมาด้วยหรือไม่คนของขุนนางจวนต่าง ๆ รีบส่งข่าวให้เจ้านายตนเองทราบว่าท่านโหวกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่นานนักข่าวการกลับมาก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซึ่งเหิงอันโหวที่เคยชินกับเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้สนใจพวกสอดรู้สอดเห็นในเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย เขาหวังว่าจะได้สอนหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางให
ค่ำคืนนั้น กว่าที่ไฟในห้องของหลินฉิงอันจะดับลงก็ล่วงเลยเวลาไปถึงยามโฉ่วแล้ว หลินฉิงอันทบทวนสูตรอาหารและน้ำจิ้มทั้งหมดจนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง นางจึงได้เก็บกระดาษสูตรทั้งหมดเอาไว้บนโต๊ะก่อนจะรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้นางยังต้องร่างฎีกาส่งไปยังเมืองหลวงภายในเร็ววันตามที่ท่านปู่บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้หลินฉิงอันจะไม่เคยร่างฎีกามาก่อน แต่นางคิดว่าคงไม่น่าจะต่างจากรายงานการประชุมอย่างละเอียดที่นางเคยทำมาในภพชาติก่อนกระมังหลังอาหารเช้า หลินฉิงอันส่งสูตรอาหารทั้งหมดให้พ่อบ้านใหญ่ช่วยนำไปส่งท่านเจ้าเมืองฉวนก่อนที่เขาจะมาในยามบ่าย เพราะนางไม่อยากเสียเวลาสนทนากับเขาในระหว่างกำลังเขียนฎีกาสำคัญเหิงอันโหวยังบอกหลินฉิงอันด้วยว่าหากนางไม่เข้าใจวิธีการเขียนฎีกาก็ให้ไปสอบถามเขาได้ตลอด“ขอบคุณท่านปู่เจ้าค่ะ ข้าจะลองร่างออกมาก่อนแล้วส่งให้ท่านปู่ตรวจสอบให้นะเจ้าคะ”“ตกลง ๆ เช่นนั้นเจ้ารีบเข้าไปเขียนเถิด ปู่จะไปสอนเด็ก ๆ ต่อ ยิ่งเวลาใกล้เข้ามา
กว่าที่มื้ออาหารแสนอร่อยจะจบลง เวลาก็ล่วงไปถึงยามซวีแล้ว หลินฉิงอันรับปากกับเจ้าเมืองฉวนก่อนที่เขาจะเดินทางกลับจวนว่านางจะเขียนสูตรการทำอาหารทั้งหมดให้เขานำไปเผยแพร่ต่อ ส่วนพรุ่งนี้นางยังนัดเขาให้มาพานางไปเดินตรวจสอบบริเวณขอบผาอีกฝั่งของทะเลเพื่อดูว่านางจะสามารถผันน้ำขึ้นมาทำบ่อเกลือได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หลินฉิงอันจึงต้องตรวจสอบความพร้อมก่อนที่จะเขียนฎีกาส่งไปขอพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้เสียก่อนอาหารเช้าวันต่อมาที่จวนพักของเหิงอันโหวยังคงมีอาหารจากเมื่อวานเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาจึงได้มีลาบปากอีกครั้งในเช้าวันนี้ ซึ่งหลังอาหารผ่านไปเพียงไม่นาน เจ้าเมืองฉวนก็มาถึงจวนพักเพื่อพาหลินฉิงอันไปสำรวจพื้นที่อีกด้านหนึ่งของชายหาดซึ่งเป็นผาสูงชันเจ้าเมืองฉวนไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินฉิงอันจึงต้องการไปเดินดูที่แห่งนั้นซึ่งถือว่าเป็นสถานที่รกร้างของเมืองเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เขาเองไม่อาจละลาบละล้วงเรื่องการทำงานของหลินฉิงอันได้ เขาจึงทำหน้าที่เพียงนำทางตามที่นางต้องการเท่านั้น
หลินฉิงอันให้ราคาสัตว์ทะเลทั้งหมดสามตะกร้า 50 ตำลึง ทำเอาชายหนุ่มถึงกับไม่กล้ารับเงินมากมายเช่นนี้“นี่มันมากเกินไปขอรับคุณหนู อย่างมากของพวกนี้ก็มีราคาไม่ถึง 100 อีแปะนะขอรับ ข้าไม่อยากเอาเปรียบท่าน”“พี่ชายอย่าได้คิดเช่นนั้น สิ่งของพวกนี้ข้าสามารถนำไปทำอาหารแสนอร่อยได้หลายอย่างเลยทีเดียว หลังจากนี้ข้าจะมอบสูตรอาหารให้กับท่านเจ้าเมืองเพื่อให้เขาส่งต่อชาวบ้านอย่างพวกท่าน ทุกคนจะได้สามารถขายสัตว์ทะเลเปลือกแข็งเหล่านี้ได้ราคาดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”“อ่า… คุณหนูพูดจริงหรือขอรับ”“แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นความจริงเจ้าค่ะ ท่านรับเงินเอาไว้เถิดเจ้าค่ะ”“ขอบคุณคุณหนูมากขอรับ ข้าจะรอวันที่ท่านเจ้าเมืองประกาศสูตรอาหารนะขอรับ”ชายหนุ่มหลังจากรับเงินแล้วจึงนำเรือไปมัดเอาไว้ตรงท่าเทียบเรือของตนเอง ก่อนที่เขาจะจากไปพร้อมรอยยิ้ม หลินฉิงอันหันไปหาซงหยางพ
สายวันต่อมา เหิงอันโหวให้คนไปตามเจ้าเมืองฉวนมาที่จวนเพื่อพาหลินฉิงอันไปตรวจสอบสภาพพื้นที่ภายในเมืองชายทะเลแห่งนี้ เพื่อที่นางจะได้เขียนรายงานการพัฒนาและปรับปรุงอาชีพให้กับชาวบ้าน“คารวะท่านโหวและท่านที่ปรึกษาขอรับ” เจ้าเมืองฉวนมาถึงแล้วจึงรีบทำความเคารพพวกเขาที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ว่าวันนี้หลินฉิงอันอยากดูสิ่งใดในเมืองบ้าง“เจ้าตามสบายเถอะ ฉิงอัน หลานต้องการทราบสิ่งใดเพื่อพัฒนาเมืองแห่งนี้ก็บอกกับเจ้าเมืองฉวนไปนะ ปู่จะไปดูแลฉิงเฉิงกับฉิงหยางก่อน ให้ซงหยางติดตามเจ้าไปแทนจ้าวหลงด้วยล่ะ ซงหยางมีฝีมือมากกว่าจ้าวหลง หากมีใครกล้ารังแกเจ้าเขาจะได้ช่วยจัดการเสีย”“ขอบคุณท่านปู่เจ้าค่ะ ให้พี่ชายซงหยางรอสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ข้าขอสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพของชาวเมืองที่นี่กับท่านเจ้าเมืองก่อนเจ้าค่ะ”“อืม… เจ้าทำตามที่ต้องการเถอะ ปู่รู้ดีว่าเจ้าต้องการพัฒนาบ้านเมืองมากแค่ไหน”หลินฉิง
เหิงอันโหวมองหยกสลับกับหลินฉางหยูอยู่นานจนกระทั่งเขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“ข้ารู้จักคนที่หยกเช่นเจ้าอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะเชื่อใจข้าหรือไม่ ฉางหยู”หลินฉางหยูเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน เหตุใดเขาจึงไม่นำหยกมาให้ท่านผู้อาวุโสดูแต่แรก ไม่เช่นนั้นเขาคงได้มีเวลาออกตามหาครอบครัวของตนก่อนจะเดินทางพาลูก ๆ ไปสอบที่เมืองหลวงแล้ว“จริงหรือขอรับท่านผู้อาวุโส? ท่านรู้จักครอบครัวข้าจริงหรือขอรับ?”“แน่นอนว่าข้ารู้จักดีเสียด้วย พวกเราเคยร่วมรบกันมาในศึกชายแดนตะวันตกเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยนั้นแคว้นของเราต่างถูกรุกรานจากแคว้นรอบข้างอยู่เนือง ๆ ข้ากับบุตรชายและลูกสะใภ้จำเป็นจะต้องออกศึกแยกกัน ข้าไปที่ด่านคุนหมิง ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ของข้านั้นไปที่ด่านต้าหลี่ทางชายแดนใต้ ส่วนชายแดนเหนือในตอนนั้นเป็นฮ่องเต้ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานพาทหารไปต้านข้าศึกด้วยพระองค์เองในสมัยนั้น โดยมีไท่ฝูเป็นกุนซือให้กับฝ
หลินฉิงอันที่ไม่ได้คิดมากกับการเดินทางไกลครั้งแรกในภพนี้ของนาง นางปล่อยให้ซูเซียนเป็นคนเก็บเสื้อผ้า เครื่องประดับของนาง ส่วนตนเองนั้นกลับไปตรวจสอบดูสมุดจดที่นางเตรียมจะถวายฎีกาให้กับฮ่องเต้หลังจากไปถึงเมืองหลวงเท่านั้น หลินฉิงอันกลัวว่าจะหลงลืมเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติมที่นางอยากเสนอให้ฝ่าบาททรงพิจารณา เนื่องจากนางไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จะเกิดภัยแล้ง ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่เคยเกิดภัยแล้งขึ้นก็ตาม แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ หลินฉิงอันจึงคิดจะเสนอเรื่องนี้ขึ้นไป ส่วนพื้นที่ชายทะเลที่ท่านปู่บอกจะพานางอ้อมไปดูนั้นก็นับเป็นเรื่องที่ดี นางได้ยินท่านปู่บอกมาว่าที่นั่นมีเรือของต่างชาติมาจอดบ่อยๆ บางทีนางอาจจะได้เมล็ดพันธุ์พืชที่ปลูกง่ายและให้ผลผลิตสูงสำหรับชาวบ้านก็เป็นได้ หลินฉิงอันได้แต่หวังว่าการเดินทางครั้งนี้นางจะสามารถพัฒนาการเกษตรให้กับชาวบ้านระหว่างทางได้บ้างไม่มากก็น้อยหลังอาหารเช้าวันต่อมา ตอนนี้ขบวนรถม้าทั้งหมด 10 คัน ต่างจอดรอให้นายท่านทั้งหลายขึ้นรถได้แล้ว โดยเหิงอันโหวจะเป็นคนนั่งในรถม้าคันแรก ส่วนรถม้าคั
หลังจากผ่านพ้นหน้าหนาว ตอนนี้บ้านหลินรับซื้อผลไม้อีกครั้งจากหมู่บ้านอื่นและชาวบ้านในหมู่บ้านต้าไห่ ถึงแม้พวกเขาจะมีผลไม้แช่อิ่มเก็บอยู่ในโกดังจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันคิดว่าต้องรีบเก็บเอาไว้ก่อนที่จะหมดช่วงฤดูผลไม้ที่ปีนี้นางคาดว่าผลไม้จะออกผลไม้ทันการผลิตเป็นแน่ เพราะปีที่แล้วนางรับซื้อมาทำผลไม้แช่อิ่มเป็นจำนวนมาก หากการขายพันธุ์ผลไม้ของนางเสร็จสิ้นในอีกสองปีข้างหน้า หลินฉิงอันก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการกักตุนผลไม้อีกต่อไปหวังไห่กับคนอื่น ๆ ที่ต้องกลับไปเปิดร้านต่างนำสัมภาระกลับไปพร้อมกับผลไม้แช่อิ่มอีกนับ 50 กระสอบ ถึงแม้ที่ร้านจะยังมีผลไม้แช่อิ่มเหลืออยู่ก็ตาม แต่พวกเขาไม่อยากให้ที่หมู่บ้านต้องเสียเวลาเดินทางนำเข้าไปส่งในเมือง หวังไห่จึงขนกลับไปกันเอง โชคดีที่รถม้าคันนี้ใหญ่พอที่จะบรรทุกของได้ทั้งหมด ถึงแม้หวังไห่กับหลี่หมิงจะต้องนั่งด้านหน้ารถม้าก็ตามทีหลินเจี้ยนที่กลับมาจากขายปลาและถั่วงอกมาช่วยแม่เฒ่าซูกับฮูหยินของเขาที่โรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่ม หลินฉิงอันเข้าไปพูดคุยกับท่านลุงของนางถึงแผนการเดินทางไปเมืองห
เหิงจิ้งกั๋วใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่หมู่บ้านต้าไห่หนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปยังชายแดนเหนือเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง หลินฉิงอันยังมอบเสบียงและผลไม้แช่อิ่มให้เขานำไปกินด้วยไม่น้อย นางรู้สึกว่าเวลาที่ใช้กับเหิงจิ้งกั๋วช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน เพราะทุกวันเขาจะพานางเดินเล่นพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนเข้านอนทุกวัน แต่หลินฉิงอันก็รู้ดีว่าเขาเองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำ ไม่ต่างจากนางที่ยังคงนึกทบทวนความทรงจำในภพก่อนว่ามีเรื่องใดที่นางพอจะช่วยพัฒนาแคว้นได้อีกหลังจากเหิงจิ้งกั๋วจากไปแล้ว อีกเพียงแค่หนึ่งเดือนก็จะหมดหน้าหนาวของปีนี้ เหิงอันโหวยังคงสั่งสอนหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางตามปกติ ตอนนี้เขามีตำราที่ให้พ่อบ้านใหญ่นำมาด้วยไม่น้อย เหิงอันโหวต้องการให้เด็กทั้งสองเรียนรู้และเข้าใจตำราอย่างถ่องแท้ก่อนที่จะเข้าสอบจอหงวนในอีกครึ่งปีหลังจากนี้สามวันต่อมา เจ้าเมืองเติ้งกับฮูหยินมาเยี่ยมเหิงอันโหวพร้อมของขวัญปีใหม่ ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะมานานแล้ว เพียงแต่รู้ข่าวว่าท่านแม่ทัพเหิงเดินทางมาเสียก่อน พวกเ