สาวการตลาดศตวรรษที่ 21 จับพลัดจับผลูมาเข้าร่างสาวบ้านนาที่มีย่าใจร้าย วันดีคืนดีไปเจอหนุ่มหล่อบาดเจ็บจึงเก็บกลับบ้านอย่างไม่เต็มใจ สาวน้อยจะช่วยครอบครัวอย่างไรมาดูกัน
View Moreจูฉิงอันเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอจำความได้ หลังจากอายุครบเกณฑ์ที่ต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุ 18 เธอก็หางานทำและเรียนไปด้วยจนกระทั่งจบปริญญาตรีด้านการตลาด ทุกปีจูฉิงอันจะนำเงินเก็บส่วนหนึ่งส่งกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเลี้ยงดูน้อง ๆ เหมือนกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่ออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกับเธอ
หลังจากเรียนจบและทำงานพาร์ทไทม์ต่อมาอีก 3 ปี จูฉิงอันก็มีโอกาสได้เข้าทำงานในบริษัทนำเข้าและส่งออกผลไม้รายใหญ่ของประเทศจากความสามารถของเธอเอง ทำให้จูฉิงอันสามารถซื้อคอนโดและรถยนต์ส่วนตัวได้จากเงินเดือนที่ได้รับในบริษัทใหญ่บริษัทนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี นับว่าเธอตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมทำงานประจำกับบริษัทนี้หลังจากที่เปรียบเทียบรายได้จากการทำงานพาร์ทไทม์หลายงานมานานหลายปี
2 ปี ต่อมา ตำแหน่งของจูฉิงอันก็ได้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เธอต้องรับผิดชอบงานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก ยิ่งเธอขยันทำงานมากเท่าไหร่ เงินรายได้ของเธอก็ยิ่งได้รับจากการทำงานมากขึ้นเท่านั้น หัวหน้าแผนกยังไว้วางใจให้เธอเข้าร่วมงานสัมนาและการประชุมต่าง ๆ หลายงานเช่นกัน ทุกครั้งจูฉิงอันจะสรุปรายงานการเข้าร่วมสัมนาและประชุมเป็นเอกสารส่งให้หัวหน้าเพื่อรายงานไปยังเบื้องบน จนทำให้ชื่อของเธอเป็นที่จดจำได้ของหัวหน้าฝ่ายหลายคนที่เข้าร่วมประชุมกับหัวหน้าฝ่ายการตลาด พวกเขายังชื่นชมความขยันขันแข็งและรายงานที่ละเอียดเหมือนกับพวกเขาได้เข้าร่วมงานสัมนาเหล่านั้นด้วยตัวเองที่จูฉิงอันเขียนขึ้นมาอีกด้วย ทำให้ปลายปีที่พวกเขาต้องวัดผลการทำงานของพนักงานพวกเขาต่างให้คะแนนจูฉิงอันกันไม่น้อยโดยที่เจ้าตัวเองไม่รู้มาก่อน
หลังจากได้รับคะแนนประเมินที่สูงลิบจนปลายปีที่บริษัทประกาศโบนัส จูฉิงอันได้รับเงินมากกว่าเงินเดือนที่สูงอยู่แล้วของเธอถึง 5 เท่า เงินจำนวนนี้ทำให้เธอคิดว่าจะช่วยเหลือบ้านเด็กกำพร้าได้อีกหลายปี จูฉิงอันจึงแอบทำพินัยกรรมเอาไว้ที่คอนโดของตนเองเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะเธอรู้ดีว่ายิ่งคะแนนประเมินสูงมากเท่าไหร่ งานที่เธอต้องรับผิดชอบในปีต่อไปก็ยิ่งจะมากขึ้นด้วย เธอไม่อยากให้บ้านเด็กกำพร้าต้องลำบากหากเธอจากไปจริง ๆ และจูฉิงอันยังคิดจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้โดยไม่นำมาใช้ในอนาคต เธอจึงตัดสินใจทำพินัยกรรมด้วยตัวเอง
หลังงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทเสร็จสิ้นลง จูฉิงอันต้องเดินทางออกสำรวจตลาดภายในประเทศที่หัวหน้าฝ่ายมอบหน้าที่ให้ การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้คนที่ยังไม่มีครอบครัวเพื่อความสะดวก บริษัทเห็นว่าเธอมีความรับผิดชอบสูงและไม่มีครอบครัว เขาจึงส่งเธอออกเดินทางไปในสัปดาห์แรกหลังจากหยุดปีใหม่ ซึ่งการไปครั้งนี้บริษัทยังมีเบี้ยเลี้ยงที่พักและอาหารให้จูฉิงอันไม่น้อย
จูฉิงอันที่มองโลกในแง่ดีไม่ได้คิดว่าหัวหน้าเอาเปรียบ เธอดีใจเสียอีกที่จะได้รับเงินเพิ่มเติมระหว่างการเดินทาง โดยกำหนดการเดินทางครั้งนี้ยังต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนกว่าการตรวจสอบตลาดการค้าทั่วประเทศจะครบทั้งหมด
ก่อนวันเดินทาง จูฉิงอันฝันแปลก ๆ ว่าเธอจะต้องจากไปในที่ที่ไกลแสนไกล เธอจึงเตรียมพินัยกรรมที่ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้วางบนโต๊ะทำงานในคอนโดก่อนไปทำงาน เพราะหากเธอเป็นอะไรไปจริง ๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องของบ้านเด็กกำพร้าที่เธอช่วยส่งเงินให้มาตลอดหลายปี
การเดินทางในเดือนแรกนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จูฉิงอันจะเหนื่อยจากการขับรถด้วยตัวเองไปยังหลายจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกภายในเวลาแค่เดือนเดียว แต่อย่างน้อยรายงานที่เธอส่งทางอีเมล์ซึ่งเธอทำอย่างละเอียดและคาดเดาทิศทางการตลาดของแต่ละจังหวัดที่เธอไปก็ทำให้บริษัทปรับแผนงานการส่งออกของปีนี้ได้อย่างทันท่วงที ตอนนี้เหลืออีกเพียงไม่กี่ภาคเท่านั้นเธอก็จะเสร็จจากหน้าที่การสำรวจตลาดแล้ว
รุ่งเช้าวันต่อมา จูฉิงอันรีบออกเดินทางจากภาคตะวันออกไปยังภาคใต้ซึ่งมีระยะทางไกลที่สุดในงานครั้งนี้โดยไม่คิดจะรอให้ฟ้าสว่าง เธอคิดจะแวะทานอาหารเช้าในปั๊มน้ำมันระหว่างทางหากเธอหิว ปกติแล้วเธอมักจะกินอาหารไม่ตรงเวลาตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง เนื่องจากเธอไม่อยากขับรถเร็วเกินไปจึงยอมที่จะหาอาหารง่าย ๆ กินไประหว่างขับรถมาตลอด
ด้วยระยะทางที่ไกลมาก จูฉิงอันจึงแวะปั๊มในตอนเกือบเที่ยงวันเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำหลังจากขับรถต่อเนื่องมาเกือบห้าชั่วโมงจนน้ำมันเกือบจะหมดถัง หลังเติมน้ำมันรถจนเต็ม จูฉิงอันแวะจอดซื้อกาแฟและขนมปังเพื่อกินระหว่างทาง ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่สบายจากอากาศเปลี่ยนแปลงยังไงพิกล
จูฉิงอันเปิดแผนที่ดูในมือถือและเห็นว่ายังอีกไกลกว่าเธอจะไปถึงจังหวัดเป้าหมายแรกทางภาคใต้ เธอรีบกลับไปที่รถโดยไม่คิดจะหยุดพักต่อที่ปั๊มแม้แต่นิดเดียว เมื่อสตาร์ทรถและดื่มกาแฟไปนิดหน่อย จูฉิงอันก็ขับรถออกจากปั๊มตามแผนที่ในมือถือที่เธอค้นหาเส้นทางก่อนหน้านี้
จูฉิงอันขับรถไปได้เกือบสามชั่วโมง อากาศก็เปลี่ยนแปลงกระทันหันโดยมีลมและฝนตกหนักอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธอรีบลดความเร็วลงและเปิดที่ปัดน้ำฝนจนสุดแต่ก็ยังมองไม่ค่อยเห็นทางเนื่องจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ในตอนนี้ จูฉิงอันมองแผนที่อีกครั้งก็เห็นว่าเธอขับรถช้าเกินไปจนกังวลว่าจะหาที่พักในเมืองซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เธออยู่ตอนนี้ถึงสามชั่วโมงไม่ทัน
หลังจากขับไปคิดไปสักพัก จูฉิงอันก็ตัดสินใจเพิ่มความเร็วรถทั้งที่เธอในตอนนี้กลับจามและมีน้ำมูกไหลเสียแล้ว เธอคิดเพียงว่าอยากรีบไปถึงตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อหาที่พักก่อนจะออกเดินทางต่อในรุ่งเช้าวันถัดไป ขณะที่ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จูฉิงอันพยายามเพ่งมองทางที่เต็มไปด้วยสายฝนอย่างยากลำบาก รถหลายคันบนเส้นทางเดียวกันต่างชะลอและขับช้ากว่าจูฉิงอันเพื่อความปลอดภัย พวกเขาแปลกใจไม่น้อยที่รถทะเบียนเมืองหลวงคันหน้าใช้ความเร็วมากเสียจนหวาดเสียวแทน พวกเขาที่ทำงานส่งของขับเส้นทางนี้จนเคยชินยังไม่มีใครกล้าขับเร็วเท่ากับจูฉิงอันเลยแม้แต่คันเดียว เพราะพวกเขารู้ดีว่าถนนสายนี้ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งยังมีทางโค้งและทางตรงยาวหลายจุดที่อันตราย
จูฉิงอันที่ขับรถตามแผนที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะอันตรายขนาดไหน ตอนนี้เธอต้องการไปถึงตัวเมืองเพื่อหาที่พักผ่อนให้เร็วที่สุดเท่านั้น ขณะที่เหลืออีกประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรจะถึงตัวเมือง เส้นทางกลับเปลี่ยนเป็นโค้งติด ๆ กันหลายโค้งจนจูฉิงอันไม่สามารถเพิ่มความเร็วได้อีก เธอได้แต่ต้องลดความเร็วลงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุหลังจากที่ขับฝ่าสายฝนมาถึงสองชั่วโมงแล้ว แต่ขณะที่เธอกำลังจะลดความเร็วลงอีก รถของเธอก็เสียหลักจากถนนชำรุดจนจูฉิงอันไม่สามารถควบคุมรถได้ ยิ่งเธอเหยียบเบรกอย่างแรงขณะถนนลื่น ก็ยิ่งทำให้รถที่มาด้วยความเร็วหมุนคว้างจนเธอทำอะไรไม่ถูก จูฉิงอันพยายามบังคับพวงมาลัยไม่ให้ออกนอกเส้นทาง เสียดายที่สภาพถนนซึ่งเต็มไปด้วยหลุมและน้ำไม่เอื้ออำนวย
เอี๊ยด! ปัง!! โครม!!!
รถของจูฉิงอันหยุดลงก็ตอนที่มันหมุนออกนอกเส้นทางไปชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางภายในเสี้ยววินาที ก่อนสติสุดท้ายของจูฉิงอันจะดับลง เธอได้แต่คิดว่าในโลกนี้เธอยังติดค้างใครหรือมีห่วงอะไรหรือไม่ ตอนนี้ร่างกายของเธอถูกอัดติดกับตัวรถจนชาไปหมด เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักและคิดว่าน่าจะมีรถที่เห็นอุบัติเหตุของเธอเข้ามาช่วยเธอได้ทัน จูฉิงอันรู้สึกว่าตัวเองรอนานจนทนไม่ไหวทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปหลังการชนเพียงไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น
จูฉิงอันเริ่มสติรางเลือนลงทุกทีจากอาการบาดเจ็บ เธอคิดเพียงว่าในโลกนี้เธอไม่ได้ติดค้างใครอีกแล้ว หากเธอไม่รอดจริง ๆ เธอก็ขอให้คนค้นพบพินัยกรรมที่เธอทำเอาไว้ให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยเท่านั้น จูฉิงอันภาวนาซ้ำ ๆ ก่อนสติสุดท้ายของเธอจะดับลงไปตลอดกาล
รถที่ขับตามหลังจูฉิงอันมาช้า ๆ หลายคัน กว่าที่จะเห็นว่ารถของจูฉิงอันที่แซงพวกเขาหลายคันก่อนหน้านี้ประสบอุบัติเหตุเข้าแล้วก็เป็นตอนที่เธอเสียชีวิตคาซากรถซึ่งยับยู่ยี่จากการชนต้นไม้อย่างแรงเสียแล้ว พวกเขาได้แต่พากันจอดรถเพื่อดูว่าจะช่วยเหลือคนขับได้หรือไม่ เมื่อดูแล้วเกินกำลังของพวกเขา ทุกคนจึงได้แต่ต้องกลับขึ้นรถไปโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ภัยและตำรวจแทน คนขับหลายคนที่ต้องรีบไปส่งของขับรถออกจากที่เกิดเหตุหลังจากเห็นว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว มีเพียงรถสองสามคันที่อยู่รอเจ้าหน้าที่ในรถท่ามกลางสายฝนเท่านั้น พวกเขากลัวว่าถ้าไม่มีใครอยู่เป็นพยานให้อาจถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นคู่กรณีของรถคันเกิดเหตุได้ รถทั้งสามคันจึงต่างรออยู่ด้วยกันทั้งอย่างนั้น
วันปีใหม่เช้าวันนี้จวนหยูวุ่นวายไปด้วยบ่าวไพร่ที่กำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงปีใหม่ที่จะมีแขกเริ่มมาในยามซื่อของวัน องค์หญิงหมิงจูกับหยูฉิงเฉิงเองก็กำลังแต่งตัวให้กับลูกชายและลูกสาวของพวกเขาอยู่ เสื้อผ้าต่าง ๆ ล้วนมาจากในวังที่ฮองเฮาสั่งคนตัดให้กับหลาน ๆ ของพระองค์อย่างน่ารักหลินอ้ายกับหยูฉางหยูก็แต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุดเพื่อต้อนรับปีใหม่เช่นกัน ส่วนลูกชายคนเล็กก็กำลังจัดการบุตรชายทั้งสองกับฮูหยินน้อยที่เรือนอีกหลัง สำหรับหยูจิ่นเซิงและเฉียนหลานนั้นก็แต่งตัวกันเต็มที่เพื่อให้สมกับวันปีใหม่ ยังไม่รวมซองแดงที่พวกเขาจะแจกให้ลูกหลานอีกไม่น้อยด้วย พวกเขาคาดเดาว่าวันนี้จะต้องเป็นงานที่ทุกคนสนุกกันมากแน่ ยิ่งหยูฉิงอันส่งของเล่นเด็กมาไว้ที่จวนหยูจำนวนไม่น้อยสำหรับให้หลาน ๆ เล่นตอนที่โตกว่านี้ด้วยแล้ว พวกเขายิ่งรักหลานสาวคนนี้มากขึ้นทุกที นางไม่เคยหวงสิ่งของใดเลย มีแต่มอบให้กับน้องชายทั้งสองและครอบครัวด้านจวนกั๋วกงก็วุ่นวายไม่แพ้กัน กว่าที่พี่เลี้ยงจะไล่จับเหล่าคุณชายน้อย ค
ที่ชายแดนตะวันตก หลังจากลูกของหยูฉิงหยางคลอดแล้ว ท่านพ่อตาได้ตั้งชื่อบุตรชายทั้งสองให้เขาว่า หยูอันเหิงและหยูอันไห่ เพราะหยูฉิงหยางอยากให้ในชื่อบุตรชายของเขามีชื่อพี่สาวอยู่ด้วย เขาสำนึกในบุญคุญของพี่สาวเสมอที่พาครอบครัวค้าขายจนได้เข้าเรียนและรับราชการในราชสำนักได้อย่างทุกวันนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันปีใหม่ แม่ทัพใหญ่ซวงอี้จึงชวนทุกคนกลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง เพราะเขาเดินทางมาอยู่ชายแดนตะวันตกได้เกือบสามเดือนแล้ว หยูฉิงหยางจึงไปขอลาราชการกับแม่ทัพชายแดนตะวันตกตามมารยาท ก่อนจะส่งม้าเร็วเดินทางไปถวายฎีกาเรื่องการพาครอบครัวไปรวมตัวกันในวันปีใหม่ที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ม้าเร็วเดินทางไปถึงเมืองหลวงโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน เมื่อฮ่องเต้ได้รับฎีกาของหยูฉิงหยางแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เขาพาครอบครัวกลับมาได้ ความจริงปีนี้พระองค์คิดที่จะจัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับเหล่าขุนนางเหมือนทุกปี เพียงแต่พอคิดได้ว่าการจัดงานบ่อยครั้งก็เสียเงินในคลังไปไม่น้อย ซึ่งพระองค์ยังคงอยากใช้เงินเหล่านั้นในการพัฒนาแคว้นม
จดหมายของหยูจิ่นเซิงไปถึงจวนแม่ทัพที่ชายแดนตะวันตกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา หยูฉิงหยางที่กำลังดูแลภรรยาที่กำลังท้องแฝดเช่นเดียวกับพี่ชายรีบนำจดหมายมาตอบพร้อมให้คนนำของฝากที่ท่านแม่ฝากมาให้เขากับฮูหยินไปเก็บไว้ในคลังเสบียงเสียก่อน“ท่านพี่ เหตุใดท่านแม่จึงส่งของกินมาเสียเยอะแยะเช่นนี้เล่า”“ฮ่า ฮ่า ท่านคงกลัวว่าเจ้าจะไม่ได้กินอาหารดี ๆ น่ะสิ ท่านแม่คงเป็นห่วงลูกของเรานั่นแหละน้องหญิง เจ้าเองก็บำรุงเยอะ ๆ เล่า จะได้คลอดง่าย ๆ เหลืออีกไม่กี่เดือน เจ้าก็จะคลอดเด็ก ๆ ออกมาแล้วนะ”“ข้ากินจนจะอ้วนเป็นหมูแล้วนะท่านพี่ หากท่านไม่ชอบที่ข้าอ้วนจะทำอย่างไร”“เจ้าก็คิดมากเกินไปน้องหญิง พี่มีหรือจะไม่ชอบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะรูปร่างเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นที่รักของพี่ตลอดไปนั่นแหละ ทีหลังอย่าคิดมากรู้ไหม”หยูฉิงหยางกอดภรรยารักเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแสนรัก เขารู้ดีว่านางคงกลัวว่าเขาจะมีหญิงอื่นกระมัง
หนึ่งเดือนต่อมา จดหมายจากหยูฉิงหยางส่งมาบอกทุกคนว่าสะใภ้เล็กท้องแล้ว ทำให้ทุกคนดีใจมาก ส่วนองค์หญิงหมิงจูนั้น ยังไม่มีใครกล้าสอบถามอะไรในเรื่องนี้ แต่เหล่าผู้อาวุโสต่างสอบถามหยูฉิงเฉิงแทน“อาเฉิง เหตุใดสะใภ้ใหญ่ไม่ท้องเสียทีเล่า”“เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้ขอรับท่านปู่ แต่ข้าก็ขยันขันแข็งทุกวันนะขอรับ”“แล้วช่วงนี้ดูเหมือนนางจะดูมีน้ำมีนวลและน้ำหนักขึ้นบ้างหรือไม่เล่า”“ท่านย่าเดาได้เหมือนตาเห็นเลยขอรับ ข้าสังเกตว่านางดูเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดหน่อยและท้องของนางก็ป่องออกมาเล็กน้อยด้วยนะขอรับ”“เช่นนั้นประเดี๋ยวให้พ่อบ้านไปเรียกหมอมาตรวจสักหน่อย นางอาจท้องแล้วไม่รู้ตัวก็ได้ เหมือนพี่ใหญ่เจ้าที่กว่าจะรู้ว่าท้องสองก็ตอนสามเดือนแล้ว”“ขอรับ หากมีข่าวดีเหมือนน้องสามก็คงดี เด็ก ๆ จะได้เกิดไล่เลี่ยกัน”หย
หลังจากหยูฉิงเฉิงได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้ตรวจการพิเศษ เขาก็ยังคงเข้าไปทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับแผนการพัฒนาบ้านเมืองที่เคยเสนอต่อฝ่าบาทไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมหาเสนาบดีเซี่ยยังคงรายงานการทำงานของขุนนางที่ถูกส่งออกไปให้กับเขารับทราบ เพื่อที่หยูฉิงเฉิงจะได้วางแผนการเดินทางไปตรวจงานได้ในภายหลังด้านองค์หญิงหมิงจูพอเป็นสะใภ้ตระกูลหยูแล้ว พระองค์ยังคงเข้าวังไปเยี่ยมเสด็จแม่อยู่บ่อย ๆ เนื่องจากที่จวนหยูไม่มีสิ่งใดให้นางทำบ้างเลย ครั้นจะให้นางไปนั่งปักผ้ากับท่านย่าและแม่สามีนางก็ไม่ค่อยชอบนัก ปกตินางชอบเล่นพิณและวาดรูปมากกว่า แต่ก็กลัวว่าเสียงพิณจะไปรบกวนการทำงานของท่านย่าและแม่สามีของนางเข้า นางจึงมาเล่นที่วังให้เสด็จแม่ฟังแทนเฉียนหลานกับหลินอ้ายนั้นพอรู้อยู่บ้างว่าองค์หญิงน่าจะอึดอัดและเหงาที่ต้องอยู่จวนโดยไม่มีสิ่งใดทำ พระองค์จึงได้เสด็จเข้าวังบ่อย ๆ เมื่อหยูฉิงเฉิงกลับจวนมาแล้วทราบเรื่องเข้า เขาจึงคุยกับองค์หญิงในคืนวันหนึ่ง“น้องหญิง เจ้าเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่จวนนี้หรือ”
ขบวนของว่าที่ฮองเฮาแคว้นหนานนั้นได้รับพระเมตตาจากฮองเฮาที่ส่งขันทีและนางกำนัลไปดูแลหวังเสี่ยวหยานที่แคว้นหนานถึงสามสิบคน ขบวนรถม้าของนางนั้นจึงยาวเหยียดไม่น้อย เพราะยังมีครอบครัวของนางเดินทางไปพร้อมสินเดิมจำนวนมากที่ได้รับพระราชทานจากฝ่าบาทและฮองเฮาเพิ่มด้วย นอกจากสินเดิมจากตระกูลหวังของนางเองก่อนที่ฮ่องเต้หนานเซียงจะสั่งการให้ออกเดินทาง เหิงกั๋วกงกับหยูจิ่นเซิงก็เดินทางมาถึงพอดี ทั้งคู่รีบสั่งคนให้นำของฝากมากมายอาทิผลไม้แช่อิ่ม อาหารทะเลแห้ง ที่เป็นอาหารของครอบครัวมอบให้มากถึงอย่างละหนึ่งคันเกวียน ส่วนอาวุธลับอีกจำนวนหนึ่งนั้นเป็นเหิงกั๋วกงที่ไปขอหลานสะใภ้มามอบให้ฮ่องเต้หนานเซียงเก็บไว้ป้องกันตัว เหิงกั๋วกงกระซิบบอกวิธีใช้งานสิ่งของแต่ละอย่างให้กับฮ่องเต้หนานเซียง ก่อนที่พวกเขาจะถอยออกจากขบวนเพื่อรอให้ฮ่องเต้หนานเซียงสั่งการออกเดินทางกลับไปยังแคว้นหนานเมื่อเห็นว่าการบอกลาผู้อาวุโสเสร็จสิ้นแล้ว ฮ่องเต้หนานเซียงก็สั่งการให้ออกเดินทางกลับไปยังแคว้นหนานได้ โดยระหว่างเดินทางยังมีขบวนของหยูฉิงหยางที่ต้องเดินทาง
Comments