โฉมสะคราญที่เคยมีชีวิตสุขสบายกลับต้องพลิกผันเมื่อถูกคนชั่วใส่ร้ายว่าเป็นกบฎ ครอบครัวถูกทำลาย แถมยังถูกหักหลังจากองค์ไท่จื่อ ผลักไสนางให้ไปแต่งงานกับองค์ชายต่างแดน นางจึงต้องย้อนเวลากลับมาทวงแค้น!!
ดูเพิ่มเติมปีรัชศกยี่เฉิง ปีที่สองร้อย
อาณาจักรฉางอันที่รุ่งเรืองและเกรียงไกร ปกครองโดยราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถและยังรวมผู้คนในแผ่นดินให้กลมเกลียว รักใคร่สมานฉันท์ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อแคว้นข้างเคียง ดั่งเช่นในวันนี้ที่พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองเหล่าองค์ชายจากต่างแดนขึ้น
ความสำราญขนาดมโหฬาร กำลังเผยอยู่ตรงหน้าท้องพระโรง และขณะเดียวกันองค์ฮ่องเต้เองก็ทรงให้หลิวกงกงประกาศราชโองการ
“ในนามแห่งผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่นี้ ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ ในความต้องการที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นต่างแดน จึงได้เชิญองค์ชายรัชทายาทของแคว้นหลู่ เข้ามาร่วมเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ขอให้ทุกคนสำราญในงานเลี้ยงครั้งนี้”
สิ้นเสียงประกาศจากหลิวกงกงในพิธี ทุกคนต่างนั่งลงในที่ของตนเอง ทุกคนล้วนอยู่ในห้องที่โอ่โถง และมีบริเวณที่กว้างขวาง ซึ่งฮ่องเต้ได้ทรงโปรดให้จัดสถานที่กึ่งธรรมชาติ พร้อมนำอาหารและสุรามากมาย มาต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
แต่เวลานี้ยังมีสตรีผู้หนึ่งซึ่งจิตใจร้าวรานนัก เป็นเพราะนางถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสีตระกูลตนเอง จนต้องหลบซ่อนตัว แต่ก็ยังมิวายที่จะโดนพบเจอ และถูกนำตัวเข้ามายังพื้นที่นี้ เพื่อให้รับรู้บางอย่างที่กำลังจะเอ่ยออกมาจากคนที่ตนเองรักและเทิดทูน
ในตำหนักของว่าที่พระชายา นางกำลังอยู่ท่ามกลางสาวใช้ถึงสามคน เพื่อต้องการแต่งกายด้วยอาภรณ์อันงดงาม ตามรับสั่งของฮองเฮา แต่มีสนมขององค์ชายหลงเทียนเข้ามาขัดขวาง และไล่สาวใช้เหล่านั้นออกไป
นางเดินเข้ามาสำรวจรอบกายของหานซูหลิน ก่อนจะเริ่มหัวเราะเยาะอีกฝ่าย
“หึ! ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีหน้ามาอยู่ตรงนี้ได้อีก ทั้งที่ตระกูลหานของเจ้าล่มสลายไปแล้ว” นางพูดจบก็เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงสาวที่ตนปรามาส
“หานซูหลิน ถึงตระกูลเจ้าจะทำผิดถึงขั้นก่อกบฏ แต่องค์ฮ่องเต้กลับไม่เอาผิดเจ้า เพราะเป็นเพียงบุตรีที่มิได้รับรู้ความชั่วช้าของบิดาตนเอง เจ้าถึงมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ด้วยความมีเมตตาของฮองเฮา ข้าละทั้งสมเพชและสงสารเจ้าเสียจริง”
น้ำเสียงของ เจียงเม่ยฉี กล่าวออกมาได้น่าทุเรศนัก ทำให้คนที่ถูกกลั่นแกล้งเช่นตน ต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ หานซูหลินไม่อยากเอ่ยวาจาอันใดให้มากความ
“หึ! เจ้าสมเพชข้าได้แน่ ในครั้งนี้เจ้ามีชัยเหนือกว่าข้านัก บุตรสาวเสนาธิการผู้หักหลังเพื่อนพ้องอย่างพ่อเจ้าคงยินดีอยู่หรอก ที่ได้ประเคนบุตรสาวให้เป็นน้ำใต้ศอกของข้าอย่างไม่อาย เจียงเม่ยฉี เจ้าช่างทุเรศกว่าข้ามากมายนักมิใช่หรือ”
“หึ! เวลานี้เจ้ายังจะหยิ่งผยองอยู่อีก คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะเหนือกว่า ข้าถือไพ่แห่งความโชคดีอยู่ และเจ้าก็มีไพ่แห่งความตายแปะบนหน้าผาก เช่นนี้แล้วใครกันแน่ที่ควรวางมือ!”
หญิงแพศยาตรงหน้าเอ่ยวาจาอันน่าชิงชังออกมา ทั้งตระกูลเม่ย ต่างเป็นคนเลวทรามทั้งหมด พวกเขาวางแผนการอันแยบยลเอาไว้ เพื่อต้องการทำลายเสนาบดีกรมยุติธรรม ซึ่งก็คือคือศาลตัดสินอันสูงสุด นับว่าแต่ก่อนบิดาของหานซูหลินมีอำนาจอยู่ในมือมากมาย แต่ตอนนี้มันได้ดับสนิทไปแล้ว ราวกับแสงเทียนถูกโหมกระพือด้วยลมแรง
หมดสิ้นความยำเกรง เพราะน้ำมือของเสนาบดีกรมการคลังเพียงผู้เดียว
วันนี้ หานซูหลิน จำต้องมาอยู่ร่วมในงานต้อนรับองค์ชายต่างแดน ก็เพราะว่านางคือว่าที่พระชายาขององค์ชายหลงเทียน ผู้งดงามและปรีชาสามารถ ซึ่งเขาก็เป็นองค์ชายรัชทายาทในลำดับต่อไปอีกด้วย
แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะห่างเหินออกไปก็ตามที
เขาเปลี่ยนไป หลังจากที่บิดาของนางโดนจับ และระวางโทษประหารในคดี ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏแผ่นดิน ซึ่งเรื่องราวนี้ ทำเอาหานซูหลินต้องเข่าทรุดลง เพราะความคาดไม่ถึง บิดาของนางเป็นคนดีและมีความยุติธรรมอย่างยิ่ง หากจะหาผู้ใดที่มีความเที่ยงตรงได้แล้ว นอกจากท่าน เง็กเซียนฮ่องเต้ ก็มีบิดาของนางเท่านั้นที่คู่ควร
“ว่าที่พระชายา ตอนนี้ข้าน้อยแต่งตัวให้ท่านเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ท่านต้องออกไปยังด้านหน้าของวังได้แล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ของตำหนักเอ่ยกับตน หานซูหลินจึงเยื้องย่างออกไปอย่างสง่างาม แต่ภายในใจนั้นใครจะรู้ ว่านางเศร้าสร้อยปานใด
ด้านหน้าซึ่งมีที่นั่งของแต่ละคนแยกออกไป หานซูหลิน เลือกที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้กับองค์ชายหลงเทียน แต่เขามิได้หันใบหน้ามาพิศดูนางสักนิดเดียว ยังคงนั่งตัวตรงอยู่บนตั่งของตนเอง
ส่วนฮ่องเต้และฮองเฮานั้นทรงนั่งอยู่ข้างกัน มีเพียงสายตายิ้มเยาะของ เม่ยเจียงฉี ที่ส่งมาให้ตน เพราะนางได้ขึ้นเป็นสนมขององค์ชายหลงเทียนแล้วนั่นเอง แม้แต่หานซูหลิน ก็มิเคยได้ร่วมเคียงกับองค์ชายหลงเทียนมาก่อน นั่นก็เพราะตำแหน่งว่าที่พระชายาเป็นสิ่งที่สูงค่านั่นเอง
ในวันเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในท้องพระโรง เสนาบดีแต่ละฝ่าย ต่างจดจ้องเพื่อที่จะรายงานเรื่องต่าง ๆ ให้แก่บิดาของแผ่นดินได้รับรู้ แต่ครานี้เม่ยจือลั่วที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ได้เสนอเรื่องการก่อกบฏของตระกูลหาน เรื่องซ่องสุมโจรร้ายและเป็นภัยแก่ราชวงศ์ในขณะนี้“กราบทูลฝ่าบาท นี่คือเรื่องจริงที่กระหม่อมได้ไปสืบทราบมาจากหลายฝ่าย ผู้นำตระกูลหาน มิได้เป็นคนดีอย่างที่ทุกคนคิด ตอนนี้เขาได้ซ่องสุมโจรขึ้นมา และทำการปล้นทรัพย์อย่างอุกอาจ กระหม่อมมีหลักฐานอยู่ในมือทั้งหมดพะยะค่ะ ทรงพิจารณาเรื่องนี้ด้วยกระหม่อม เพื่อนำความสันติมาให้ดินแดนฉางอันของเรา” เขานำหลักฐานเท็จมาให้ฮ่องเต้ทรงอ่าน เพื่อประทับสายพระเนตรลงไป“ในนี้เขียนว่ามีการปลดปล่อยนักโทษร้ายแรงเช่นนั้นหรือ มันเป็นผู้ใดกัน เจ้ารู้หรือไม่”“พะยะค่ะฝ่าบาท คนผู้นั้นเป็นนักโทษคดีร้ายแรง และเหมือนกับว่าเสนาบดีกรมยุติธรรม ได้ปล่อยตัวออกไป เพราะนักโทษใกล้ถึงแก่ความตาย จึงอนุโลมให้ไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิด และให้ทหารทำศพให้หลังจากนั้นขอรับ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่นักโทษผู้นั้นมิได้ตายจาก แต่กลับเข่นฆ่าทหารที่ติดตามไปจนหมดสิ้น ก่อนจะตั้งก๊กและเหล่าขึ้น เพื่อท
เมื่อองค์รัชทายาทจากแคว้นหลู่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจึงไม่รอช้า รีบออกมาจัดการกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ทันที“องค์ชายขอรับ พวกเราทหารสนับสนุนพร้อมแล้วที่จะทำตามพระประสงค์ขององค์ชาย ได้โปรดทรงออกคำสั่งมาได้เลยขอรับ” หัวหน้าสำนักเอ่ยขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า ออกคำสั่งกับหัวหน้าทหารโดยทันที“เจ้าอย่าได้ออกตัวว่าเป็นทหารจากแคว้นหลู่ ในครานี้มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นมากมายนัก ข้าอยากให้เจ้าสำนึกรักแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ชั่วคราว สำหรับการต่อสู้ในครั้งนี้ ตระกูลจ้าว จะไม่ยอมอยู่เฉย และพร้อมที่จะกำราบพวกโจรชั่วเหล่านั้น ส่วนข้าจะออกตัวมิได้ เพราะเป็นเพียงผู้มาเยี่ยมเยือนแคว้นนี้เท่านั้น หาได้มีสิทธิ์อันใดไม่ นอกจากต้องขอราชโองการจากฮ่องเต้หย่งเจิ้ง เพื่อปราบจลาจลในครั้งนี้ก่อนเจ้าจงให้คนประกาศออกไป ว่าตระกูลจ้าวจะปราบโจรผู้ร้ายในครั้งนี้เอง ข้าอยากรู้เหลือเกิน ว่ามีผู้ใดที่ร้อนรนในครั้งนี้กัน” องค์ชายอวิ๋นหลงคิดแผนการอยู่ในใจ เขาต้องสืบอีกต่อไปว่า เป็นองค์ชายหลงเทียนหรือไม่ที่บงการอยู่เบื้องหลัง“ขอรับองค์ชาย พวกข้าทั้งหมดจะไปปราบปรามพวกชั่วช้านี่เอง เพื่อความผาสุขของทั้งสอง
“คาราวะขอรับใต้เท้าหาน ด้วยความเมตตาของท่าน ข้าน้อยนั้นสบายดียิ่งขอรับ แต่หาได้สบายใจนัก พวกข้าจึงได้ออกหาหลักฐานเพิ่มเติม ก็ปรากฎว่าได้รับข่าวเดียวกันกับข่าวว่าที่พระชายา นำมาปรึกษาท่านในวันนี้ด้วยขอรับ” บัณฑิตหลิว หันไปทำความเคารพต่อว่าที่พระชายาหานซูหลิน ซึ่งนางก็ค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย บุรุษหนุ่มผู้เรียนรู้และประสิทธิประสาทวิชา จากสำนักที่มีชื่อสียง และได้รับการเรียนรู้ขัดเกลาความดีจากใต้เท้าหาน เอ่ยความจริงเรื่องของ เม่ยจือลั่วออกมาอีกมามาย“เสนาบดีกรมการคลังปลอมแปลงเอกสารส่งตัวนักโทษขอรับ โดยอ้างว่านักโทษคนนั้นตายลงด้วยไข้พิษ แท้จริงแล้วเขายังไม่ตาย แค่ดื่มพิษจากดอกไม้เมืองหนาวเข้าไปเล็กน้อย ทำให้ลมหายใจขาดช่วงชั่วครู่ และแม้แต่หมอหลวงก็ยังตรวจชีพจรผิดพลาด”องค์ชายอวิ๋นหลงครุ่นคิด“เขาทำอย่างนั้นไปเพื่อสิ่งใดกัน ท่านบัณฑิตทราบหรือไม่”“ข้าทราบขอรับท่านองครักษณ์ซ่ง เพราะเหรินเจิ้นผู้นั้นคือพ่อค้าที่มั่งคั่ง แต่น่าเสียดายที่เขาทำความผิดเท่าภูเขา จึงถูกจับกุม และนำตัวมาให้ใต้เท้าหานไต่สวนคดี และได้รับโทษจำคุกเกินครึ่งของอายุขัยตัวเองด้วยซ้ำขอรับ” เมื่อเขาพูดถึงชื่อนั้นให้ได้ยิน ควา
องค์ชายอวิ๋นหลงและหานซูหลินไม่รอช้า เพื่อเปิดโปงความชั่วของเม่ยจื่อลั่ว พวกเขาจึงดั้นด้นไปสืบหาต้นตอของรายชื่อที่อยู่ในสุสานของนักโทษ ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากพื้นที่เดิม ผ่านเนินเขาจนสุดถึงชายป่า ดูแล้วช่างลี้ลับนัก เพราะเหล่านักโทษพวกนี้มิได้มีครอบครัวต้อนรับอีกแล้ว การฝังและทำลายจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำ พวกที่มิได้รับอนุญาตนำออกไปจากห้องกักขังมีจำนวนมากกว่า แต่นักโทษรายนี้มีคำสั่งเป็นลายเซ็นจากผู้มีอำนาจสูงสุด นั่นก็คือฮ่องเต้ ร่างของเขาได้ถูกประทานที่ดินฝังกลบไปโดยปริยายหานซูหลินและองค์ชายหลงเทียนปกปิดตัวตนด้วยการแต่งกายมิดชิด ทั้งสองสวมอาภรณ์สีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรี เวลาฟ้ามืดทึบเป็นช่วงที่เหมาะสมยิ่ง เข้าสู่ปลายยามชวีแล้ว ผู้คนต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการกรำงานหนักทั้งวัน พวกเขาพร้อมเข้าอยู่ในครัวเรือนของตนกันหมด หากจะมีอาคันตุกะในความมืดปรากฎในเวลานี้ เห็นทีคงเป็นภูตผีหรือไม่ก็โจรร้ายแน่แล้ว ช่างเหมือนกับพวกเขาที่แต่งกายเฉกเช่นจอมโจรขโมยสุสานไม่มีผิดไม่นานนักหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ก็เหยียบย่างลงบนพื้นที่ซึ่งมิอยากมีใครต้องการเดินทางมา นอกจากคนตาย ทั้งสองมองหน้ากันเพื่อนับเวลา
“ข้ามิทราบขอรับ รู้เพียงแค่ทั้งโจรและทหารต่างเป็นพวกเดียวกัน และทหารวังก็มิเคยปกป้องราษฎรได้เลย พวกเขาแค่ทำไปตามหน้าที่ เหมือนกับหุ่นฟางไม่มีผิด”“เอาล่ะ ถือว่าข้ารับเรื่องนี้เอาไว้ก็แล้วกัน อย่าห่วงเลย ข้าจะจัดการเรื่องนี้ในไม่ช้า” เมื่อเสร็จสิ้นจากการหาข้อมูลโดยบังเอิญ องค์ชายอวิ๋นหลงจึงควบม้าไปยังจวนตระกูลหานโดยไวแรงจากอาชาว่องไวประหนึ่งสายลมพัด ในไม่ใช้เขาก็มาถึงจวนที่ต้องการ องค์ชายอวิ๋นหลงทรงผูกม้าไว้ข้างจวน ก่อนจะเร้นกายเข้าไปพบหานซูหลินด้านใน เพื่อมิให้ใครสังเกตเขาได้“หลินเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว”เสียงทักทายอันอบอุ่น ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์ ราวกับว่าหานซูหลินเองกำลังรอคอยองค์ชายอวิ๋นหลงผู้นี้อยู่เช่นกัน“องครักษ์ซ่งซือฟง เจ้าเข้ามาจากทางไหนกันหรือนี่ ช่างน่าแปลกใจนัก เหตุใดเจ้าถึงแอบย่องเข้ามาในจวนข้า”นางรู้สึกตกใจมิใช่น้อย หากเขาเข้าทางประตู แน่นอนว่าต้องมีสาวใช้เข้ามารายงานนางก่อนอยู่แล้ว“เจ้าทำเช่นนี้ข้าขวัญผวานัก นึกว่าเป็นผีบรรพบุรุษเรียกหาเสียอีก ต่อไปเจ้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ ข้ากลัว”“ดูท่าทางเหมือนเจ้าขนลุกจริง ๆ ด้วย ข้าต้องขออภัยเจ้าด้วยหลินเอ๋อร์ แต่ข้าจำเป็นต้องทำเช่
องค์ชายอวิ๋นหลงเร่งรีบตั้งใจสืบข่าว เรื่องที่หานซูหลินเอ่ยปากขอร้องให้เขาช่วยเหลือ แม้ตนเองจะมิใช่คนในราชวงศ์นี้ก็ตามที แต่เหตุการณ์นี้เกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ซึ่งเขาที่เป็นผู้เจริญสัมพันธไม่ตรีก็มิอาจทนดูอยู่ได้ อีกทั้งหานซูหลิน เป็นสตรีที่เขาชื่นชมหากนางไร้แผ่นดินอยู่ มิหนำซ้ำยังถูกคนร้ายย่ำยีตระกูลดั่งเช่นที่นางเอ่ยมา เขาก็มิอาจทนได้ องค์ชายอวิ๋นหลงจะมิยอมให้ว่าที่พระชายาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้เป็นแน่ หากเขาสามารถช่วยยุติสิ่งเลวร้ายนี้ได้ เขาก็ยินดีทำเพื่อสตรีที่ตนปรารถนาอยู่เนือง ๆองค์ชายอวิ๋นหลงส่งสายสืบเข้าไปในคุกหลวง แต่กลับมิได้รับข่าวคราวอันใดมากไปกว่าเดิม นั่นอาจเป็นเพราะในคุกมีคนของเม่ยจื่อลั่วอยู่มากมายก็เป็นได้“กราบทูลองค์ชายอวิ๋นหลง กระหม่อมได้สืบเสาะเรื่องราวในคุกหลวงแล้วพะยะค่ะ ได้ข่าวมาไม่มากเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังไม่พบพิรุธอันใด เกรงว่าหากสืบไปมากกว่านี้ ทางสำนักพระราชวังคงต้องจับตาดูความเป็นอยู่ขององค์ชายมากกว่านี้แน่ กระหม่อมคาดคะเนว่า จะส่งผลร้ายต่อองค์ชายนะพะยะค่ะ ทางแคว้นหลู่ของเราควรรามือเสีย ทรงหาทางอื่นเถอะพะยะค่ะ”องครักษ์คู่ใจกล่าวกับเขาเช่นนั้น ซึ่
ความคิดเห็น