กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะมาถึงที่เกิดเหตุ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที เนื่องจากสายฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าปกติ เจ้าของรถสามคันที่รอเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนหน้านี้รีบถือร่มลงจากรถไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังตามความจริงว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุน่าจะไม่ชินเส้นทางและมาด้วยความเร็ว
เมื่อตำรวจฟังคำให้การของพลเมืองดีทั้งสามคนเสร็จ ตำรวจก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากที่เกิดเหตุหลังขอเบอร์โทรของพวกเขาเอาไว้เผื่อจะขอคำให้การเพิ่มเติม ไม่นานนักเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็นำร่างของจูฉิงอันออกจากรถได้ เจ้าหน้าที่หลายคนตรวจสอบภายในรถจนพบว่าโทรศัพท์ของผู้ตายยังคงใช้งานได้ เพียงแต่หน้าจอแตกร้าวเท่านั้น เขาจึงหาเบอร์โทรล่าสุดเพื่อแจ้งให้ญาติทราบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว
[ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติเจ้าของโทรศัพท์หรือเปล่าครับ ]
[ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ ไม่ทราบใครโทรมาครับ ]
[ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองเหลียงเฮ่อครับ เจ้าของโทรศัพท์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณช่วยติดต่อญาติเพื่อมารับศพด้วยนะครับ ]
[ อะไรนะครับ!!! ]
[ ผมบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณติดต่อญาติมารับศพที่เมืองเหลียงเฮ่อด้วยนะครับ ]
หัวหน้าฝ่ายอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนที่เขาจะน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเศร้าโศก เขาไม่คิดว่าการส่งเธอไปทำงานครั้งนี้จะทำให้จูฉิงอันเสียชีวิตไปจริง ๆ
[ เธอไม่มีญาติครับ รบกวนคุณช่วยดูแลศพให้ผมก่อนนะครับ ผมจะทำเรื่องแจ้งบริษัทก่อนและจะเดินทางไปที่นั่นวันพรุ่งนี้ครับ ]
[ ตกลงครับ ถ้าคุณมาถึงแล้ว รบกวนโทรแจ้งผมที่หมายเลข ****** ได้เลยนะครับ ผมจะออกไปรอคุณที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลเมืองเหลียงเฮ่อ ]
[ ขอบคุณมากครับ ]
[ ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ สวัสดีครับ ]
[ ครับ สวัสดีครับ ]
หัวหน้าฝ่ายวางสายไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความสงสารเด็กที่มีความสามารถอย่างจูฉิงอัน กว่าที่เขาจะทำใจได้ก็กินเวลาไปมากถึงครึ่งชั่วโมง จากนั้นเขาจึงต่อสายหาฝ่ายบุคคลเพื่อแจ้งเรื่องราวทั้งหมด ยังไม่ทันข้ามวัน เพื่อนร่วมงานในบริษัทต่างทราบข่าวการเสียชีวิตของจูฉิงอัน พวกเขาได้แต่เสียดายคนขยันอย่างเธอกันไม่น้อย ไม่ว่าใครให้เธอช่วยงาน จูฉิงอันไม่เคยปฏิเสธมาก่อน จนกระทั่งวันนี้ที่เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพื่อนร่วมงานต่างเศร้าเสียใจไปตาม ๆ กัน ยิ่งกับเหล่าหัวหน้าฝ่ายและผู้บริหารที่รับรู้ถึงความสามารถของเธอด้วยแล้ว พวกเขาเองก็เสียใจไม่ต่างกัน
วันรุ่งขึ้น หัวหน้าฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารเพื่อวางแนวทางให้พนักงานไม่ต้องทำงานอย่างหักโหมจนประสบอุบัติเหตุอย่างไม่คาดคิดเหมือนกับจูฉิงอัน หลังการประชุมเสร็จสิ้นลง หัวหน้าฝ่ายการตลาดและหัวหน้าฝ่ายบุคคล เป็นตัวแทนบริษัทไปรับศพของเธอกลับมาจากเมืองเหลียงเฮ่อ
เพื่อนพนักงานที่สนิทกันของจูฉิงอันสองสามคน อาสาไปเก็บข้าวของในคอนโดที่พักของจูฉิงอันเพื่อนำมาเตรียมทำพิธีศพ ซึ่งบริษัทจะเป็นเจ้าภาพตลอดงานจนกว่าการฝังศพจะเสร็จสิ้น
ระหว่างที่เพื่อนพนักงานกำลังเตรียมเสื้อผ้า ข้าวของของจูฉิงอันกันอยู่ มีหนึ่งในเพื่อนที่ไปด้วยกันพบพินัยกรรมของจูฉิงอันเข้า เธอรีบนำไปให้เพื่อนคนอื่นๆ ดูด้วยกัน ก่อนจะเก็บเอาไว้ไปแจ้งหัวหน้าฝ่ายเพื่อให้เขาทำตามความประสงค์สุดท้ายของจูฉิงอัน
เทพชะตาเห็นแก่ความดีของจูฉิงอัน ท่านจึงเคลื่อนย้ายวิญญาณของเธอไปยังอีกภพหนึ่งซึ่งมีครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาตามความปรารถนาของเธอตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ครอบครัวนี้จะลำบากไปสักหน่อย แต่เรื่องความรักใคร่ปรองดองของคนในครอบครัวนับว่าเหมาะสมที่จูฉิงอันจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ณ ภพภูมิใหม่
จูฉิงอันที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่หลังจากผ่านพ้นความตายมาหมาด ๆ ตอนนี้เธอรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว และยังฝันแปลก ๆ ว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับเธอตอนยังเด็กต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเพราะผู้เป็นย่ามาตั้งแต่จำความได้ จูฉิงอันรู้สึกสงสารเด็กน้อยจับใจ เธอมองดูภาพความทรงจำที่เหมือนดั่งความฝันนี้จนถึงตอนที่เด็กหญิงตายไปอย่างอนาถ จูฉิงอันได้แต่ภาวนาขอให้เด็กคนนี้ไปยังภพภูมิที่ดี แต่เด็กหญิงกลับขอร้องให้เธอช่วยดูแลครอบครัวแทนตัวเองเสียอย่างนั้น จูฉิงอันไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กน้อยจึงต้องการให้เธอช่วยเช่นนั้น แต่เธอก็รับปากตามที่เด็กคนนั้นต้องการอย่างเต็มใจ ก่อนที่เด็กหญิงจะกล่าวขอบคุณและหายไปจากภาพฝันของเธอหลังจากนั้น
“ข้าบอกว่าพวกเจ้ามันเป็นตัวขาดทุน! เจ้ายังจะมาเรียกร้องอะไรอีก!!!”
“ฮึก.. ท่านแม่ ข้าขอร้องท่าน ฮือ.. ลูกข้าไม่สบายมากจริง ๆ ข้าอยากพานางไปหาหมอ ตอนนี้ท่านพี่ไปล่าสัตว์ ข้าไม่มีเงินติดตัวเลยสักอีแปะ ขอท่านแม่โปรดเมตตา”
“เพ้ย!!! นั่นมันเรื่องของครอบครัวรองของเจ้า เกี่ยวอันใดกับเงินของข้า!”
“ฮือ… ท่านย่า พี่ใหญ่ป่วยหนักจริง ๆ นะขอรับ เงินที่ท่านพ่อหามาได้ก็อยู่ที่ท่านย่า หากท่านย่าไม่ให้เงินพวกเราพาพี่ใหญ่ไปหาหมอ แล้วพวกเราจะเอาเงินที่ใดเล่า”
“ฮือ… ท่านย่าขอรับ ข้าขอร้องท่าน… โปรดช่วยพี่ใหญ่ด้วยขอรับ..”
“ฝันไปเถอะ นังนั่นมันตัวขาดทุน เรื่องอะไรข้าจะยอมเสียเงินเสียทองเพราะมัน พวกเจ้ารีบไปทำงานกันได้แล้ว เสียเวลาข้าจริง ๆ ฮึ่ย!”
สะใภ้หลิน จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพากันเข้าไปกอดขาแม่เฒ่าจูเอาไว้ก่อนที่นางจะออกจากบ้านไปนินทาคนในหมู่บ้านเหมือนกับทุกวัน
“ปล่อยข้านะเจ้าพวกบ้า!!!”
เพี๊ยะ! พลั่ก! ตุ้บ!
แม่เฒ่าจูใช้ไม้เท้าตีทั้งสามคนอย่างไม่ออมแรง นางรำคาญสะใภ้รองกับลูกแฝดของนางที่กวนใจไม่เลิก จึงไม่คิดจะยั้งมืออีกต่อไป สะใภ้หลินเห็นลูกชายถูกตีอย่างแรงจนล้มลงไปกองกับพื้นก็ได้แต่รีบเข้าไปบังพวกเขาเอาไว้ แม่เฒ่าจูเห็นนางรักลูกมากก็ยิ่งหมั่นไส้ นางกลับตีพวกเขาต่ออย่างไม่คิดจะหยุดมือง่าย ๆ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและความตกใจของเด็กชายฝาแฝดดังไปทั่วทั้งลานบ้าน ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงเห็นเรื่องเหล่านี้ประจำจนไม่รู้ว่าจะช่วยพวกเขายังไง เพราะแม่เฒ่าจูมักอ้างว่านี่เป็นเรื่องในครอบครัว ชาวบ้านจึงได้แต่มองดูพวกเขาถูกรังแกไม่เว้นแต่ละวัน ลูกชายนางจูที่รู้เรื่องดียังไม่กล้าเอ่ยปาก แล้วพวกเขาเพื่อนบ้านจะกล้ายุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร
เสียงดังวุ่นวายด้านนอกทำให้จูฉิงอันค่อย ๆ ได้สติ เธอลืมตาอย่างยากเย็นเพราะพิษไข้ ภาพแรกที่เธอมองเห็นคือเพดานดินเหนียวเหมือนบ้านเรือนโบราณในชนบทเมื่อหลายพันปีก่อน จูฉิงอันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมภาพฝันก่อนหน้านี้หมุนเวียนอยู่ในหัวของเธอ จูฉิงอันสูดหายใจลึกหลังจากทบทวนความทรงจำในหัวอีกรอบหนึ่ง ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ในร่างของเด็กคนนั้นและเธอยังรับปากจะดูแลครอบครัวแทนเด็กคนนั้นไปแล้วด้วย จูฉิงอันฟังเสียงดังด้านนอกจนรู้ว่าย่าใจร้ายของเธอน่าจะกำลังตีแม่กับน้องชายฝาแฝดของเธอ จนใจที่ตอนนี้จูฉิงอันไร้เรี่ยวแรง เธอได้แต่นอนฟังเสียงร้องอันเจ็บปวดพร้อมกับคำขอร้องซ้ำๆ ที่แม่กับน้อง ๆ ต้องการเงินเพื่อพาเธอไปหาหมอ จูฉิงอันเศร้าใจจนน้ำตาไหลรินออกมา เธอภาวนาให้ทั้งสามคนเลิกขอร้องย่าคนนั้นเสีย พวกเขาจะได้ไม่เจ็บตัว แต่น่าเสียดายที่ทั้งสามคนไม่รู้ถึงคำภาวนานั้น กว่าเสียงด้านนอกจะเงียบลงก็เป็นตอนที่น้องชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาวางมือเล็ก ๆ ไว้บนหน้าผากของเธอเพื่อวัดไข้
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นยังไงบ้างขอรับ” จูฉิงเฉิงเอ่ยถามนาง
“แค่ก ๆ ข้าดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องไปขอร้องท่านย่าอีกรู้หรือไม่” จูฉิงอันตอบกลับอย่างอ่อนแรง
“ฮึก.. ข้าไม่คิดว่าท่านย่าจะใจร้ายกับเราขนาดนี้ เงินพวกนั้นเป็นท่านพ่อหามาอย่างยากลำบาก ตอนนี้ท่านพี่ป่วยหนัก ท่านย่ากลับไม่ยอมนำเงินออกมา ฮือ…”
“อย่าร้อง… เจ้าเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน ต้องเข้มแข็งให้มากรู้หรือไม่” จูฉิงอันอยากปลอบน้องชายมากกว่านี้ จนใจที่นางไม่อาจลุกขึ้นได้จากร่างกายอันอ่อนเพลีย
“ฮึก.. ตกลงขอรับพี่ใหญ่ ข้าไม่ร้องแล้ว เดี๋ยวข้าไปเอาข้าวต้มมาป้อนท่านนะ”
“อืม… ขอบใจเจ้ามากอาเฉิง”
หลังจากต่างคนต่างอวดเรื่องของขวัญกันได้อีกพักใหญ่ หวางกงกงก็เชิญทุกคนไปร่วมรับประทานอาหารก่อนจะแลกของขวัญกันและมอบซองแดงให้เด็กๆ ที่ต่างเล่นเครื่องเล่นกันจนเหงื่อเต็มตัวไปหมดฮ่องเต้ยังขอบคุณหยูฉิงอันด้วยที่สร้างเครื่องเล่นเหล่านี้ขึ้นมา เพราะองค์ชายน้อยก็มักจะได้มาเล่นเครื่องเล่นที่นี่อยู่บ่อย ๆ เช่นกัน“นี่เป็นเรื่องที่หม่อมฉันสมควรทำอยู่แล้วเพคะ หากฝ่าบาทต้องการแบบให้กับช่างหลวงสร้างขึ้นมาก็บอกหม่อมฉันได้นะเพคะ”“ตกลง ๆ ขอบใจเจ้ามากที่ไม่เคยหวงแหนความรู้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากไม่มีเจ้าสักคน แคว้นหมิงคงไม่สามารถพัฒนาได้ถึงขั้นนี้”“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วเพคะ เป็นเพราะความร่วมมือของทุกคนในแคว้นต่างหากที่ทำให้แคว้นของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”“เฮ้อ เจ้านี่นะ ไม่เคยคิดที่จะเอาความดีความชอบแม้สักนิด เอาล่ะ ๆ เราทานอาหารกันก่อนดีกว่า เด็ก ๆ คงจะหิวกันแล้วล่ะ”
วันปีใหม่เช้าวันนี้จวนหยูวุ่นวายไปด้วยบ่าวไพร่ที่กำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงปีใหม่ที่จะมีแขกเริ่มมาในยามซื่อของวัน องค์หญิงหมิงจูกับหยูฉิงเฉิงเองก็กำลังแต่งตัวให้กับลูกชายและลูกสาวของพวกเขาอยู่ เสื้อผ้าต่าง ๆ ล้วนมาจากในวังที่ฮองเฮาสั่งคนตัดให้กับหลาน ๆ ของพระองค์อย่างน่ารักหลินอ้ายกับหยูฉางหยูก็แต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุดเพื่อต้อนรับปีใหม่เช่นกัน ส่วนลูกชายคนเล็กก็กำลังจัดการบุตรชายทั้งสองกับฮูหยินน้อยที่เรือนอีกหลัง สำหรับหยูจิ่นเซิงและเฉียนหลานนั้นก็แต่งตัวกันเต็มที่เพื่อให้สมกับวันปีใหม่ ยังไม่รวมซองแดงที่พวกเขาจะแจกให้ลูกหลานอีกไม่น้อยด้วย พวกเขาคาดเดาว่าวันนี้จะต้องเป็นงานที่ทุกคนสนุกกันมากแน่ ยิ่งหยูฉิงอันส่งของเล่นเด็กมาไว้ที่จวนหยูจำนวนไม่น้อยสำหรับให้หลาน ๆ เล่นตอนที่โตกว่านี้ด้วยแล้ว พวกเขายิ่งรักหลานสาวคนนี้มากขึ้นทุกที นางไม่เคยหวงสิ่งของใดเลย มีแต่มอบให้กับน้องชายทั้งสองและครอบครัวด้านจวนกั๋วกงก็วุ่นวายไม่แพ้กัน กว่าที่พี่เลี้ยงจะไล่จับเหล่าคุณชายน้อย ค
ที่ชายแดนตะวันตก หลังจากลูกของหยูฉิงหยางคลอดแล้ว ท่านพ่อตาได้ตั้งชื่อบุตรชายทั้งสองให้เขาว่า หยูอันเหิงและหยูอันไห่ เพราะหยูฉิงหยางอยากให้ในชื่อบุตรชายของเขามีชื่อพี่สาวอยู่ด้วย เขาสำนึกในบุญคุญของพี่สาวเสมอที่พาครอบครัวค้าขายจนได้เข้าเรียนและรับราชการในราชสำนักได้อย่างทุกวันนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันปีใหม่ แม่ทัพใหญ่ซวงอี้จึงชวนทุกคนกลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง เพราะเขาเดินทางมาอยู่ชายแดนตะวันตกได้เกือบสามเดือนแล้ว หยูฉิงหยางจึงไปขอลาราชการกับแม่ทัพชายแดนตะวันตกตามมารยาท ก่อนจะส่งม้าเร็วเดินทางไปถวายฎีกาเรื่องการพาครอบครัวไปรวมตัวกันในวันปีใหม่ที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ม้าเร็วเดินทางไปถึงเมืองหลวงโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน เมื่อฮ่องเต้ได้รับฎีกาของหยูฉิงหยางแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เขาพาครอบครัวกลับมาได้ ความจริงปีนี้พระองค์คิดที่จะจัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับเหล่าขุนนางเหมือนทุกปี เพียงแต่พอคิดได้ว่าการจัดงานบ่อยครั้งก็เสียเงินในคลังไปไม่น้อย ซึ่งพระองค์ยังคงอยากใช้เงินเหล่านั้นในการพัฒนาแคว้นม
จดหมายของหยูจิ่นเซิงไปถึงจวนแม่ทัพที่ชายแดนตะวันตกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา หยูฉิงหยางที่กำลังดูแลภรรยาที่กำลังท้องแฝดเช่นเดียวกับพี่ชายรีบนำจดหมายมาตอบพร้อมให้คนนำของฝากที่ท่านแม่ฝากมาให้เขากับฮูหยินไปเก็บไว้ในคลังเสบียงเสียก่อน“ท่านพี่ เหตุใดท่านแม่จึงส่งของกินมาเสียเยอะแยะเช่นนี้เล่า”“ฮ่า ฮ่า ท่านคงกลัวว่าเจ้าจะไม่ได้กินอาหารดี ๆ น่ะสิ ท่านแม่คงเป็นห่วงลูกของเรานั่นแหละน้องหญิง เจ้าเองก็บำรุงเยอะ ๆ เล่า จะได้คลอดง่าย ๆ เหลืออีกไม่กี่เดือน เจ้าก็จะคลอดเด็ก ๆ ออกมาแล้วนะ”“ข้ากินจนจะอ้วนเป็นหมูแล้วนะท่านพี่ หากท่านไม่ชอบที่ข้าอ้วนจะทำอย่างไร”“เจ้าก็คิดมากเกินไปน้องหญิง พี่มีหรือจะไม่ชอบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะรูปร่างเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นที่รักของพี่ตลอดไปนั่นแหละ ทีหลังอย่าคิดมากรู้ไหม”หยูฉิงหยางกอดภรรยารักเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแสนรัก เขารู้ดีว่านางคงกลัวว่าเขาจะมีหญิงอื่นกระมัง
หนึ่งเดือนต่อมา จดหมายจากหยูฉิงหยางส่งมาบอกทุกคนว่าสะใภ้เล็กท้องแล้ว ทำให้ทุกคนดีใจมาก ส่วนองค์หญิงหมิงจูนั้น ยังไม่มีใครกล้าสอบถามอะไรในเรื่องนี้ แต่เหล่าผู้อาวุโสต่างสอบถามหยูฉิงเฉิงแทน“อาเฉิง เหตุใดสะใภ้ใหญ่ไม่ท้องเสียทีเล่า”“เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้ขอรับท่านปู่ แต่ข้าก็ขยันขันแข็งทุกวันนะขอรับ”“แล้วช่วงนี้ดูเหมือนนางจะดูมีน้ำมีนวลและน้ำหนักขึ้นบ้างหรือไม่เล่า”“ท่านย่าเดาได้เหมือนตาเห็นเลยขอรับ ข้าสังเกตว่านางดูเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดหน่อยและท้องของนางก็ป่องออกมาเล็กน้อยด้วยนะขอรับ”“เช่นนั้นประเดี๋ยวให้พ่อบ้านไปเรียกหมอมาตรวจสักหน่อย นางอาจท้องแล้วไม่รู้ตัวก็ได้ เหมือนพี่ใหญ่เจ้าที่กว่าจะรู้ว่าท้องสองก็ตอนสามเดือนแล้ว”“ขอรับ หากมีข่าวดีเหมือนน้องสามก็คงดี เด็ก ๆ จะได้เกิดไล่เลี่ยกัน”หย
หลังจากหยูฉิงเฉิงได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้ตรวจการพิเศษ เขาก็ยังคงเข้าไปทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับแผนการพัฒนาบ้านเมืองที่เคยเสนอต่อฝ่าบาทไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมหาเสนาบดีเซี่ยยังคงรายงานการทำงานของขุนนางที่ถูกส่งออกไปให้กับเขารับทราบ เพื่อที่หยูฉิงเฉิงจะได้วางแผนการเดินทางไปตรวจงานได้ในภายหลังด้านองค์หญิงหมิงจูพอเป็นสะใภ้ตระกูลหยูแล้ว พระองค์ยังคงเข้าวังไปเยี่ยมเสด็จแม่อยู่บ่อย ๆ เนื่องจากที่จวนหยูไม่มีสิ่งใดให้นางทำบ้างเลย ครั้นจะให้นางไปนั่งปักผ้ากับท่านย่าและแม่สามีนางก็ไม่ค่อยชอบนัก ปกตินางชอบเล่นพิณและวาดรูปมากกว่า แต่ก็กลัวว่าเสียงพิณจะไปรบกวนการทำงานของท่านย่าและแม่สามีของนางเข้า นางจึงมาเล่นที่วังให้เสด็จแม่ฟังแทนเฉียนหลานกับหลินอ้ายนั้นพอรู้อยู่บ้างว่าองค์หญิงน่าจะอึดอัดและเหงาที่ต้องอยู่จวนโดยไม่มีสิ่งใดทำ พระองค์จึงได้เสด็จเข้าวังบ่อย ๆ เมื่อหยูฉิงเฉิงกลับจวนมาแล้วทราบเรื่องเข้า เขาจึงคุยกับองค์หญิงในคืนวันหนึ่ง“น้องหญิง เจ้าเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่จวนนี้หรือ”