เหิงอันโหวมองหยกสลับกับหลินฉางหยูอยู่นานจนกระทั่งเขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ข้ารู้จักคนที่หยกเช่นเจ้าอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะเชื่อใจข้าหรือไม่ ฉางหยู”
หลินฉางหยูเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน เหตุใดเขาจึงไม่นำหยกมาให้ท่านผู้อาวุโสดูแต่แรก ไม่เช่นนั้นเขาคงได้มีเวลาออกตามหาครอบครัวของตนก่อนจะเดินทางพาลูก ๆ ไปสอบที่เมืองหลวงแล้ว
“จริงหรือขอรับท่านผู้อาวุโส? ท่านรู้จักครอบครัวข้าจริงหรือขอรับ?”
“แน่นอนว่าข้ารู้จักดีเสียด้วย พวกเราเคยร่วมรบกันมาในศึกชายแดนตะวันตกเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยนั้นแคว้นของเราต่างถูกรุกรานจากแคว้นรอบข้างอยู่เนือง ๆ ข้ากับบุตรชายและลูกสะใภ้จำเป็นจะต้องออกศึกแยกกัน ข้าไปที่ด่านคุนหมิง ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ของข้านั้นไปที่ด่านต้าหลี่ทางชายแดนใต้ ส่วนชายแดนเหนือในตอนนั้นเป็นฮ่องเต้ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานพาทหารไปต้านข้าศึกด้วยพระองค์เองในสมัยนั้น โดยมีไท่ฝูเป็นกุนซือให้กับฝ
จูฉิงอันเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอจำความได้ หลังจากอายุครบเกณฑ์ที่ต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุ 18 เธอก็หางานทำและเรียนไปด้วยจนกระทั่งจบปริญญาตรีด้านการตลาด ทุกปีจูฉิงอันจะนำเงินเก็บส่วนหนึ่งส่งกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเลี้ยงดูน้อง ๆ เหมือนกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่ออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกับเธอหลังจากเรียนจบและทำงานพาร์ทไทม์ต่อมาอีก 3 ปี จูฉิงอันก็มีโอกาสได้เข้าทำงานในบริษัทนำเข้าและส่งออกผลไม้รายใหญ่ของประเทศจากความสามารถของเธอเอง ทำให้จูฉิงอันสามารถซื้อคอนโดและรถยนต์ส่วนตัวได้จากเงินเดือนที่ได้รับในบริษัทใหญ่บริษัทนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี นับว่าเธอตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมทำงานประจำกับบริษัทนี้หลังจากที่เปรียบเทียบรายได้จากการทำงานพาร์ทไทม์หลายงานมานานหลายปี2 ปี ต่อมา ตำแหน่งของจูฉิงอันก็ได้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เธอต้องรับผิดชอบงานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก ยิ่งเธอขยันทำงานมากเท่าไหร่ เงินรายได้ของเธอก็ยิ่งได้รับจากการทำงานมากขึ้นเท่านั้น หัวหน้าแผนกยังไว้วางใจให้เธอเข้าร่วมงานสัมนาและการประชุมต่
กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะมาถึงที่เกิดเหตุ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที เนื่องจากสายฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าปกติ เจ้าของรถสามคันที่รอเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนหน้านี้รีบถือร่มลงจากรถไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังตามความจริงว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุน่าจะไม่ชินเส้นทางและมาด้วยความเร็วเมื่อตำรวจฟังคำให้การของพลเมืองดีทั้งสามคนเสร็จ ตำรวจก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากที่เกิดเหตุหลังขอเบอร์โทรของพวกเขาเอาไว้เผื่อจะขอคำให้การเพิ่มเติม ไม่นานนักเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็นำร่างของจูฉิงอันออกจากรถได้ เจ้าหน้าที่หลายคนตรวจสอบภายในรถจนพบว่าโทรศัพท์ของผู้ตายยังคงใช้งานได้ เพียงแต่หน้าจอแตกร้าวเท่านั้น เขาจึงหาเบอร์โทรล่าสุดเพื่อแจ้งให้ญาติทราบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว[ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติเจ้าของโทรศัพท์หรือเปล่าครับ ][ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ ไม่ทราบใครโทรมาครับ ][ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองเหลียงเฮ่อครับ เจ้าของโทรศัพท์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณช่วยติดต่อญาติเพื่อมารับศพด้วยนะครับ ][ อะไรนะครับ!!! ][ ผมบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณติ
หลังจากน้องชายคนโตออกจากห้องไป จูฉิงอันได้ยินเสียงคุยของแม่และน้องชายคนรองกำลังกังวลเรื่องอาการป่วยของนาง“ท่านแม่ เราจะทำยังไงกันดีเล่าขอรับ ฮึก.. ท่านพ่อยังไม่กลับจากล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราจะหาเงินที่ไหนช่วยพี่ใหญ่ขอรับ ฮือ..”“โธ่ ลูกรัก อาหยางอย่าร้องไห้ลูก เดี๋ยวแม่จะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดตัวให้พี่สาวเจ้าก่อน เมื่อครู่อาเฉิงบอกแล้วว่าพี่สาวเจ้ารู้สึกตัวแล้ว หากนางได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น เจ้าไปช่วยอาเฉิงป้อนข้าวพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แม่จะไปเตรียมน้ำร้อน”“ฮึก.. ขอรับท่านแม่”จูฉิงหยางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกก่อนจะเดินไปหาพี่ชายในห้องครัว หลินอ้ายมองตามหลังลูกชายคนรองทั้งน้ำตา ใช่ว่านางจะไม่ห่วงลูกสาว เพียงแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดรุนแรงกับแม่สามีได้ เพราะสามีของนางเป็นคนกตัญญูมากเกินไปจนเขาไม่กล้าว่ากล่าวครอบครัวตัวเอง ทั้งที่นางกับลูกถูกรังแกมาตลอด เขากลับทำเพียงปลอบโยนพวกนางและทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น โดยที่พวกนางไม่เคยได้แตะต้องเงินที่สามีหามาเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินก็เป็นพวกนางช่วยกันหาของป่าบนเขาไปแลกกับชาวบ้านมาตลอด เขายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
แม่เฒ่าจูได้แต่กระฟัดกระเฟียดที่จูฉางหยูขัดคำสั่งนาง ครั้นจะให้นางวิ่งไปที่บ้านท่านหมอก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก นางกลัวว่าหากผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจะมาลงโทษนางอีก ก่อนหน้านี้เขาปล่อยผ่านเพราะเรื่องราวยังไม่ร้ายแรง แต่ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าเขาจะปล่อยผ่านอีกหรือไม่จึงไม่กล้าเสี่ยง ด้วยความโมโห แม่เฒ่าจูไม่อยู่นินทาชาวบ้านต่อ นางใช้ไม้เท้าพาตัวเองกลับไปบ้านตระกูลจูเพื่อรอจัดการเจ้าพวกบ้านรองที่บังอาจขัดคำสั่งนางหลินอ้ายกับลูกชายไปถึงบ้านท่านหมอก็ร้องเรียกท่านเสียงดังด้วยกลัวว่าท่านหมอชราจะไม่ได้ยินพวกนาง ไม่นานนักหมอกวงก็เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้พวกเขา ก่อนจะถามนางว่าเหตุใดจึงดูเร่งร้อนเพียงนี้“ฮึก.. ท่านหมอช่วยลูกสาวข้าด้วยเจ้าค่ะ นางป่วยมาหลายวันแล้วจนอาการทรุดลง สามีข้ากำลังพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”“อ้าว ถึงว่าสิ ข้าไม่เห็นนังหนูฉิงอันนำสมุนไพรมาฝากข้านานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาก่อน ข้าจะไปดูว่ามียาอะไรเหลืออยู่บ้าง”หมอกวงพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป หลินอ้ายกับลูกชายได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จูฉางหยูจะพาจูฉิงอันมาถึง หลังจากกังวลอยู่ไม่นาน นางก็เห็นสามีวิ่งมาเกือบถึงบ้านท่านหมอแล้ว“ท่านพี่ รีบพาลูกเข้า
“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ข้าบอกว่าไม่ให้พานังตัวขาดทุนไปหาหมอยังกล้าขัด ถ้าวันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่เฒ่าจูเลย”“ท่านแม่ตีพวกมันให้ตายเลย ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเสบียงในบ้านหายไปบ่อย ๆ นี่พวกมันคงแอบขโมยทุกวันกระมังเจ้าค่ะ”แม่เฒ่าจูไม่สนใจว่าจูฉางหยูจะกำลังอุ้มจูฉิงอันอยู่ นางพุ่งเข้าไปพร้อมไม้ท่อนยาวที่ไม่รู้ว่าไปนำมาจากไหนหวดเข้าใส่กลุ่มจูฉางหยูอย่างไม่ออมแรงจูฉางหยูเห็นแม่ตนเองพุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็รีบหันหลังบังร่างของทุกคนในบ้านเอาไว้จนถูกไม้หวดเข้าเต็มแรงจนเขาเกือบเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น“ฮือ… ท่านแม่ ท่านอย่าตีท่านพี่”“ฮือ… ท่านย่า อย่าตีท่านพ่อขอรับ” สองแฝดรีบเข้าไปเกาะขาแม่เฒ่าจู“หลีกไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”พลั่ก! ตุ้บ! โอ๊ย!!!จูฉางหยูได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นแม่เฒ่าจูเงื้อไม้ตีเด็กทั้งสองอย่างรุนแรง ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวบังลูกไว้ก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย จูฉางหยูทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าชนแม่เฒ่าจูจนนางล้มลงตุ้บ! กรี๊ด!!!“ไอ้ลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? อาฮวา ไปเอามีดในครัวมา วันนี้ข้าจะสับพวกมั
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศหนาวเย็น ป่าเขาล้อมรอบหมู่บ้านด้วยหมอกขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง จูฉางหยูสะพายธนูและกระบอกน้ำไว้บนหลัง เดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องการล่าสัตว์เพื่อหาอาหารมาจุนเจือครอบครัวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเสียงใบไม้กรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าของเขาและเสียงนกที่ร้องอยู่ในไพรพงทำให้ป่าดูเหมือนมีชีวิต แต่จูฉางหยูไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจดจ่อกับรอยเท้ากวางที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน มันเป็นรอยเท้าสดใหม่ที่นำเขาลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเขาพบร่างกวางตัวใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จูฉางหยูหยุดเดิน หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่เขาประเมินระยะและความแม่นยำของลูกธนู เขาค่อยๆ ยกธนูขึ้นเล็ง แต่ในขณะนั้นเอง เสียงแตกของกิ่งไม้บางเบาใต้เท้าของเขาทำให้กวางสะดุ้งและวิ่งหนีไปจูฉางหยูรีบวิ่งตาม แต่ด้วยความเร่งรีบ เขากลับไม่ทันระวัง พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นทางลาดชันที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เขาพลัดตกลงไปในเหวเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ร่างของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ระหว่างทาง จนกระทั่งเขาหยุดลงที่พื้นดินด้านล่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนและขา รอยแผลเปิดและรอยฟกช
ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน “ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวังค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
เหิงอันโหวมองหยกสลับกับหลินฉางหยูอยู่นานจนกระทั่งเขาต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างไม่อยากจะเชื่อ“ข้ารู้จักคนที่หยกเช่นเจ้าอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะเชื่อใจข้าหรือไม่ ฉางหยู”หลินฉางหยูเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน เหตุใดเขาจึงไม่นำหยกมาให้ท่านผู้อาวุโสดูแต่แรก ไม่เช่นนั้นเขาคงได้มีเวลาออกตามหาครอบครัวของตนก่อนจะเดินทางพาลูก ๆ ไปสอบที่เมืองหลวงแล้ว“จริงหรือขอรับท่านผู้อาวุโส? ท่านรู้จักครอบครัวข้าจริงหรือขอรับ?”“แน่นอนว่าข้ารู้จักดีเสียด้วย พวกเราเคยร่วมรบกันมาในศึกชายแดนตะวันตกเมื่อหลายสิบปีก่อน สมัยนั้นแคว้นของเราต่างถูกรุกรานจากแคว้นรอบข้างอยู่เนือง ๆ ข้ากับบุตรชายและลูกสะใภ้จำเป็นจะต้องออกศึกแยกกัน ข้าไปที่ด่านคุนหมิง ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ของข้านั้นไปที่ด่านต้าหลี่ทางชายแดนใต้ ส่วนชายแดนเหนือในตอนนั้นเป็นฮ่องเต้ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นานพาทหารไปต้านข้าศึกด้วยพระองค์เองในสมัยนั้น โดยมีไท่ฝูเป็นกุนซือให้กับฝ
หลินฉิงอันที่ไม่ได้คิดมากกับการเดินทางไกลครั้งแรกในภพนี้ของนาง นางปล่อยให้ซูเซียนเป็นคนเก็บเสื้อผ้า เครื่องประดับของนาง ส่วนตนเองนั้นกลับไปตรวจสอบดูสมุดจดที่นางเตรียมจะถวายฎีกาให้กับฮ่องเต้หลังจากไปถึงเมืองหลวงเท่านั้น หลินฉิงอันกลัวว่าจะหลงลืมเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติมที่นางอยากเสนอให้ฝ่าบาททรงพิจารณา เนื่องจากนางไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จะเกิดภัยแล้ง ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่เคยเกิดภัยแล้งขึ้นก็ตาม แต่การป้องกันเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ หลินฉิงอันจึงคิดจะเสนอเรื่องนี้ขึ้นไป ส่วนพื้นที่ชายทะเลที่ท่านปู่บอกจะพานางอ้อมไปดูนั้นก็นับเป็นเรื่องที่ดี นางได้ยินท่านปู่บอกมาว่าที่นั่นมีเรือของต่างชาติมาจอดบ่อยๆ บางทีนางอาจจะได้เมล็ดพันธุ์พืชที่ปลูกง่ายและให้ผลผลิตสูงสำหรับชาวบ้านก็เป็นได้ หลินฉิงอันได้แต่หวังว่าการเดินทางครั้งนี้นางจะสามารถพัฒนาการเกษตรให้กับชาวบ้านระหว่างทางได้บ้างไม่มากก็น้อยหลังอาหารเช้าวันต่อมา ตอนนี้ขบวนรถม้าทั้งหมด 10 คัน ต่างจอดรอให้นายท่านทั้งหลายขึ้นรถได้แล้ว โดยเหิงอันโหวจะเป็นคนนั่งในรถม้าคันแรก ส่วนรถม้าคั
หลังจากผ่านพ้นหน้าหนาว ตอนนี้บ้านหลินรับซื้อผลไม้อีกครั้งจากหมู่บ้านอื่นและชาวบ้านในหมู่บ้านต้าไห่ ถึงแม้พวกเขาจะมีผลไม้แช่อิ่มเก็บอยู่ในโกดังจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันคิดว่าต้องรีบเก็บเอาไว้ก่อนที่จะหมดช่วงฤดูผลไม้ที่ปีนี้นางคาดว่าผลไม้จะออกผลไม้ทันการผลิตเป็นแน่ เพราะปีที่แล้วนางรับซื้อมาทำผลไม้แช่อิ่มเป็นจำนวนมาก หากการขายพันธุ์ผลไม้ของนางเสร็จสิ้นในอีกสองปีข้างหน้า หลินฉิงอันก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการกักตุนผลไม้อีกต่อไปหวังไห่กับคนอื่น ๆ ที่ต้องกลับไปเปิดร้านต่างนำสัมภาระกลับไปพร้อมกับผลไม้แช่อิ่มอีกนับ 50 กระสอบ ถึงแม้ที่ร้านจะยังมีผลไม้แช่อิ่มเหลืออยู่ก็ตาม แต่พวกเขาไม่อยากให้ที่หมู่บ้านต้องเสียเวลาเดินทางนำเข้าไปส่งในเมือง หวังไห่จึงขนกลับไปกันเอง โชคดีที่รถม้าคันนี้ใหญ่พอที่จะบรรทุกของได้ทั้งหมด ถึงแม้หวังไห่กับหลี่หมิงจะต้องนั่งด้านหน้ารถม้าก็ตามทีหลินเจี้ยนที่กลับมาจากขายปลาและถั่วงอกมาช่วยแม่เฒ่าซูกับฮูหยินของเขาที่โรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่ม หลินฉิงอันเข้าไปพูดคุยกับท่านลุงของนางถึงแผนการเดินทางไปเมืองห
เหิงจิ้งกั๋วใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่หมู่บ้านต้าไห่หนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปยังชายแดนเหนือเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง หลินฉิงอันยังมอบเสบียงและผลไม้แช่อิ่มให้เขานำไปกินด้วยไม่น้อย นางรู้สึกว่าเวลาที่ใช้กับเหิงจิ้งกั๋วช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน เพราะทุกวันเขาจะพานางเดินเล่นพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนเข้านอนทุกวัน แต่หลินฉิงอันก็รู้ดีว่าเขาเองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำ ไม่ต่างจากนางที่ยังคงนึกทบทวนความทรงจำในภพก่อนว่ามีเรื่องใดที่นางพอจะช่วยพัฒนาแคว้นได้อีกหลังจากเหิงจิ้งกั๋วจากไปแล้ว อีกเพียงแค่หนึ่งเดือนก็จะหมดหน้าหนาวของปีนี้ เหิงอันโหวยังคงสั่งสอนหลินฉิงเฉิงกับหลินฉิงหยางตามปกติ ตอนนี้เขามีตำราที่ให้พ่อบ้านใหญ่นำมาด้วยไม่น้อย เหิงอันโหวต้องการให้เด็กทั้งสองเรียนรู้และเข้าใจตำราอย่างถ่องแท้ก่อนที่จะเข้าสอบจอหงวนในอีกครึ่งปีหลังจากนี้สามวันต่อมา เจ้าเมืองเติ้งกับฮูหยินมาเยี่ยมเหิงอันโหวพร้อมของขวัญปีใหม่ ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะมานานแล้ว เพียงแต่รู้ข่าวว่าท่านแม่ทัพเหิงเดินทางมาเสียก่อน พวกเ
มื้อเย็นวันนี้ที่มีเหิงจิ้งกั๋วเข้าร่วมด้วยทำให้บรรยากาศในห้องอาหารเป็นไปอย่างชื่นมื่น ยิ่งอาหารวันนี้ที่เหิงจิ้งกั๋วเคยกินครั้งแรกแล้ว เขาก็ยิ่งติดใจมากกว่าหม้อไฟที่เคยกินเมื่อปีก่อนเสียอีกหลินฉิงอันที่ถูกให้นั่งข้างคู่หมั้นของตนเองก็ได้แต่กินเนื้อย่างที่เหิงจิ้งกั๋วคอยย่างแล้วเอามาวางในถ้วยนางจนเขาแทบจะไม่ได้กิน“พี่ชายเหิง ท่านกินบ้างสิเจ้าคะ ท่านเล่นเอามาวางให้ข้าจนแทบจะล้นถ้วยแล้ว ข้ากินไม่ทันหรอกนะเจ้าคะ”“อ่า… พี่ขอโทษ เช่นนั้นหากเจ้าต้องการเนื้อเพิ่มก็บอกพี่นะ ประเดี๋ยวพี่จะย่างให้เจ้าเอง แล้วก็ไม่ต้องเกรงใจพี่ด้วยเล่า ตอนนี้เราเป็นคู่หมั้นกันแล้ว”“ข้ารู้เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ชายเหิงที่คอยดูแลข้าเจ้าค่ะ”คนอื่น ๆ ในโต๊ะเงี่ยหูฟังสองหนุ่มสาวคุยกันเบา ๆ ก็พออกพอใจที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูดีไม่น้อย นับว่าการหมั้นกันก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่พวกเขาตัดสินใจได้ถูกต้องจริง ๆ
สองสัปดาห์ต่อมา เหิงจิ้งกั๋วที่จัดการงานของตนเองและวางกำลังพลดูแลชายแดนเรียบร้อยแล้ว เขาเดินทางมายังหมู่บ้านต้าไห่หลังจากวันปีใหม่ เพราะต้องรอเกือกม้า อานและโกลนที่นายช่างในค่ายทหารผลิตขึ้นมา จึงทำให้เขาต้องออกมาจากค่ายล่าช้าเช่นนี้ ส่วนชุดกันหนาวของม้านั้นก็ได้ชาวบ้านช่วยกันตัดโดยเขาเป็นคนจ่ายค่าจ้างให้ในราคาดี ทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเขามาถึงหมู่บ้านต้าไห่ได้ในเวลาเพียงสามสัปดาห์หลังปีใหม่เสียงเกือกม้าดังใกล้เข้าไปทางบ้านตระกูลหลินมากขึ้นเรื่อย ๆ องครักษ์ของเหิงอันโหวที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่เห็นว่าเป็นท่านแม่ทัพมาถึงแล้ว เขารีบเข้าไปรายงานเหิงอันโหวทันที“เจ้ารีบไปตามฉิงอันกับพ่อแม่ของนางมาที ข้าจะออกไปรับเจ้าลูกเต่านั่นก่อน”“ขอรับท่านโหว”องครักษ์หยุนหลงไม่รอช้า เขาใช้วิชาตัวเบาเดินทางไปยังโรงเรือนที่ตอนนี้คุณหนูหลินกับพ่อแม่ไปช่วยกันดูแลพืชผักร่วมกับบ่าวไพร่อยู่ทันที
หลังผ่านงานหมั้นของหลินฉิงอันไป ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เข้าไปในเมืองก็กระจายข่าวดีนี้ให้ญาติมิตรที่เข้ามาซื้อสิ่งของกันในช่วงหน้าหนาวฟังกัน กระทั่งข่าวแพร่ไปถึงเจ้าเมืองเติ้ง เขายังไม่ได้นำของขวัญไปอวยพรปีใหม่เหิงอันโหวเลย พอได้ยินข่าวว่าหลินฉิงอันขุนนางขั้นสี่ได้หมั้นหมายกับแม่ทัพเหิงซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของเหิงอันโหวก็ยิ่งอยากไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่บ้านฮูหยินของเจ้าเมืองเติ้งเองก็อยากสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวหลินเช่นกัน นางคิดว่าหากทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันแล้ว สามีของนางคงได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย“ท่านพี่ หรือเราจะเตรียมของขวัญไปมอบให้ท่านโหวกับครอบครัวหลินดีเจ้าคะ”“ความคิดเจ้าไม่เลว เช่นนั้นก็สั่งพ่อบ้านหาสิ่งของมีค่าไปมอบให้พวกเขาวันพรุ่งนี้กันดีหรือไม่ เจ้าเองก็ช่วยสานสัมพันธ์กับฮูหยินหลินแทนข้าด้วยก็แล้วกันนะ”“ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากรู้จักนางเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดลูก ๆ ของนางจึงต่างมีความสามารถกันมากตั้งแต่
ชาวบ้านที่ให้ผู้อาวุโสของตนมาทาบทามหลินฉิงอันเป็นต้องหน้าเสียไปตาม ๆ กัน เมื่อเหิงอันโหวเอ่ยปากขอหมั้นด้วยตัวเอง พวกเขามีหรือจะกล้าต่อกรกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ถึงแม้จะเสียดายการหมั้นหมายครั้งนี้มากก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่เหิงอันโหวบอกก่อนหน้านี้ว่าหลินฉิงอันเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ พวกเขาที่เป็นชาวบ้านคงไม่อาจเอื้อมหมายเด็ดดอกฟ้ากันได้อีกไม่นานนักรถม้าทั้งสิบคันของจวนโหวก็มาจอดเรียงรายกันที่ด้านข้างลานหน้าเรือนหลัก จากนั้นองครักษ์และบ่าวของจวนโหวทยอยยกหีบใบใหญ่หลายหีบลงมาจากรถม้า ชาวบ้านต่างมองหีบทั้งหลายตาโต พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเหิงอันโหวจะเตรียมการเกี่ยวกับของหมั้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งละอายใจที่หาญกล้าไปขอหลินฉิงอันหมั้นหมายก่อนหน้านี้พ่อบ้านใหญ่เห็นพวกเขาวางหีบเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เขาก็สั่งให้คนเปิดหีบทีละใบเพื่ออ่านรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวเพราะมีหีบทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดใบตามเลขมงคลครอบครัวหลินตอนนี้อ้าปากค้างกันไปหมดเมื่
พ่อบ้านใหญ่เห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับเริ่มพิธีการปักปิ่นแล้ว เขาเริ่มเอ่ยลำดับขั้นตอนการทำพิธีตั้งแต่เริ่มต้นทันที“ขอเชิญขุนนางขั้นสี่หลินฉิงอัน เข้าประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มพิธีการขอรับ”หลินฉิงอันพยักหน้ายิ้มรับคำพ่อบ้านใหญ่ ก่อนที่นางจะเดินไปยังตำแหน่งประธานของงานในวันนี้ซึ่งอยู่หน้าห้องโถงเรือนหลัก บรรดาชาวบ้านที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะตรงลานหน้าบ้านล้วนมองเห็นพิธีการกันอย่างทั่วถึง“ขอเชิญท่านเหิงอันโหวสวมเสื้อคลุมให้คุณหนูหลินขอรับ”เมื่อประโยคนี้สิ้นสุดลง เหล่าชาวบ้านต่างฮือฮากันขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าตำแหน่งโหวนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่จากเสื้อผ้าอาภรณ์ของเหิงอันโหวแล้ว พวกเขาก็คิดว่าจะต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาเป็นแน่หลินฉางหยู หลินอ้าย หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเองก็ตกใจไม่น้อย พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าอาจารย์ปู่จะเป็นถึงท่านโหวของแคว้นเลยทีเดียว ส่วนหลินฉิงอันนั้นนางเดาได้มานานแล้วว่าท่านปู่ผู้นี้จะต