“ตั้งคลังแสงลับ ดึงตัวช่างฝีมือมาหลอมอาวุธและเครื่องทหารที่ทางราชสำนักมีคำสั่งห้ามผลิต บางชิ้นถึงกับเป็นปืนใหญ่ชุดแดงด้วยซ้ำ”“จัดสอบบัณฑิตลับ อ้างว่าเพื่อรวบรวมผู้มีสติปัญญาทั่วหล้า จัดสอบปีละครั้ง ผู้ใดสอบผ่าน แม้ไม่ใช่ขุนนาง แต่ก็ได้รับตำแหน่งในเขตปกครอง ได้เงินเดือนและอำนาจจากจวนเหวินอ๋องโดยตรง”“ตั้งชื่อภาษีหลอกๆ ปิดบังและรายงานเท็จ เพื่อเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีในเขตปกครอง ทุกการจัดเก็บจะต้องผ่านความเห็นชอบของจวนเหวินอ๋องก่อนส่งให้ทางราชสำนัก ในเขตปกครองนั้น ประชาชนรู้จักแต่เหวินอ๋อง ไม่รู้จักราชสำนักด้วยซ้ำ”ทั้งห้าข้อนี้ ล้วนเป็นโทษถึงตายแต่เหวินอ๋องกลับกระทำมาหลายปีแล้วแม้หลี่เฉินที่เตรียมใจไว้ล่วงหน้า ก็ยังรู้สึกสะเทือนใจและตกตะลึงเมื่อได้เห็นเมื่อเทียบกับห้าข้อนี้ ข้ออื่นๆ เช่นการกินอยู่ใช้สอยของเขา การสร้างจวนที่เกินมาตรฐานของอ๋อง แถมยังหรูหรายิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก ล้วนกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่แทบไม่ต้องพูดถึง“ตั้งราชสำนักเงา เพิ่มกองทัพลับ จัดสอบบัณฑิต ปรับภาษี ทุกข้อคือแก่นกลางของอำนาจราชสำนัก เหวินอ๋องคิดกบฏ ใครดูก็รู้!”เมื่ออ่านจบทุกบรรทัด หลี่เฉินกลับสงบลง เข
“แปดร้อยคน?”สวีเว่ยถึงกับอึ้งไปชั่วครู่แปดร้อยคนนี้ เทียบกับตำแหน่งรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรของทั้งแผ่นดินแล้ว ช่างดูตกต่ำเหลือเกิน“พระนักรบแปดร้อยนาย”หลี่เฉินมองออกว่าสวีเว่ยคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นักว่า “แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่สามารถรับมือศัตรูได้ร้อยคน จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวคือยังขาดการฝึกทางทหารอย่างเป็นระบบ แต่แม้กระนั้น หากปล่อยพวกเขาไปในยุทธภพ ไม่นานก็สามารถตั้งสำนักได้แล้ว เจ้ามาดูแลพวกเขา ยังจะไม่พอใจอีกหรือ?”สวีเว่ยรีบกล่าวว่า “หาได้มีความไม่พอใจไม่พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมแค่สงสัยเท่านั้น”“ข้าจะบอกให้ก็ได้ คนแปดร้อยนี้มีพื้นฐานที่ไม่มีใครเทียบได้ในใต้หล้า และข้าจะสนับสนุนเสบียงให้พวกเจ้าอย่างเต็มที่ หน้าที่เดียวของเจ้าคือฝึกให้เป็นกองทัพม้าชั้นยอดที่สามารถแสดงพลังได้เต็มที่ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด”เมื่อได้ฟังคำของหลี่เฉิน สวีเว่ยก็เข้าใจทันทีถึงความหมายขององค์รัชทายาท เขาจึงกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ฝ่าบาทวางพระทัย กระหม่อมจะไม่ทำให้ผิดหวังเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าเพิ่งดีใจเกินไป”หลี่เฉินกล่าวต่อว่า “เมื่อเจ้าเลือกภารกิจนี้แล้ว เจ้าจะ
“พอเถิด ในเมื่อเจ้าสร้างผลงานให้แก่ข้า อีกทั้งตลอดปีเศษที่ผ่านมาก็อยู่ด้วยความหวาดระแวงทุกวัน ข้าจะใจดำให้เจ้าเสียเปล่าได้อย่างไร”หลี่เฉินพิงเก้าอี้ ยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากล่าวแล้วว่าจะให้เจ้าเลือกสามทาง ตั้งใจฟังให้ดี”“ทางเลือกแรก คือลอบเข้าไปอยู่ข้างเหวินอ๋อง แล้วทำเช่นเดียวกับที่เคยทำยามอยู่ข้างหลี่อิ๋นหู่”“ทว่าเหวินอ๋องย่อมมิใช่หลี่อิ๋นหู่ เขาเหนือกว่าหลี่อิ๋นหู่มากนัก อีกทั้งด้วยภูมิหลังของเจ้า เหวินอ๋องย่อมจับตามอง ตรวจสอบเจ้าอย่างถี่ถ้วน หากเกิดระแวงขึ้นมา ต่อให้สังหารเจ้าทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เหวินอ๋องพำนักอยู่ไกลถึงจินหลิง อาณาเขตปกครองของเขายิ่งมั่นคงแข็งแกร่ง หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าอยากช่วยเจ้า ก็เกินกำลังจะเอื้อมถึง ทุกสิ่งล้วนต้องพึ่งเจ้าเอง ดังนั้นทางเลือกนี้มีความเสี่ยงจะเสียเสียชีวิต”เมื่อฟังจบ สวีเว่ยยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิได้ต่อต้านหรือลังเล แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงในทันทีปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ และตรงกับสิ่งที่หลี่เฉินคาดไว้ผู้ที่เคยทำหน้าที่สายลับ ย่อมไม่ปรารถนาจะย้อนกลับไปสู่ชีวิตมืดมนเช่นนั้นอีกก็เพราะเหตุ
หากเป็นผู้อื่น หลี่เฉินคงจะตะโกนว่าไสหัวไปไปนานแล้วแต่หากเป็นสวีเว่ย หลี่เฉินย่อมไม่อาจปฏิเสธได้“ไปเถิด เรื่องสำคัญย่อมมาก่อน อย่างไรที่นี่ของข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรอยู่แล้ว”ซูจิ่นพ่ากลับเข้าใจผู้อื่นดีนัก เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนหลี่เฉินส่งยิ้มให้นางหนึ่งที แล้วกล่าวว่า “หากรู้สึกเบื่อหน่าย ก็ไปชวนจ้าวรุ่ยคุยเล่นก็ได้ แม้บุคลิกของพวกเจ้าแตกต่างกัน แต่ต่างก็ไม่ใช่คนชอบแข่งขันชิงดี น่าจะมีเรื่องให้พูดคุยกันได้ เจ้าคือพี่ นางเป็นน้อง แม้นางอยากสนิทสนมกับเจ้า ก็คงยังมีเกรงใจอยู่ไม่น้อย เช่นนั้นครั้งแรกก็ให้เจ้าเป็นฝ่ายไปหานางก่อนจะดีกว่า”ซูจิ่นพ่าครุ่นคิดอยู่บ้าง ทว่าในตอนนั้นหลี่เฉินก็ลุกออกไปเสียแล้วพระที่นั่งสีเจิ้งย่อมไม่อาจใช้งานได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นหลี่เฉินจึงย้ายไปจัดการราชกิจที่ตำหนักด้านข้างแทนแม้จะเล็กกว่า เก่ากว่าอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับพระที่นั่งสีเจิ้งแล้ว หลี่เฉินกลับไม่รู้สึกว่าลำบากแต่อย่างใดกลับกลายเป็นวั่นเจียวเจียวที่เจ็บปวดแทนองค์รัชทายาท ยืนพร่ำบ่นไม่หยุด ว่าต้องรีบหาคนมาซ่อมพระที่นั่งนี้ให้ดีแม้เพียงชั่วครึ่งเดือน แต่มิอาจปล่อยให้องค์รัชทายาทต้องลำบา
ตำหนักบูรพา พระที่นั่งไหลอี๋ชื่อของตำหนักนี้มาจากวลี “หวงเฟิ่งไหลอี๋” ซึ่งหมายถึงหงส์มงคลมาเยือน พระที่นั่งไหลอี๋แต่เดิมเป็นตำหนักหลักที่ชายาขององค์รัชทายาทพำนักอยู่การตกแต่งภายในตำหนักแห่งนี้ย่อมมิใช่ธรรมดา ส่วนใหญ่ไม่ใช่หลี่เฉินเป็นผู้จัดวาง หากแต่เป็นชายาขององค์รัชทายาทรุ่นก่อนในอดีตเป็นผู้กำหนดไว้ชายาขององค์รัชทายาทรุ่นก่อน ก็คือฮองเฮาองค์เดิมของต้าสิงฮ่องเต้ มารดาผู้ให้กำเนิดร่างเดิมของหลี่เฉิน ที่สิ้นพระชนม์ไปกว่าสิบปีแล้วแม้หลี่เฉินจะเป็นวิญญาณต่างภพมาเข้าร่าง ก็หาได้รู้สึกว่าตนเกี่ยวข้องกับเจ้าของร่างเดิมแม้แต่น้อยทว่าในบางครั้ง สถานที่ที่เจ้าของร่างเดิมเคยไปบ่อยๆ หรือของที่เคยใช้เป็นประจำ หลี่เฉินกลับมีอาการต่อต้านโดยไม่รู้ตัวเช่นพระที่นั่งไหลอี๋แห่งนี้นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เฉินเหยียบย่างเข้าสู่พระที่นั่งไหลอี๋เมื่อหลี่เฉินมาถึง ซูจิ่นพ่ากำลังอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่างบังเอิญนางกำนัลถือถ้วยยามาถึงพอดี“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ”เมื่อนางกำนัลเห็นหลี่เฉิน ก็รีบคุกเข่าถวายคำนับทันทีเมื่อเห็นหลี่เฉินจ้องมองไปยังยาต้มสีดำในถ้วย นางกำนัลผู้ชาญฉลาดก็รีบกล่าวอธิ
ตั้งแต่ซานเป่าถึงเจี้ยวั่ง ต่างก็ล้วนมีแนวคิดและอุดมการณ์ของตนเองบัดนี้ก็ล้วนแล้วแต่เดินไปสู่จุดจบเช่นเดียวกันแม้แต่หลี่เฉิน ผู้ที่ย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ต้องเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งจึงจะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ ยามนี้ก็อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้อยู่บ้างเมื่อย้อนนึกถึงครั้งแรกที่รู้จักกับเจี้ยวั่ง แม้จะมีไม่กี่ครั้ง แต่ก็ได้ใกล้ชิดกันลึกซึ้งมากพอ พระภิกษุรูปนี้ คู่ควรกับคำว่า “อาจารย์” โดยแท้และสำหรับหลี่เฉินในเวลานี้…ติ๊ง บัตรทดลองใช้งานองครักษ์เฉพาะกิจของท่านได้หมดอายุแล้วเมื่อไร้ซานเป่า และเจี้ยวั่งก็จากไป หลี่เฉินในยามนี้จึงรู้สึกไร้ซึ่งความปลอดภัยยิ่งนักในโลกใบนี้ สงครามยังคงอาศัยทหารธรรมดาเป็นหลัก หากแต่การปกป้องตนเอง ยังคงต้องพึ่งพายอดฝีมือขั้นสูงสุดเท่านั้นมองดูหลังคาด้านบนที่พังไปกว่าครึ่ง ฝนยังคงกระหน่ำราวเทน้ำลงมา ก็พอจะเข้าใจได้ว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับเซียนเดินดินแล้ว การบุกรุกตำหนักบูรพาเพื่อสังหารเขานั้น ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้ากรงไก่ไปฆ่าไก่ตัวหนึ่งจากความรู้สึกไม่ปลอดภัย หลี่เฉินจึงหันไปมองกงฮุยอวี่ยามนี้ องค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์แห่งจักรวรรดิต้าฉ
ร่างกายและเส้นผมล้วนได้รับจากบิดามารดา ไม่ควรทำลายอย่างง่ายดายส่วนชื่อ ยิ่งเป็นสิ่งที่บิดามารดาประทานให้ เป็นตัวแทนของศักดิ์ศรีและอัตลักษณ์เบื้องต้นของคนผู้หนึ่งเมื่อหลี่เฉินเอ่ยปากให้เจี่ยนตี้ซินเปลี่ยนชื่อ ความคิดที่จะฆ่าเขาในใจก็เดือดพล่านแทบไม่อาจระงับไว้ได้หากแต่ศีรษะโล้นมันวาวที่ขวางอยู่ระหว่างเขากับหลี่เฉิน ทำให้เขายังคงมีสติระงับความโกรธได้ทัน“ฝ่าบาทช่างเฉลียวฉลาดนัก”เจี่ยนตี้ซิน… บัดนี้สมควรเรียกว่าเจี่ยนซินแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบหนึ่งคำ ก่อนหมุนกายก้าวออกหนึ่งก้าว ร่างก็หายลับไปไร้ร่องรอยหลังเจี่ยนซินจากไป หลี่เฉินหันไปคำนับเล็กน้อยต่อเจี้ยวั่ง กล่าวว่า “วันนี้ ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ยิ่งแล้ว”“อามิตาพุทธ”เจี้ยวั่งโค้งคำนับเล็กน้อย เอ่ยว่า “สรรพสิ่งล้วนมีวาสนา ฝ่าบาทไม่ต้องเกรงใจ”หลี่เฉินถามว่า “การลงมือในระดับนี้ในวันนี้ มีผลกระทบต่อท่านอาจารย์หรือไม่?”เจี้ยวั่งหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสา “มีอยู่บ้าง แต่มิได้ร้ายแรง อดข้าวสักสองสามมื้อก็แล้วกัน”หลี่เฉินเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์อีกครา”นี่คือการขอบคุณเป็นครั้งที่สองของหลี่เฉิน แม้
หลี่เฉินสีหน้าเรียบเฉย ยกมือชี้ไปยังโพรงขนาดใหญ่บนหลังคาที่สายฝนหลั่งไหลลงมาไม่หยุด เอ่ยว่า “หลังคาเสียแล้ว เจ้าต้องชดใช้”เจี่ยนตี้ซินตอบกลับทันที “ไม่เป็นปัญหา”“เมื่อครู่เจ้าทำให้ข้าตกใจ ก็ต้องชดใช้เช่นกัน” หลี่เฉินกล่าวต่อเจี่ยนตี้ซินยังคงไม่ใส่ใจนัก เอ่ยว่า “ไม่เป็นปัญหาเช่นกัน”“เมื่อครู่คนของเจ้าระดมกำลังเข้ามา อาจจะเหยียบดอกไม้ต้นหญ้าข้างนอกเสียหาย นั่นก็ต้องชดใช้ด้วย”เจี่ยนตี้ซินเริ่มรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยว่า “ล้วนไม่เป็นปัญหา ท่านจะเรียกเท่าไร เพียงบอกราคามา ข้าจะให้คนส่งมาให้”รอยยิ้มของหลี่เฉินเจิดจ้า “เงินหรือ? ใครบอกว่าจะชดใช้เป็นเงินกันเล่า?”เจี่ยนตี้ซินขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยวาจา ก็เห็นหลี่เฉินหันหลังกลับ “ท่านอาจารย์ ขอรบกวนทำลายขาข้างหนึ่งของเขา ขอให้สามเดือนยังไม่ฟื้นตัว”วาจานี้เข้าสู่หูของเจี่ยนตี้ซิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีด้วยความตื่นตระหนกเขาไม่คาดคิดเลยว่า คำว่า “ชดใช้” ที่หลี่เฉินกล่าว จะหมายถึงการเอาคืนตาต่อตา ฟันต่อฟันเช่นนี้แต่… แต่เมื่อครู่ก็มิได้ทำให้เจ้าบาดเจ็บจริงๆ สักหน่อย!เจี่ยนตี้ซินอยากจะอธิบาย แต่เจี้ยวั่งได้ลงมือแล้วม
พายุหมุนที่กักเก็บน้ำฝนจากทั่วทั้งฟ้าดินไว้นับไม่ถ้วน ระเบิดแตกกระจายออก ผลที่ตามมาโดยตรงคือสายน้ำจากสวรรค์หลั่งไหลราวเขื่อนแตก สายน้ำไร้ขอบเขตเทกระหน่ำสู่พื้นโลกดั่งถูกสาดด้วยแรงมือท่ามกลางเสียงอันดังกึกก้อง อาคารบางหลังถูกน้ำถล่มจนพังทลายเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น มีผู้คนหลบหลีกไม่ทัน ถูกกระแสน้ำกระแทกจนบาดเจ็บ“เจ้าหลวงจีนโล้นโง่เง่า!”เจี่ยนตี้ซินตะโกนก้องด้วยเสียงกราดเกรี้ยวหลวงจีนเจี้ยวั่งเงยหน้าขึ้น มองเจี่ยนตี้ซินก่อนโค้งคำนับเล็กน้อย“อามิตาพุทธ”นี่คือเสียงสวดพระนามพุทธะครั้งที่สี่ของหลวงจีนเจี้ยวั่งเขายื่นมือออกไป คว้าตรงไปยังเจี่ยนตี้ซินเบื้องหลังของเขา ปรากฏฝ่ามือมหึมาประหนึ่งค้ำฟ้าถึงปฐพี อุบัติจากแสงพุทธะ ฝ่ามือนั้นเคลื่อนไหวดั่งร่างจริงของหลวงจีนเจี้ยวั่ง มุ่งคว้าเจี่ยนตี้ซินไว้เคราและเส้นผมของเจี่ยนตี้ซินปลิวสะบัด เขาหัวเราะเสียงดัง “สะใจ! ช่างสะใจยิ่งนัก! เจ้าหลวงจีนโล้นเฒ่า กระบวนท่านี้คือ ‘ฝ่ามือพระไวโรจนะ’ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร! เจี้ยวั่ง!”ทว่าหลวงจีนเจี้ยวั่งกลับไร้ซึ่งสีหน้าและวาจาเขาจำถ้อยคำของหลี่เฉินไว้ขึ้นใจ หากยังไม่ลงมือก็อย่าลง แต่หา