ตำหนักชิงอวิ๋น – ยามสายกลิ่นสมุนไพรแผ่วเบาโชยอบอวลในห้องบรรทมของพระบิดา เสียงครูดของครกตำยายังคงดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอแว่วมาจากห้องโอสถ คลอไปกับเสียงสายลมเย็นพัดผ่านช่องหน้าต่างเบา ๆ ขณะองค์ชายน้อยหลงจิ่นอวิ๋น นั่งแกว่งขาอยู่บนเก้าอี้ไม้เตี้ย เบื้องข้างมีถาดหยกเล็ก ๆ วางลูกพีชผิวชมพูอมทองไว้สามลูก เขาหยิบลูกหนึ่งขึ้นมากัดเต็มคำ แก้มใสพองนูนเพราะเนื้อพีชนุ่มละมุน แววตาดำขลับเป็นประกายเมื่อได้รสหวานฉ่ำของผลไม้“ลูกพีชนี้หวานดีจริง ๆ” เด็กน้อยพึมพำกับตนเองเบา ๆ หลังจากที่เขาเอาสมุนไพรมาให้พระบิดาดื่มตามคำสั่งมารดา เขาก็ยังคงนั่งเฝ้าไม่ไปไหนหลงเจิ้งหยางนั่งพิงหัวเตียง พลางจ้องโอรสอย่างใช้ความคิด“เสี่ยวเป่า...”เขาเรียกด้วยเสียงนุ่มนวลผิดวิสัย จนเด็กน้อยหันมองด้วยความระแวง“ท่านพ่อ...เรียกชื่อข้าเช่นนี้อีกแล้ว มีอะไรจะให้ช่วยใช่ไหมขอรับ”หลงเจิ้งหยางหัวเราะเบา ๆ ก่อนหยิบถุงผ้าผูกเชือกแพรสีแดงออกจากอกเสื้อ ค่อย ๆ แกะออก เผยให้เห็นลูกแก้วหยกสีเขียวอ่อนส่องแสงวาววับ“เจ้าชอบของเล่นนี่หรือไม่”เด็กน้อยเบิกตากว้าง กระโดดลงจากเก้าอี้ “ของเล่นจากร้านช่างหยู่นี่นา ท่านพ่อไปหาซื้อมาตอนไหน”“ก็ตอน
“ท่านพ่อ…” เสียงนุ่มใสของพระโอรสดังขึ้น ซูเหวินรีบหลบไปทันทีหลงเจิ้งหยางละสายตาจากกล่องไม้ในมือ พลันหันมาทางผู้มาเยือน เด็กน้อยในชุดคลุมตัวหลวมยืนอยู่ตรงธรณีประตู ดวงตาดำขลับทอดมองเขาอย่างสงบหลงจิ่นอวิ๋น ยังคงมีท่าทีสุขุมเกินวัยตามเคย แต่ในแววตานั้นกลับมีความกังวลซ่อนอยู่ เท้าเล็กก้าวเข้ามาใกล้อย่างไม่รีบร้อน ก่อนหยุดยืนข้างโต๊ะ“ถึงเวลาทานยาแล้วขอรับ” เสียงเล็กแต่เรียบ ไม่สูงนัก แต่ชัดเจน“ท่านแม่จัดยารอบค่ำไว้ให้แล้ว…หากท่านไม่พักผ่อนให้เพียงพอ แผลจะหายช้าลง…”หลงเจิ้งหยางยิ้ม ดวงตาคมนิ่งสบสายตาโอรสผู้เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงแฝงความดื้อดึงแบบเด็กดี“เจ้ามาตามเองหรือ” เขาถามเบา ๆ ก่อนมองด้านหลังหลงจิ่นอวิ๋น พยักหน้า “ท่านแม่ง่วงแล้วขอรับ…หลินซ่างไม่ค่อยสบายข้าก็ไปให้พัก ข้าเลยมาเอง”ร่างเล็กหยุดครู่หนึ่ง ก่อนเม้มปากแน่น “ท่านแม่คงเหนื่อยมาก…ต้องคอยต้มยา ปรุงสมุนไพร…ยังต้องคอยเฝ้าท่านพ่อไม่ให้ทำงานหนักอีก”คำว่าท่านแม่คงเหนื่อยมาก…ที่เอ่ยอย่างไม่รู้ตัว หลงเจิ้งหยางชะงักเล็กน้อย รอยยิ้มเจือจางลง เหลือเพียงแววโศกบาง ๆ ในนัยน์ตา“…แล้วเจ้าล่ะ” เขาถามเสียงแผ่ว“เหนื่อยหรือไม่ ที่ต้องดูแลข
ตำหนักชิงอวิ๋น ยามซวี (19:00 น.) “คุณหนูเจ้าคะ แผนให้กระจายข่าวลือของเรานั้นได้ผลเกินคาดจริง ๆ” หงเหมยก้าวเข้ามาภายในห้องโอสถอย่างระวัง ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้ารายงานคุณหนูของตน ดวงตาเป็นประกายระยับ สีหน้าเปี่ยมความพอใจ ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังยกมือเรียวหยิบรากแห้งสีเข้มเส้นหนึ่งขึ้นมาชะงักมือชั่วครู่ ก่อนจะวางลงอย่างแผ่วเบาในครกหิน เสียงบดตังกุย แทรกซึมในความเงียบ ความขมหวานของกลิ่นสมุนไพรลอยคลุ้งอย่างแผ่วเบา เพียงครู่ก็หยุดมือเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ได้ผลว่าอย่างไร” หงเหมยปรายตาไปทางประตูราวตรวจดูว่าไม่มีผู้ใดแอบฟัง ก่อนโน้มกายกระซิบเสียงแผ่วทว่าชัดเจน “ในงานพระสนมชิงอวี่เมื่อวาน…คำลือก็ระเบิดกลางงานเหมือนน้ำมันราดบนไฟ…ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเจ้าค่ะ ข่าวลือที่เรากระพือในตลาด และร้านค้า เรื่องคุณหนูสูงศักดิ์ลักลอบเข้าออกเรือนรองของเสนาบดีใหญ่ ถูกพูดถึงกันทั่วทั้งเมืองหลวง และในงานก็มีการซุบซิบไม่หยุดตั้งแต่ต้นงาน แม้แต่นางกำนัลที่ถวายขนมยังอดพูดกันเบา ๆ ไม่ได้” “แล้วนาง…เป็นเช่นไร” นางเอ่ยเสียงนุ่มเบาราวสายลม แต่ปลายเสียงคล้ายคมมีดบางเฉียบ ขณะที่มือยังบดตังกุยในจังหวะคงที่ “นางแต่งองค์งดงามจ
พระสนมลุกขึ้นยืน มือที่จับพัดแน่นขึ้น “เรื่องนี้…คุณหนูหลี่ เจ้าจะอธิบายอย่างไร” หลี่ซุนเหม่ย หน้าถอดสี รีบทรุดกายคุกเข่า พยายามกลั้นสะอื้น เสียงสั่นระริกจนแทบฟังไม่ชัด “มะ…หม่อมฉันเพียงไปขอบคุณท่านเสนาบดีซุนที่เคยช่วยไว้เมื่อครั้งยังเยาว์เพคะ หามิได้มีเจตนาอันใดไม่เหมาะสม” “แม้จะเคยช่วยชีวิตเมื่อวัยเยาว์ ก็ต้องรู้จักประมาณตน ก็มิควรย่ำยีเกียรติของตัวเองและเสนาบดีผู้สูงศักดิ์ด้วยการยกตัวเองไปทดแทนถึงเรือนเขาเช่นนั้น” เสียงหัวเราะเยียบเย็นของสนมฮวาเสี่ยงหยง ดังขึ้นเบา ๆ แต่แทงลึกประหนึ่งตะปูตอกลงกลางใจหลี่ซุนเหม่ย หลี่ซุนเหม่ยสะอื้นสะอึก น้ำตาเปรอะใบหน้า ใบหน้าแดงด้วยความอับอายระคนแค้น แววตาผู้คนรอบด้านเหยียดหยัน นางยกมือปิดหน้าแต่ไม่อาจปิดเสียงครหาได้ เสียงรอบข้างแว่วซุบซิบ พระสนมชิงอวี่ยกพัดขึ้นเคาะเบา ๆ กับฝ่ามือ สายตาเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง “สตรีที่มิอาจรักษาแม้แต่ความบริสุทธิ์ของตน กลับกล้าเสนอตัวถวายองค์ชายสอง…เช่นนี้มิใช่เพียงมลทินของตัวเอง หากยังหมายย่ำยีพระเกียรติของราชวงศ์” “เช่นนั้น ข้าคงต้อง…ยกเลิกการพิจารณาถวายตัวของคุณหนูหลี่ให้แก่เชื้อพระวงศ์ไว้แต่เพียงเท่านี้”
ในท้องพระโรงอันโอ่อ่า เสียงพิณที่บรรเลงอย่างละเมียดกลับชะงักลงโดยไม่ได้นัดหมาย คล้ายแม้แต่สายดีดยังสะท้านต่อบรรยากาศที่เริ่มแปรเปลี่ยน เมื่อหลี่ซุนเหม่ยเอ่ย “คนที่พระสนมชิงอวี่และองค์ชายทรงเลือกแล้ว ใครก็ย่อมแตะต้องไม่ได้” หลี่ซุนเหม่ยยังคงส่งเสียงนุ่มนวล แต่แฝงความท้าทาย “ตอนนั้น…คงขึ้นอยู่ที่ฝีมือว่าต้องก้มหัวหรือไม่” คำพูดนั้นแทนที่จะยกตนขึ้นสูง กลับเร้าความขุ่นเคืองแก่ผู้ฟังอย่างพระชายาซูเหยา ผู้เพียงเหลือบตามองอย่างเยือกเย็น ท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มหนักอึ้ง ขุนนางฝ่ายในและภริยาขุนนางใหญ่ทั้งหลายเริ่มกระซิบกระซาบ บ้างยกพัดขึ้นบังใบหน้า บ้างยิ้มมุมปากคล้ายเย้ยหยัน เสียงเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงของภริยาเสนาบดีหวังจะดังขึ้นทำลายความเงียบอย่างจงใจ “บุปผาที่งามเกินควร บางครั้งก็ยากที่จะหลีกพ้นเงื้อมมือบุรุษ…โดยเฉพาะหากเบ่งบานในยามวิกาล…ก็ย่อมล่อผีเสื้อกลางคืนไม่ผิดนัก…” สายตาทุกคู่หันขวับไปทางฮูหยินหวัง หลี่ซุนเหม่ยชะงัก พัดในมือสั่นไหวเพียงเสี้ยวพริบตา “ฮูหยิน…พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” สนมเจินจูเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ หากดวงตาวาววับจับจ้อง “หม่อมฉันมิกล้าเอ่ยเกินเลย
ขณะที่หลี่ซุนเหม่ยและมารดาสนทนาอยู่กับพระสนมชิงอวี่ เสียงสนทนารอบทิศก็ค่อย ๆ ซาลง เมื่อขบวนเสด็จของ พระชายาซูเหยา พระชายาแห่งองค์ชายสอง ก้าวเข้าสู่บริเวณงานอาภรณ์ชั้นดีสีเขียวมรกตปักลวดลายดอกเหมยสะบัดพลิ้วไปตามย่างก้าวสง่า ขับบุคลิกนางให้งามสง่าดุจนางพญา ความสุขุม สงบขรึม ทว่าแฝงแรงอำนาจยากจะหาใครเทียบ เหมือนหยกงามที่ซ่อนคมมีดนางและเหล่าสนมข้างองค์ชายสองหยุดยืนเบื้องหน้าพระสนมชิงอวี่ผู้เป็นเจ้าภาพ “ถวายพระพรเพคะ เสด็จแม่ ลูกสะใภ้นำของขวัญมาถวาย ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่น ๆ ปี”พระสนมชิงอวี่ยิ้มรับของขวัญจากสะใภ้ ก่อนกล่าวเสียงกังวานให้ทั่วทั้งตำหนักได้ยิน“ซูเหยา… ข้ากำลังคิดจะให้ซุนเหม่ยถวายตัวเข้าวังหลัง เจ้าคิดอย่างไรเล่า”ซูเหยาเพียงยกมุมปากเล็กน้อย ก่อนเบือนสายตาเยียบเย็นไปยังบุตรีขุนนางผู้งดงาม“เพคะ เสด็จแม่…วันนี้ คุณหนูหลี่งามสง่าไม่แพ้คำร่ำลือเลยจริง ๆ” น้ำเสียงเรียบนิ่งประหนึ่งกล่าวชม หากเย็นเยียบราวหิมะตกกลางฤดูร้อนหลี่ซุนเหม่ยยอบกายอย่างนอบน้อมพองาม ทว่าถ้อยคำตอบกลับกลับแฝงคมมีด“ถวายพระพร พระชายา พระสนมทั้งหลาย...เพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยพระชายาที่โปรดเมตตาชมเชย เพ