ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
เถี่ยจู้หันไปมองข้างหลัง กล่าวว่า "คนนี้น่ะเหรอ เขาเป็นศิษย์ใหม่ที่ข้ารับมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม้จะพูดไม่ได้ แต่ฉลาดมาก มือไม้ก็ว่องไว" "ศิษย์ข้า เข้ามาให้เจ้านายดูหน้าตาเจ้าหน่อย" เถี่ยจู้โบกมือเรียกคนที่อยู่หลังสุด "เร็วเข้า เดี๋ยวทำงานเสร็จแล้ว เจ้านายก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร" คนผู้นั้นเดินมาอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นใบหน้า จึงก้มหน้าต่ำมาก เถี่ยจู้จับแขนเขา ดึงมาข้างหน้า พูดกับเจียงซุ่ยฮวนอย่างจนใจ "ตอนเขาเพิ่งมา ยังดีอยู่ แต่ภายหลังเพราะพูดไม่ได้ ถูกเจ้านายหลายคนรังเกียจ จึงเริ่มไม่ชอบเจอผู้คนขอรับ" เจียงซุ่ยฮวนกล่าว "ไม่เป็นไร พูดได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ขอเพียงมีนิสัยดี ทำงานคล่องแคล่วก็พอ" เมื่อได้ยินเสียงเจียงซุ่ยฮวน ร่างของเขาสะดุ้งโดยพลัน ผงกศีรษะขึ้นทันที เมื่อเห็นใบหน้าเจียงซุ่ยฮวน เขาก็ตื่นเต้นมาก ชี้นิ้วไปที่เจียงซุ่ยฮวน แล้วหันไปยิ้มให้คนข้าง ๆ เจียงซุ่ยฮวนก็ประหลาดใจเช่นกัน กล่าวว่า "เจ้าคือเถี่ยหนิว ใช่ไหม" เถี่ยหนิวชี้นิ้วมาที่ตัวเอง พยักหน้าอย่างแรงสองครั้ง "คุณหนู ท่านรู้จักเขาหรือขอรับ" เถี่ยจู้ถาม "เคยเจอกันครั้งหนึ่ง
"ไม่นานหลังจากนั้น ครอบครัวที่อุปการะหม่อมฉันก็ทารุณหม่อมฉันอย่างแสนสาหัส หม่อมฉันทนไม่ไหวจึงหนีออกมา ภายหลังถูกท่านอ๋องพบและกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์เพคะ" "อย่างนี้นี่เอง" เจียงซุ่ยฮวนปลอบว่า "เจ้าวางใจเถิด ปู้กู่ขาบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังคัดลอกตำราทหาร ในเวลาอันใกล้นี้คงคัดลอกไม่เสร็จหรอก" ไป๋หลีพยักหน้า ไม่พูดอะไร เจียงซุ่ยฮวนก้มหน้าวาดแบบต่อไป ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ที่ขอบฟ้านอกหน้าต่างก็ปรากฏแสงอรุณรุ่งแรก เจียงซุ่ยฮวนเคาะพู่กันกับโต๊ะ ยืดตัวอย่างสุดแรง "ในที่สุดก็เสร็จเสียที" นางถือกระดาษแบบเดินออกไป ปกติเวลานี้ยวี่จี๋จะให้อาหารม้าที่ลานหลังแล้ว นางจึงตรงไปที่ลานหลังโดยไม่ลังเล แน่นอน ยวี่จี๋กำลังยืนเตรียมหญ้าอยู่ข้างคอกม้า เมื่อเห็นเจียงซุ่ยฮวน เขาหยุดมือถาม "คุณหนู วันนี้ท่านตื่นแต่เช้ามากเลยขอรับ" "นอนไม่หลับก็เลยตื่นน่ะ" เจียงซุ่ยฮวนเข้าเรื่องทันที "ลุงยวี่ ท่านรู้จักช่างที่ไว้ใจได้ไหม" "รู้จักหลายคนขอรับ" ยวี่จี๋ชี้ไปที่ซากปรักหักพังแห่งนั้น "คุณหนูต้องการหาช่างมาสร้างใหม่หรือขอรับ" "ใช่" เจียงซุ่ยฮวนส่งแบบให้เขา "ท่านไปถามดูว่า มีช่างที่สามารถสร้างบ้
เจียงซุ่ยฮวนรับจดหมายมาเปิดอ่าน บนนั้นมีเพียงประโยคเดียวฉู่เฉินไม่เป็นไร อย่าตามหาอีก ครึ่งเดือนข้าจะส่งเขากลับมาโดยไม่บุบสลายแม้แต่น้อย ลายมือบนจดหมายสวยงามคมชัด หากเป็นยามปกติคงทำให้ผู้พบเห็นชื่นชม แต่ตอนนี้เจียงซุ่ยฮวนอยากฉีกจดหมายนี้ให้เป็นชิ้น ๆ จดหมายนี้ต้องเป็นฝีมือของพวกหลี่ลี่แน่ เขารู้จุดประสงค์ของเจียงซุ่ยฮวนล่วงหน้า คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าฉู่เฉินปลอดภัยดี เจียงซุ่ยฮวนก็โล่งใจขึ้น นางบอกองครักษ์ลับว่า "พวกเจ้าถูกพบตัวแล้ว ไม่ต้องตามหาอีก ไปเรียกสี่จือกับอีกสามคนกลับมาเถิด" หากคนผู้นั้นวางเสื้อผ้าที่มีกลิ่นไว้หลายที่ สี่จือจะต้องดมไปถึงเมื่อไหร่ หลังองครักษ์ลับจากไป เจียงซุ่ยฮวนก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย ไม่ว่าอย่างไรก็หลับไม่ลง นางจึงเลิกพยายามข่มตาหลับ เดินไปที่โต๊ะจุดเทียน แล้ววาดแบบต่อ ไป๋หลีก็ไม่นอนอีก นั่งอยู่ริมเตียงลับดาบพก "ทำไมเจ้าไม่กลับไปนอนเล่า" เจียงซุ่ยฮวนถาม "หม่อมฉันนอนพอแล้วเพคะ" ไป๋หลีตอบโดยไม่เงยหน้า เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า จู่ ๆ ก็ตระหนักว่าการให้ไป๋หลีนอนห้องเดียวกับตน ดูเหมือนจะไม่สะดวกสำหรับทั้งสอ
ลู่อีแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย เขาลูบคางพลางกล่าวว่า "มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ" "อืม" กู้จิ่นพยักหน้า "ใกล้ถึงช่วงปีใหม่แล้ว ราชวงศ์ทุกแคว้นล้วนกำลังยุ่ง องค์ชายแห่งแคว้นเฟิงซีไม่อยู่ในแคว้นของเขา มาทำอะไรที่ต้าเหยียนรึ" ลู่อีครุ่นคิดไม่ออก "เขาไม่ได้มาตอนนี้" กู้จิ่นวางมือบนแผนที่ ลากจากเมืองหลวงของแคว้นเฟิงซีลงมาเรื่อย ๆ สุดท้ายหยุดที่เมืองหลวงของต้าเหยียน กล่าวว่า "เขาเติบโตที่ต้าเหยียนตั้งแต่เด็ก" "ราชาแห่งแคว้นเฟิงซีมีฮองเฮาหนึ่งองค์และพระสนมสามองค์ ฮองเฮามีนิสัยขี้อิจฉา ไม่ยอมให้พระสนมทั้งสามคลอดองค์ชาย จึงให้พวกนางดื่มยาระงับครรภ์" "หนึ่งในพระสนมนั้นแกล้งดื่มยาระงับครรภ์ แล้วรีบบ้วนออกมา ไม่นานก็คลอดองค์ชายอย่างลับ ๆ เพื่อรักษาชีวิตองค์ชาย พระสนมแอบส่งคนพาองค์ชายไปยังต้าเหยียน" "เมื่อไม่กี่ปีก่อน องค์ชายสององค์ที่เกิดจากฮองเฮาแคว้นเฟิงซีเสียชีวิตด้วยโรคภัยติดต่อกัน ฮองเฮาล้มป่วยไม่ฟื้น พระสนมคนเดิมจึงได้โอกาส นำเรื่องที่เคยคลอดองค์ชายมาเปิดเผย" "ราชาแคว้นเฟิงซีเดิมที่หมดอาลัยตายอยาก เมื่อรู้ว่ายังมีโอรสอีกหนึ่งองค์ ก็รีบส่งคนไปตาม แม้จะพบตัวแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่เคยพบ
เขากลัวกู้จิ่นจะไม่พอใจ จึงรีบเสริมอีกประโยคว่า "พระชายาให้กระหม่อมและผู้อื่นลองชิมรสชาติ ดูว่ามีส่วนใดต้องปรับปรุงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นลังเลอย่างที่ไม่ค่อยเป็น เงียบไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ส่งห่อเล็กให้ชางอี้ "เอาไปเถิด อย่าให้เสียเปล่า!" "พ่ะย่ะค่ะ!" ชางอี้อุ้มห่อเดินไปที่ประตู ลู่อีรั้งชายเสื้อเขาไว้ "ชางอี้ ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องที่ร่วมสุขร่วมทุกข์มาตลอด" "อาหารแห้งที่เจ้ากอดอยู่ จะให้ข้าชิมสักคำได้ไหม" "เอ่อ คือ..." ชางอี้มองไปทางกู้จิ่น เห็นกู้จิ่นไม่ได้คัดค้าน จึงเปิดห่อออก เนื้อวัวแห้งที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันมีสองรสชาติคือเครื่องเทศห้าสหายและเผ็ดชา ส่วนขนมก็แบ่งเป็นไส้ผลไม้และไส้ถั่ว พอเปิดออก กลิ่นหอมของเนื้อและความหวานของขนมก็โชยมาทันที เนื่องจากเจียงซุ่ยฮวนใส่ผงยาธรรมชาติลงไปด้วย จึงมีกลิ่นของพืชพรรณอ่อน ๆ ทำให้ทั้งสองอย่างไม่มีกลิ่นเลี่ยนเกินไป ชวนให้น้ำลายสอ ชางอี้กลืนน้ำลาย เลือกอย่างพิถีพิถันหยิบเนื้อวัวแห้งชิ้นเล็กที่สุดและขนมชิ้นเล็กที่สุดส่งให้ลู่อี ลู่อีกินเสร็จตาเป็นประกาย กล่าวว่า "อร่อย ๆ ให้ข้าอีกหน่อยสิ" "ไม่ได้หรอก หากให้ท่านอีก พี่น้องท
"นี่คือผงของสมุนไพรบางชนิดที่บดละเอียด" เจียงซุ่ยฮวนเทผงยาลงบนเส้นเนื้อวัว อธิบายว่า "การใช้สิ่งนี้หมักเนื้อวัว จะทำให้เนื้อวัวแห้งมีคุณค่าทางยา กินแล้วดีต่อร่างกายยิ่งขึ้น" ทำเช่นนี้ เนื้อวัวแห้งธรรมดาก็กลายเป็นอาหารเป็นยา ทั้งอิ่มท้องและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ จางอวิ๋นฟังแล้วชื่นชมไม่หยุด "สมแล้วที่เป็นคุณหนู ที่คิดวิธีดี ๆ เช่นนี้ได้" เจียงซุ่ยฮวนยิ้ม ถามว่า "ขั้นตอนต่อไปทำอย่างไร" ...... เมื่อเจียงซุ่ยฮวนทำเนื้อวัวแห้งและขนมเสร็จ ก็เป็นยามจื่อแล้ว คนอื่น ๆ นอนกันหมดแล้ว มีเพียงจางอวิ๋นและไป๋หลีทั้งสี่คนที่อยู่ในครัวกับนาง จางอวิ๋นง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น หาวพลางกล่าว "คุณหนู ในที่สุดก็ทำเสร็จเสียทีนะเจ้าคะ" "ใช่แล้ว" เจียงซุ่ยฮวนห่อเนื้อวัวแห้งและขนมที่ทำเสร็จด้วยกระดาษน้ำมัน แล้วห่อทับด้วยผ้าอีกชั้น นางเดินออกไปยัดห่อของใส่มือชางอี้ "ห่อใหญ่นี้เจ้าเอาไปให้ท่านอ๋อง ห่อเล็กพวกเจ้าแบ่งกันกิน" "ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้!" ชางอี้ตกใจรีบปฏิเสธ "กระหม่อมจะกินอาหารที่พระชายาทำด้วยพระหัตถ์ได้อย่างไร นี่ไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ" "ข้างในมีไม่มาก พวกเจ้าถือว่าลองชิมรสชาติ หากมีอะไรต้องปรับปรุ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "ให้นางพักในห้องชุนเถาก่อนเถิด เจ้าชุนเถาไม่กลับมาหลายวันแล้ว ห้องปล่อยว่างไว้ก็เปล่าประโยชน์" แต่เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเรียกของชุนเถาดังมาจากนอกประตู "อาจารย์เจ้า ข้ากลับมาแล้ว!" หลังจากยวี่จี๋เปิดประตูใหญ่ ชุนเถาก็เดินเข้ามาพร้อมห่อของใหญ่น้อยหลายชิ้น "อาจารย์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะเจ้าคะ ฮิ ๆ" นางยุ่งที่กรมหมอหลวงทุกวัน แม้จะกินเยอะ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผอมลงเล็กน้อย เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะตำหนินางสักสองประโยค นางก็วางถุงในมือลงข้างเท้าเจียงซุ่ยฮวน "อาจารย์ เหล่านี้เป็นสมุนไพรที่ข้านำมาจากกรมหมอหลวงเจ้าค่ะ" "หมอหลวงเมิ่งรู้ว่าท่านชอบสมุนไพรล้ำค่า จึงให้ข้านำกลับมาให้ท่านบ้าง ข้าบรรจุมาสามกระสอบใหญ่เลยเจ้าค่ะ" รับของขวัญจากเขามาแล้ว จะไปตำหนิเขาก็กระไรอยู่ ชุนเถามาไม้นี้ ทำให้เจียงซุ่ยฮวนลืมคำที่กำลังจะพูดไปเสียสิ้น นางกระแอมเบา ๆ "เอาไปเก็บไว้ที่ห้องยาก่อนเถิด" เมื่อชุนเถากลับมา ไป๋หลีก็ไม่มีห้องพักอีก เจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าว "เจ้ามาพักกับข้าเถิด" "ห้องข้าใหญ่ ยังวางเตียงได้อีกหนึ่งเตียง อีกอย่าง หากพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน เจ้าก็สามารถ
ทั้งสี่คนนี้แม้จะแต่งกายเรียบง่าย แต่ดูออกว่าแต่ละคนมีบุคลิกไม่ธรรมดา ฝีมือเป็นเลิศ เจียงซุ่ยฮวนจำคนสองคนในกลุ่มได้ คนหนึ่งคือองครักษ์หญิงไป๋หลี่ อีกคนเป็นชายคิ้วหนาตาโต ที่เมื่อวานนี้เป็นคนดูออกว่าเด็กหญิงไม่ได้พรางโฉม "ชางอี้ นี่จะทำอะไรกัน" เจียงซุ่ยฮวนถาม ชางอี้ตอบ "พระชายา ท่านอ๋องเป็นห่วงว่าท่านอาจพบอันตราย จึงคัดสรรองครักษ์สี่คนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมมาให้ ต่อไปพวกเขาจะเป็นองครักษ์คุ้มกันตัวท่านพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์คุ้มกันตัวสะดวกกว่าองครักษ์ลับมาก สามารถปรากฏตัวข้างกายนางได้อย่างเปิดเผย หากนางพบอันตรายพวกเขาก็สามารถออกมือได้ทันที อีกทั้งยังมีไป๋หลี่อยู่ด้วย ยามที่องครักษ์อื่นไม่สะดวกติดตามนาง ไป๋หลี่ก็ยังสามารถติดตามนางได้ไม่ห่าง เจียงซุ่ยฮวนกล่าวกับพวกเขาทั้งสี่ "แนะนำตัวกันหน่อย" คนยืนซ้ายสุดเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง เขาดูอายุมากที่สุด น่าจะสามสิบกว่า เขาพูดด้วยเสียงดังกังวาน "พระชายา กระหม่อมชื่อปาฟางพ่ะย่ะค่ะ" "กระหม่อมแข็งแรงดั่งวัว ชำนาญการใช้ดาบและค้อนเหล็กพ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้เสริมจากด้านข้าง "พระชายา เขาแข็งแรงจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ สามารถยกก้อนเหล็กหนักแปดสิบชั่ง
เสี่ยวถังหยวนดูจะรู้สึกสนุก สองมือน้อย ๆ ที่อวบอูมกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่าเจ้าตัวน้อยนี่มีนิสัยหลากหลายจริง บางครั้งก็เย็นชา บางครั้งก็ร่าเริง ได้รับนิสัยทั้งของนางและกู้จิ่นมา แม่นมรีบนำผ้าอ้อมมาให้ แล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวถังหยวนต่อหน้านาง นางมองผ้าอ้อมที่เปลี่ยนออก กล่าวว่า "ระบบย่อยอาหารใช้ได้ ดูแข็งแรงดี" เมื่อแม่นมเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกล่าวว่า "เจ้าไปนอนเถิด คืนนี้เสี่ยวถังหยวนจะนอนกับข้า" "ได้เจ้าค่ะ" แม่นมกำชับก่อนจากไป "คุณชายน้อยจะตื่นมาดื่มนมในยามดึก ตอนนั้นท่านค่อยเรียกบ่าวนะเจ้าคะ" "อืม" หลังแม่นมจากไป เจียงซุ่ยฮวนก็อุ้มเสี่ยวถังหยวนเดินไปมาในห้องช้า ๆ คราวนี้นางไม่ได้คึกคะนองเล่าเรื่องตลกหรือนิทานพิลึกพิลั่น แต่ร้องเพลงกล่อมเด็กแทน "ท้องฟ้าดำมืดทอดต่ำลง ดาวประกายพรายเคียงคู่มา แมลงน้อยบิน แมลงน้อยบิน เจ้ากำลังคิดถึงใคร..." สมัยที่เจียงซุ่ยฮวนยังเล็ก พ่อมักทำงานดึกที่โรงพยาบาล ส่วนแม่ไม่เก่งเรื่องเล่านิทาน จึงมักร้องเพลงกล่อมนี้ข้างหูนางเพื่อให้นางหลับ ตอนนั้นนางไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงร้องเพลงเดิมทุกครั้ง บัดนี้นึกขึ้นไ