“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
นอกเหนือจากสิ่งที่ได้ยินมา เจียงซุ่ยฮวนยังมีข้อสงสัยในใจอยู่หนึ่งประการ นางลูบใบหน้าตนเองเบา ๆ พลางนึกในใจ “ข้าหน้าตาขี้ริ้วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่ม ทว่ากลับรู้สึก...ไม่เหมือนหนังแท้ ๆ ของมนุษย์เจียงซุ่ยฮวนเลื่อนมือไปสัมผัสบริเวณหลังใบหูอย่างละเอียด และแล้ว...ก็พบปุ่มนูนเล็ก ๆ อยู่จริงหนังศีรษะของนางชาวาบ แท้จริงแล้วมีผู้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ไว้บนใบหน้าของนางนี่เอง! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชายร่างใหญ่จึงพูดจาดูแคลนใบหน้านางนักเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าบนใบหน้านางมี "ผิวปลอม" แปะทับอยู่ เจียงซุ่ยฮวนก็รู้สึกขนลุกจนสั่นไปทั้งตัว นางพยายามจะลอกหน้ากากออก แต่เพิ่งจะลอกได้เพียงนิด กลับเจ็บแสบจนราวกับหนังแท้ของตนกำลังจะถูกฉีกติดไปด้วยของเหลวอุ่น ๆ หยดลงบนหลังมือ นางก้มลงมอง เห็นหยดโลหิตสีแดงสดกำลังไหลซึมอย่างช้า ๆดูท่าหน้ากากหนังกับผิวหนังของนางติดกันแน่นเกินไป หากฝืนลอกออกเกรงว่าจะทำร้ายใบหน้าของตนเองเสียมากกว่าเจียงซุ่ยฮวนจึงใช้ชายแขนเสื้อซับเลือดเบา ๆ โชคดีที่แผลไม่ใหญ่ เลือดหยุดไหลในเวลาไม่นานชายร่างยักษ์เบิกตากว้าง พยายามมองนางจากเบื้องล่าง “คำถามข
บนเวทีประลอง ชายร่างยักษ์พุ่งเข้าใส่เจียงซุ่ยฮวนพร้อมโบกหมัดคำรามลั่น “นังหนู! วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้ จำไว้ ความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตัวเอง! เตรียมตัวตายเถอะ!”ทว่าเจียงซุ่ยฮวนหาได้หลบหนีไม่ นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจวบจนชายผู้นั้นเข้ามาถึงตัว นางจึงเบี่ยงศีรษะหลบหมัด แล้วฟาดสันมือเข้าใส่ลูกกระเดือกของเขาเต็มแรงชายร่างใหญ่เบิกปากโพลง ลิ้นแทบจะแลบออกมาเจียงซุ่ยฮวนไม่รอให้เขาตั้งหลัก หมัดถัดไปของนางฟาดเข้าใส่ขมับด้านขวาอย่างแม่นยำดวงตาของชายร่างยักษ์เริ่มเลื่อนลอย ลำตัวทรุดลงโครมใหญ่จนเวทีสั่นสะเทือนทั่วทั้งลานประลองเงียบงันดั่งต้องมนต์ ผู้ชมล้วนตะลึงงัน ต่อให้ผ่านการชมศึกมานับครั้ง พวกเขาก็ไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อนสตรีร่างบางผู้หนึ่งที่ดูเหมือนไร้ทางสู้ กลับพลิกสถานการณ์คว้าชัยสองครั้งติด แถมยังง่ายดายนัก หากไม่เห็นกับตา ใครเล่าจะเชื่อ!หลังจากความตะลึงผ่านพ้น ก็กลายเป็นเสียงฮือฮาและโกลาหล สำหรับผู้ชมในที่นี้แล้ว ใครแพ้ใครชนะไม่สำคัญ ขอเพียงได้ชมฉากโลดโผนตื่นเต้นเลือดสูบฉีดก็พอใจนักท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เจียงซุ่ยฮวนหมุนข้อมือเบา ๆ วิชายุทธ์ที่นางร่ำเรียนมา
"แล้วเขาจะกลับมาเมื่อใด" "มิทราบแน่ชัด บางทีเจ้านายของพวกเราก็มาแทบทุกวัน บางทีก็ครึ่งเดือนยังไม่เห็นหน้าเลยสักครั้ง" "เช่นนั้นก็ได้" เจียงซุ่ยฮวนผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนเดินไปยังประตูทางออก พอเพียงก้าวออกไป แสงจันทราอันเยือกเย็นก็ราดรดลงมาบนร่างของนาง นางแหงนหน้ามองราตรี คิดว่ายามถูกจับตัวไป ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง แต่บัดนี้ราตรีกาลยังดำมืด แสดงว่าเวลาผ่านไปอย่างน้อยหนึ่งวันแล้ว ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วเจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจ ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น... กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วแต่เมื่อมองไปรอบกาย นางพบว่าตนอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่เคยมา จึงไม่รู้ว่าควรมุ่งหน้าไปทางใด คุณหนู ท่านหลงทางอยู่หรือ" เสียงที่ลึกมีเสน่ห์แว่วมาจากเบื้องหลัง เจียงซุ่ยฮวนแข็งขืนไปทั้งร่าง หันกลับไปกล่าวว่า "ไม่ใช่" เฉียนจิงอี๋มีแววตาเปื้อนยิ้ม "หากท่านจำทางมิได้ ข้าอาจพาท่านกลับก็ได้นะ" "ไม่จำเป็น ข้าจำทางได้" เจียงซุ่ยฮวนหมุนกายไปทางขวา พลางสังเกตความเคลื่อนไหวเบื้องหลังอยู่ไม่วาย เฉียนจิงอี๋กลับติดตามมา พูดเสียงเนิบช้า "คุณหนู หากเ
คำพูดของเฉียนจิงอี๋ยังไม่ทันขาดคำ เจียงซุ่ยฮวนก็เหวี่ยงหมัดไปที่คางของเขาอย่างฉับไว ดั่งสายฟ้าฟาด เขาก้าวตัวหลบได้ทัน รอยยิ้มยังมิได้จางหาย "คุณหนู หากมีเรื่องจะพูดก็พูดกันดี ๆ ไยต้องลุกขึ้นมาต่อยตีกันเล่า" ในตรอกที่ทั้งแคบและมืด เจียงซุ่ยฮวนจ้องเขม็งมาที่เฉียนจิงอี๋ ดั่งสัตว์ป่าที่โกรธเกรี้ยว นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวว่า "เลิกแสร้งเสียที! ข้ารู้ว่าท่านคือเจ้าของสนามประลองนั่น!" "อ่อหรือ" เฉียนจิงอี๋พิงกำแพงเบื้องหลัง ก่อนเลิกคิ้วถามว่า "คุณหนู เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" เจียงซุ่ยฮวนชี้ที่ใบหน้าตัวเอง กล่าวเสียงเย็น "ใบหน้าของข้าสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ มิใช่โฉมเดียวกับครั้งก่อนที่พบท่าน" "ทว่าเมื่อครู่ข้าเอ่ยถึงจุดของลูกเต๋า ท่านมิได้ลังเลสักนิดที่จะรับคำ แสดงว่าท่านจำข้าได้มาแต่แรก" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างมั่นใจ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ท่านคือผู้จับข้ามาที่นี่ หน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าข้าก็เป็นแผนการของท่าน ท่านจึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้ของข้า" เมื่อเจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าผู้ที่พานางมาคือเจ้าของสนามประลอง นางก็สงสัยเฉียนจิงอี๋มาแต่ต้น เพราะสนามประลองนั้นมีความคล้ายกับบ่อนพนันซ
ได้ยินเงาร่างหนึ่งกล่าวว่า "แถวนี้เรือนบ้านมากมาย ซอกซอยวกวน เจ้าจงไปตามคนมาเพิ่ม ส่วนข้าจะลงไปตามหาก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก่อนฟ้าสาง เราต้องหาพระชายาให้พบ" "พ่ะย่ะค่ะ!" เจียงซุ่ยฮวนที่ซ่อนอยู่ข้างกำแพงตาโตด้วยความยินดี นั่นเป็นเสียงของชางอี้ พวกเขามาตามหานางแล้ว! นางรีบออกมาจากกำแพง โบกมือเรียกชางอี้บนหลังคา ชางอี้ก้มมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา เจียงซุ่ยฮวนอึ้งไปชั่วครู่ จึงนึกได้ว่าตนยังสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ ชางอี้ย่อมจำนางมิได้ นางจึงต้องตะโกนเสียงดัง "ชางอี้ ข้าอยู่นี่!" ชั่วอึดใจ ชางอี้กลับมาปรากฏตัวเบื้องหน้านาง มองนางด้วยความตกตะลึง "พระชายารึ!" "ใช่ ข้าเอง" นางพยักหน้าตอบ "เหตุใดพระชายาจึงเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้มองนางอย่างอึดอัด ก่อนเบือนหน้าหนี"..." เจียงซุ่ยฮวนถามด้วยความสงสัย "โฉมหน้าข้าตอนนี้น่าเกลียดนักหรือ" ชางอี้ก้มหน้ามองปลายเท้า กล่าวอย่างฝืนใจว่า "มิได้น่าเกลียดพ่ะย่ะค่ะ พระชายามีความงามอันแตกต่างไม่เหมือนผู้ใด" "มีคันฉ่องหรือไม่" "มีพ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้ล้วงคันฉ่องออกมามอบให้เจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนส่องดูโฉมตนในค
เถี่ยจู้หันไปมองข้างหลัง กล่าวว่า "คนนี้น่ะเหรอ เขาเป็นศิษย์ใหม่ที่ข้ารับมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม้จะพูดไม่ได้ แต่ฉลาดมาก มือไม้ก็ว่องไว" "ศิษย์ข้า เข้ามาให้เจ้านายดูหน้าตาเจ้าหน่อย" เถี่ยจู้โบกมือเรียกคนที่อยู่หลังสุด "เร็วเข้า เดี๋ยวทำงานเสร็จแล้ว เจ้านายก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร" คนผู้นั้นเดินมาอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นใบหน้า จึงก้มหน้าต่ำมาก เถี่ยจู้จับแขนเขา ดึงมาข้างหน้า พูดกับเจียงซุ่ยฮวนอย่างจนใจ "ตอนเขาเพิ่งมา ยังดีอยู่ แต่ภายหลังเพราะพูดไม่ได้ ถูกเจ้านายหลายคนรังเกียจ จึงเริ่มไม่ชอบเจอผู้คนขอรับ" เจียงซุ่ยฮวนกล่าว "ไม่เป็นไร พูดได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ ขอเพียงมีนิสัยดี ทำงานคล่องแคล่วก็พอ" เมื่อได้ยินเสียงเจียงซุ่ยฮวน ร่างของเขาสะดุ้งโดยพลัน ผงกศีรษะขึ้นทันที เมื่อเห็นใบหน้าเจียงซุ่ยฮวน เขาก็ตื่นเต้นมาก ชี้นิ้วไปที่เจียงซุ่ยฮวน แล้วหันไปยิ้มให้คนข้าง ๆ เจียงซุ่ยฮวนก็ประหลาดใจเช่นกัน กล่าวว่า "เจ้าคือเถี่ยหนิว ใช่ไหม" เถี่ยหนิวชี้นิ้วมาที่ตัวเอง พยักหน้าอย่างแรงสองครั้ง "คุณหนู ท่านรู้จักเขาหรือขอรับ" เถี่ยจู้ถาม "เคยเจอกันครั้งหนึ่ง
"ไม่นานหลังจากนั้น ครอบครัวที่อุปการะหม่อมฉันก็ทารุณหม่อมฉันอย่างแสนสาหัส หม่อมฉันทนไม่ไหวจึงหนีออกมา ภายหลังถูกท่านอ๋องพบและกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์เพคะ" "อย่างนี้นี่เอง" เจียงซุ่ยฮวนปลอบว่า "เจ้าวางใจเถิด ปู้กู่ขาบาดเจ็บ ตอนนี้กำลังคัดลอกตำราทหาร ในเวลาอันใกล้นี้คงคัดลอกไม่เสร็จหรอก" ไป๋หลีพยักหน้า ไม่พูดอะไร เจียงซุ่ยฮวนก้มหน้าวาดแบบต่อไป ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ที่ขอบฟ้านอกหน้าต่างก็ปรากฏแสงอรุณรุ่งแรก เจียงซุ่ยฮวนเคาะพู่กันกับโต๊ะ ยืดตัวอย่างสุดแรง "ในที่สุดก็เสร็จเสียที" นางถือกระดาษแบบเดินออกไป ปกติเวลานี้ยวี่จี๋จะให้อาหารม้าที่ลานหลังแล้ว นางจึงตรงไปที่ลานหลังโดยไม่ลังเล แน่นอน ยวี่จี๋กำลังยืนเตรียมหญ้าอยู่ข้างคอกม้า เมื่อเห็นเจียงซุ่ยฮวน เขาหยุดมือถาม "คุณหนู วันนี้ท่านตื่นแต่เช้ามากเลยขอรับ" "นอนไม่หลับก็เลยตื่นน่ะ" เจียงซุ่ยฮวนเข้าเรื่องทันที "ลุงยวี่ ท่านรู้จักช่างที่ไว้ใจได้ไหม" "รู้จักหลายคนขอรับ" ยวี่จี๋ชี้ไปที่ซากปรักหักพังแห่งนั้น "คุณหนูต้องการหาช่างมาสร้างใหม่หรือขอรับ" "ใช่" เจียงซุ่ยฮวนส่งแบบให้เขา "ท่านไปถามดูว่า มีช่างที่สามารถสร้างบ้
เจียงซุ่ยฮวนรับจดหมายมาเปิดอ่าน บนนั้นมีเพียงประโยคเดียวฉู่เฉินไม่เป็นไร อย่าตามหาอีก ครึ่งเดือนข้าจะส่งเขากลับมาโดยไม่บุบสลายแม้แต่น้อย ลายมือบนจดหมายสวยงามคมชัด หากเป็นยามปกติคงทำให้ผู้พบเห็นชื่นชม แต่ตอนนี้เจียงซุ่ยฮวนอยากฉีกจดหมายนี้ให้เป็นชิ้น ๆ จดหมายนี้ต้องเป็นฝีมือของพวกหลี่ลี่แน่ เขารู้จุดประสงค์ของเจียงซุ่ยฮวนล่วงหน้า คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าฉู่เฉินปลอดภัยดี เจียงซุ่ยฮวนก็โล่งใจขึ้น นางบอกองครักษ์ลับว่า "พวกเจ้าถูกพบตัวแล้ว ไม่ต้องตามหาอีก ไปเรียกสี่จือกับอีกสามคนกลับมาเถิด" หากคนผู้นั้นวางเสื้อผ้าที่มีกลิ่นไว้หลายที่ สี่จือจะต้องดมไปถึงเมื่อไหร่ หลังองครักษ์ลับจากไป เจียงซุ่ยฮวนก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย ไม่ว่าอย่างไรก็หลับไม่ลง นางจึงเลิกพยายามข่มตาหลับ เดินไปที่โต๊ะจุดเทียน แล้ววาดแบบต่อ ไป๋หลีก็ไม่นอนอีก นั่งอยู่ริมเตียงลับดาบพก "ทำไมเจ้าไม่กลับไปนอนเล่า" เจียงซุ่ยฮวนถาม "หม่อมฉันนอนพอแล้วเพคะ" ไป๋หลีตอบโดยไม่เงยหน้า เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า จู่ ๆ ก็ตระหนักว่าการให้ไป๋หลีนอนห้องเดียวกับตน ดูเหมือนจะไม่สะดวกสำหรับทั้งสอ
ลู่อีแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย เขาลูบคางพลางกล่าวว่า "มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ" "อืม" กู้จิ่นพยักหน้า "ใกล้ถึงช่วงปีใหม่แล้ว ราชวงศ์ทุกแคว้นล้วนกำลังยุ่ง องค์ชายแห่งแคว้นเฟิงซีไม่อยู่ในแคว้นของเขา มาทำอะไรที่ต้าเหยียนรึ" ลู่อีครุ่นคิดไม่ออก "เขาไม่ได้มาตอนนี้" กู้จิ่นวางมือบนแผนที่ ลากจากเมืองหลวงของแคว้นเฟิงซีลงมาเรื่อย ๆ สุดท้ายหยุดที่เมืองหลวงของต้าเหยียน กล่าวว่า "เขาเติบโตที่ต้าเหยียนตั้งแต่เด็ก" "ราชาแห่งแคว้นเฟิงซีมีฮองเฮาหนึ่งองค์และพระสนมสามองค์ ฮองเฮามีนิสัยขี้อิจฉา ไม่ยอมให้พระสนมทั้งสามคลอดองค์ชาย จึงให้พวกนางดื่มยาระงับครรภ์" "หนึ่งในพระสนมนั้นแกล้งดื่มยาระงับครรภ์ แล้วรีบบ้วนออกมา ไม่นานก็คลอดองค์ชายอย่างลับ ๆ เพื่อรักษาชีวิตองค์ชาย พระสนมแอบส่งคนพาองค์ชายไปยังต้าเหยียน" "เมื่อไม่กี่ปีก่อน องค์ชายสององค์ที่เกิดจากฮองเฮาแคว้นเฟิงซีเสียชีวิตด้วยโรคภัยติดต่อกัน ฮองเฮาล้มป่วยไม่ฟื้น พระสนมคนเดิมจึงได้โอกาส นำเรื่องที่เคยคลอดองค์ชายมาเปิดเผย" "ราชาแคว้นเฟิงซีเดิมที่หมดอาลัยตายอยาก เมื่อรู้ว่ายังมีโอรสอีกหนึ่งองค์ ก็รีบส่งคนไปตาม แม้จะพบตัวแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่เคยพบ
เขากลัวกู้จิ่นจะไม่พอใจ จึงรีบเสริมอีกประโยคว่า "พระชายาให้กระหม่อมและผู้อื่นลองชิมรสชาติ ดูว่ามีส่วนใดต้องปรับปรุงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" กู้จิ่นลังเลอย่างที่ไม่ค่อยเป็น เงียบไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ส่งห่อเล็กให้ชางอี้ "เอาไปเถิด อย่าให้เสียเปล่า!" "พ่ะย่ะค่ะ!" ชางอี้อุ้มห่อเดินไปที่ประตู ลู่อีรั้งชายเสื้อเขาไว้ "ชางอี้ ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้องที่ร่วมสุขร่วมทุกข์มาตลอด" "อาหารแห้งที่เจ้ากอดอยู่ จะให้ข้าชิมสักคำได้ไหม" "เอ่อ คือ..." ชางอี้มองไปทางกู้จิ่น เห็นกู้จิ่นไม่ได้คัดค้าน จึงเปิดห่อออก เนื้อวัวแห้งที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันมีสองรสชาติคือเครื่องเทศห้าสหายและเผ็ดชา ส่วนขนมก็แบ่งเป็นไส้ผลไม้และไส้ถั่ว พอเปิดออก กลิ่นหอมของเนื้อและความหวานของขนมก็โชยมาทันที เนื่องจากเจียงซุ่ยฮวนใส่ผงยาธรรมชาติลงไปด้วย จึงมีกลิ่นของพืชพรรณอ่อน ๆ ทำให้ทั้งสองอย่างไม่มีกลิ่นเลี่ยนเกินไป ชวนให้น้ำลายสอ ชางอี้กลืนน้ำลาย เลือกอย่างพิถีพิถันหยิบเนื้อวัวแห้งชิ้นเล็กที่สุดและขนมชิ้นเล็กที่สุดส่งให้ลู่อี ลู่อีกินเสร็จตาเป็นประกาย กล่าวว่า "อร่อย ๆ ให้ข้าอีกหน่อยสิ" "ไม่ได้หรอก หากให้ท่านอีก พี่น้องท
"นี่คือผงของสมุนไพรบางชนิดที่บดละเอียด" เจียงซุ่ยฮวนเทผงยาลงบนเส้นเนื้อวัว อธิบายว่า "การใช้สิ่งนี้หมักเนื้อวัว จะทำให้เนื้อวัวแห้งมีคุณค่าทางยา กินแล้วดีต่อร่างกายยิ่งขึ้น" ทำเช่นนี้ เนื้อวัวแห้งธรรมดาก็กลายเป็นอาหารเป็นยา ทั้งอิ่มท้องและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ จางอวิ๋นฟังแล้วชื่นชมไม่หยุด "สมแล้วที่เป็นคุณหนู ที่คิดวิธีดี ๆ เช่นนี้ได้" เจียงซุ่ยฮวนยิ้ม ถามว่า "ขั้นตอนต่อไปทำอย่างไร" ...... เมื่อเจียงซุ่ยฮวนทำเนื้อวัวแห้งและขนมเสร็จ ก็เป็นยามจื่อแล้ว คนอื่น ๆ นอนกันหมดแล้ว มีเพียงจางอวิ๋นและไป๋หลีทั้งสี่คนที่อยู่ในครัวกับนาง จางอวิ๋นง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น หาวพลางกล่าว "คุณหนู ในที่สุดก็ทำเสร็จเสียทีนะเจ้าคะ" "ใช่แล้ว" เจียงซุ่ยฮวนห่อเนื้อวัวแห้งและขนมที่ทำเสร็จด้วยกระดาษน้ำมัน แล้วห่อทับด้วยผ้าอีกชั้น นางเดินออกไปยัดห่อของใส่มือชางอี้ "ห่อใหญ่นี้เจ้าเอาไปให้ท่านอ๋อง ห่อเล็กพวกเจ้าแบ่งกันกิน" "ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้!" ชางอี้ตกใจรีบปฏิเสธ "กระหม่อมจะกินอาหารที่พระชายาทำด้วยพระหัตถ์ได้อย่างไร นี่ไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ" "ข้างในมีไม่มาก พวกเจ้าถือว่าลองชิมรสชาติ หากมีอะไรต้องปรับปรุ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "ให้นางพักในห้องชุนเถาก่อนเถิด เจ้าชุนเถาไม่กลับมาหลายวันแล้ว ห้องปล่อยว่างไว้ก็เปล่าประโยชน์" แต่เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงเรียกของชุนเถาดังมาจากนอกประตู "อาจารย์เจ้า ข้ากลับมาแล้ว!" หลังจากยวี่จี๋เปิดประตูใหญ่ ชุนเถาก็เดินเข้ามาพร้อมห่อของใหญ่น้อยหลายชิ้น "อาจารย์ ไม่ได้พบกันนานเลยนะเจ้าคะ ฮิ ๆ" นางยุ่งที่กรมหมอหลวงทุกวัน แม้จะกินเยอะ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าผอมลงเล็กน้อย เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะตำหนินางสักสองประโยค นางก็วางถุงในมือลงข้างเท้าเจียงซุ่ยฮวน "อาจารย์ เหล่านี้เป็นสมุนไพรที่ข้านำมาจากกรมหมอหลวงเจ้าค่ะ" "หมอหลวงเมิ่งรู้ว่าท่านชอบสมุนไพรล้ำค่า จึงให้ข้านำกลับมาให้ท่านบ้าง ข้าบรรจุมาสามกระสอบใหญ่เลยเจ้าค่ะ" รับของขวัญจากเขามาแล้ว จะไปตำหนิเขาก็กระไรอยู่ ชุนเถามาไม้นี้ ทำให้เจียงซุ่ยฮวนลืมคำที่กำลังจะพูดไปเสียสิ้น นางกระแอมเบา ๆ "เอาไปเก็บไว้ที่ห้องยาก่อนเถิด" เมื่อชุนเถากลับมา ไป๋หลีก็ไม่มีห้องพักอีก เจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าว "เจ้ามาพักกับข้าเถิด" "ห้องข้าใหญ่ ยังวางเตียงได้อีกหนึ่งเตียง อีกอย่าง หากพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน เจ้าก็สามารถ
ทั้งสี่คนนี้แม้จะแต่งกายเรียบง่าย แต่ดูออกว่าแต่ละคนมีบุคลิกไม่ธรรมดา ฝีมือเป็นเลิศ เจียงซุ่ยฮวนจำคนสองคนในกลุ่มได้ คนหนึ่งคือองครักษ์หญิงไป๋หลี่ อีกคนเป็นชายคิ้วหนาตาโต ที่เมื่อวานนี้เป็นคนดูออกว่าเด็กหญิงไม่ได้พรางโฉม "ชางอี้ นี่จะทำอะไรกัน" เจียงซุ่ยฮวนถาม ชางอี้ตอบ "พระชายา ท่านอ๋องเป็นห่วงว่าท่านอาจพบอันตราย จึงคัดสรรองครักษ์สี่คนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมมาให้ ต่อไปพวกเขาจะเป็นองครักษ์คุ้มกันตัวท่านพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์คุ้มกันตัวสะดวกกว่าองครักษ์ลับมาก สามารถปรากฏตัวข้างกายนางได้อย่างเปิดเผย หากนางพบอันตรายพวกเขาก็สามารถออกมือได้ทันที อีกทั้งยังมีไป๋หลี่อยู่ด้วย ยามที่องครักษ์อื่นไม่สะดวกติดตามนาง ไป๋หลี่ก็ยังสามารถติดตามนางได้ไม่ห่าง เจียงซุ่ยฮวนกล่าวกับพวกเขาทั้งสี่ "แนะนำตัวกันหน่อย" คนยืนซ้ายสุดเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง เขาดูอายุมากที่สุด น่าจะสามสิบกว่า เขาพูดด้วยเสียงดังกังวาน "พระชายา กระหม่อมชื่อปาฟางพ่ะย่ะค่ะ" "กระหม่อมแข็งแรงดั่งวัว ชำนาญการใช้ดาบและค้อนเหล็กพ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้เสริมจากด้านข้าง "พระชายา เขาแข็งแรงจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ สามารถยกก้อนเหล็กหนักแปดสิบชั่ง
เสี่ยวถังหยวนดูจะรู้สึกสนุก สองมือน้อย ๆ ที่อวบอูมกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่าเจ้าตัวน้อยนี่มีนิสัยหลากหลายจริง บางครั้งก็เย็นชา บางครั้งก็ร่าเริง ได้รับนิสัยทั้งของนางและกู้จิ่นมา แม่นมรีบนำผ้าอ้อมมาให้ แล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวถังหยวนต่อหน้านาง นางมองผ้าอ้อมที่เปลี่ยนออก กล่าวว่า "ระบบย่อยอาหารใช้ได้ ดูแข็งแรงดี" เมื่อแม่นมเปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกล่าวว่า "เจ้าไปนอนเถิด คืนนี้เสี่ยวถังหยวนจะนอนกับข้า" "ได้เจ้าค่ะ" แม่นมกำชับก่อนจากไป "คุณชายน้อยจะตื่นมาดื่มนมในยามดึก ตอนนั้นท่านค่อยเรียกบ่าวนะเจ้าคะ" "อืม" หลังแม่นมจากไป เจียงซุ่ยฮวนก็อุ้มเสี่ยวถังหยวนเดินไปมาในห้องช้า ๆ คราวนี้นางไม่ได้คึกคะนองเล่าเรื่องตลกหรือนิทานพิลึกพิลั่น แต่ร้องเพลงกล่อมเด็กแทน "ท้องฟ้าดำมืดทอดต่ำลง ดาวประกายพรายเคียงคู่มา แมลงน้อยบิน แมลงน้อยบิน เจ้ากำลังคิดถึงใคร..." สมัยที่เจียงซุ่ยฮวนยังเล็ก พ่อมักทำงานดึกที่โรงพยาบาล ส่วนแม่ไม่เก่งเรื่องเล่านิทาน จึงมักร้องเพลงกล่อมนี้ข้างหูนางเพื่อให้นางหลับ ตอนนั้นนางไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงร้องเพลงเดิมทุกครั้ง บัดนี้นึกขึ้นไ