บนเวทีประลอง ชายร่างยักษ์พุ่งเข้าใส่เจียงซุ่ยฮวนพร้อมโบกหมัดคำรามลั่น “นังหนู! วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้ จำไว้ ความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตัวเอง! เตรียมตัวตายเถอะ!”ทว่าเจียงซุ่ยฮวนหาได้หลบหนีไม่ นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจวบจนชายผู้นั้นเข้ามาถึงตัว นางจึงเบี่ยงศีรษะหลบหมัด แล้วฟาดสันมือเข้าใส่ลูกกระเดือกของเขาเต็มแรงชายร่างใหญ่เบิกปากโพลง ลิ้นแทบจะแลบออกมาเจียงซุ่ยฮวนไม่รอให้เขาตั้งหลัก หมัดถัดไปของนางฟาดเข้าใส่ขมับด้านขวาอย่างแม่นยำดวงตาของชายร่างยักษ์เริ่มเลื่อนลอย ลำตัวทรุดลงโครมใหญ่จนเวทีสั่นสะเทือนทั่วทั้งลานประลองเงียบงันดั่งต้องมนต์ ผู้ชมล้วนตะลึงงัน ต่อให้ผ่านการชมศึกมานับครั้ง พวกเขาก็ไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อนสตรีร่างบางผู้หนึ่งที่ดูเหมือนไร้ทางสู้ กลับพลิกสถานการณ์คว้าชัยสองครั้งติด แถมยังง่ายดายนัก หากไม่เห็นกับตา ใครเล่าจะเชื่อ!หลังจากความตะลึงผ่านพ้น ก็กลายเป็นเสียงฮือฮาและโกลาหล สำหรับผู้ชมในที่นี้แล้ว ใครแพ้ใครชนะไม่สำคัญ ขอเพียงได้ชมฉากโลดโผนตื่นเต้นเลือดสูบฉีดก็พอใจนักท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เจียงซุ่ยฮวนหมุนข้อมือเบา ๆ วิชายุทธ์ที่นางร่ำเรียนมา
"แล้วเขาจะกลับมาเมื่อใด" "มิทราบแน่ชัด บางทีเจ้านายของพวกเราก็มาแทบทุกวัน บางทีก็ครึ่งเดือนยังไม่เห็นหน้าเลยสักครั้ง" "เช่นนั้นก็ได้" เจียงซุ่ยฮวนผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนเดินไปยังประตูทางออก พอเพียงก้าวออกไป แสงจันทราอันเยือกเย็นก็ราดรดลงมาบนร่างของนาง นางแหงนหน้ามองราตรี คิดว่ายามถูกจับตัวไป ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง แต่บัดนี้ราตรีกาลยังดำมืด แสดงว่าเวลาผ่านไปอย่างน้อยหนึ่งวันแล้ว ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วเจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจ ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น... กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วแต่เมื่อมองไปรอบกาย นางพบว่าตนอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่เคยมา จึงไม่รู้ว่าควรมุ่งหน้าไปทางใด คุณหนู ท่านหลงทางอยู่หรือ" เสียงที่ลึกมีเสน่ห์แว่วมาจากเบื้องหลัง เจียงซุ่ยฮวนแข็งขืนไปทั้งร่าง หันกลับไปกล่าวว่า "ไม่ใช่" เฉียนจิงอี๋มีแววตาเปื้อนยิ้ม "หากท่านจำทางมิได้ ข้าอาจพาท่านกลับก็ได้นะ" "ไม่จำเป็น ข้าจำทางได้" เจียงซุ่ยฮวนหมุนกายไปทางขวา พลางสังเกตความเคลื่อนไหวเบื้องหลังอยู่ไม่วาย เฉียนจิงอี๋กลับติดตามมา พูดเสียงเนิบช้า "คุณหนู หากเ
คำพูดของเฉียนจิงอี๋ยังไม่ทันขาดคำ เจียงซุ่ยฮวนก็เหวี่ยงหมัดไปที่คางของเขาอย่างฉับไว ดั่งสายฟ้าฟาด เขาก้าวตัวหลบได้ทัน รอยยิ้มยังมิได้จางหาย "คุณหนู หากมีเรื่องจะพูดก็พูดกันดี ๆ ไยต้องลุกขึ้นมาต่อยตีกันเล่า" ในตรอกที่ทั้งแคบและมืด เจียงซุ่ยฮวนจ้องเขม็งมาที่เฉียนจิงอี๋ ดั่งสัตว์ป่าที่โกรธเกรี้ยว นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวว่า "เลิกแสร้งเสียที! ข้ารู้ว่าท่านคือเจ้าของสนามประลองนั่น!" "อ่อหรือ" เฉียนจิงอี๋พิงกำแพงเบื้องหลัง ก่อนเลิกคิ้วถามว่า "คุณหนู เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" เจียงซุ่ยฮวนชี้ที่ใบหน้าตัวเอง กล่าวเสียงเย็น "ใบหน้าของข้าสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ มิใช่โฉมเดียวกับครั้งก่อนที่พบท่าน" "ทว่าเมื่อครู่ข้าเอ่ยถึงจุดของลูกเต๋า ท่านมิได้ลังเลสักนิดที่จะรับคำ แสดงว่าท่านจำข้าได้มาแต่แรก" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างมั่นใจ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ท่านคือผู้จับข้ามาที่นี่ หน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าข้าก็เป็นแผนการของท่าน ท่านจึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้ของข้า" เมื่อเจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าผู้ที่พานางมาคือเจ้าของสนามประลอง นางก็สงสัยเฉียนจิงอี๋มาแต่ต้น เพราะสนามประลองนั้นมีความคล้ายกับบ่อนพนันซ
ได้ยินเงาร่างหนึ่งกล่าวว่า "แถวนี้เรือนบ้านมากมาย ซอกซอยวกวน เจ้าจงไปตามคนมาเพิ่ม ส่วนข้าจะลงไปตามหาก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก่อนฟ้าสาง เราต้องหาพระชายาให้พบ" "พ่ะย่ะค่ะ!" เจียงซุ่ยฮวนที่ซ่อนอยู่ข้างกำแพงตาโตด้วยความยินดี นั่นเป็นเสียงของชางอี้ พวกเขามาตามหานางแล้ว! นางรีบออกมาจากกำแพง โบกมือเรียกชางอี้บนหลังคา ชางอี้ก้มมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา เจียงซุ่ยฮวนอึ้งไปชั่วครู่ จึงนึกได้ว่าตนยังสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ ชางอี้ย่อมจำนางมิได้ นางจึงต้องตะโกนเสียงดัง "ชางอี้ ข้าอยู่นี่!" ชั่วอึดใจ ชางอี้กลับมาปรากฏตัวเบื้องหน้านาง มองนางด้วยความตกตะลึง "พระชายารึ!" "ใช่ ข้าเอง" นางพยักหน้าตอบ "เหตุใดพระชายาจึงเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้มองนางอย่างอึดอัด ก่อนเบือนหน้าหนี"..." เจียงซุ่ยฮวนถามด้วยความสงสัย "โฉมหน้าข้าตอนนี้น่าเกลียดนักหรือ" ชางอี้ก้มหน้ามองปลายเท้า กล่าวอย่างฝืนใจว่า "มิได้น่าเกลียดพ่ะย่ะค่ะ พระชายามีความงามอันแตกต่างไม่เหมือนผู้ใด" "มีคันฉ่องหรือไม่" "มีพ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้ล้วงคันฉ่องออกมามอบให้เจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนส่องดูโฉมตนในค
"ไม่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นไร ข้าก็ยังจำเจ้าได้" ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังรู้สึกซาบซึ้งใจ นางก็สัมผัสได้ถึงร่างของกู่จิ่นที่สั่นไหวเล็กน้อย นางลูบแผ่นหลังของเขาเบา ๆ "มิต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันกลับมาอย่างปลอดภัย มิได้เป็นอันตรายแม้แต่น้อย" "อืม" กู้จิ่นคลายมือ แล้วตรัสกับองครักษ์ลับในลานบ้านว่า "พวกเจ้าจงกลับไปยังตำแหน่งเดิม" เพียงชั่วพริบตา องครักษ์ลับทั้งปวงก็หายวับไป เหลือเพียงชางอี้ที่ยืนอยู่ ณ ที่เดิม กู้จิ่นจับมือเจียงซุ่ยฮวนเดินไปยังห้องนอนเจียงซุ่ยฮวนบีบมือเขาเบา ๆ แล้วกระซิบว่า "ท่านอ๋องเพคะ โปรดอภัยโทษให้ปู้กู่เถิด เขาได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยหลี่ลี่" กู้จิ่นทรงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสกับชางอี้ว่า "ไปปล่อยตัวปู้กู่มา" ชางอี้รับคำอย่างปลาบปลื้ม "พ่ะย่ะค่ะ!" "รอก่อน" กู้จิ่นเรียกชางอี้ไว้ แล้วตรัสต่อ "เขาใช้งานคนไม่เหมาะสม มิได้ปกป้องอาฮวนให้ดี แม้จะได้รับการปล่อยตัวจากคุกน้ำ ก็มิอาจพ้นโทษ" ชางอี้ทูลถาม "ท่านอ๋องจะทรงลงทัณฑ์เขาเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ" "ในเมื่อขาของเขาได้รับบาดเจ็บจนเคลื่อนไหวมิได้ ก็ให้เขาคัดลอกตำรากลยุทธ์หนึ่งพันรอบ" ชางอี้อดรู้สึกเสียใจมิได้ หากรู้แ
เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ทำไมหรือเพคะ" กู้จิ่นเอามือลูบผ่านเส้นผมของนางเบา ๆ "อาฮวน ความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับไท่ซ่างหวงนั้นแม้จะได้เปิดใจคุยกันแล้ว ทว่าแนวคิดของเราทั้งสองยังคงต่างกันอยู่มาก" "เขาเป็นห่วงว่าข้าจะไม่อาจต่อกรสู้แมงป่องพิษได้ จึงปรารถนาให้ข้าหลบซ่อนตัว แต่ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้" ดวงตาของกู้จิ่นแข็งดุจหินนิลเป็นประกายเย็นยะเยือก ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า "แมงป่องพิษสังหารเสด็จแม่ของข้า ตลอดหลายปีมานี้ทำให้ข้าตกเป็นเบี้ยหมากในมือ" "บัดนี้ข้าได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของแมงป่องพิษแล้ว จะให้ข้าหลบหนีอีก ข้าไม่มีทางทำได้" สำหรับเจียงซุ่ยฮวน ความคิดของกู้จิ่นและไท่ซ่างหวงล้วนมิได้ผิด เพียงแต่ยืนอยู่คนละมุมมองเท่านั้น นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "พระองค์ลองโน้มน้าวไท่ซ่างหวงอีกสักหน่อยมิดีหรือเพคะ ถึงอย่างไรพวกท่านก็เป็นพ่อลูกกันหากร่วมมือกันย่อมสามารถเอาชนะแมงป่องพิษได้เป็นแน่" กู้จิ่นหยุดเคลื่อนไหว แล้วโอบรอบเอวนางและถามว่า "อาฮวน เจ้ายังจำคำพูดที่ข้าเอ่ยค้างไว้ครั้งก่อนได้หรือไม่" มือของกู้จิ่นอุ่นและมั่นคง เมื่อจับที่เอวของนาง รอบเอวนางก็ราวกับมี
กู้จิ่นตอบว่า "ไม่รู้ ฉู่ยิ่นเข้าใจว่าข้าเป็นบุตรของหญิงรับใช้ และรู้ว่าข้าไม่มีทางแย่งชิงบัลลังก์กับเขา ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่ดีกับข้ามาตลอด" "เช่นนั้น... จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูทรงล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์หรือไม่เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าถาม "หลังจากข้าเกิดไม่นาน จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูก็ทรงล่วงรู้แล้ว พระองค์ส่งคนนำหยกหยาบมาให้หนึ่งก้อน ฮองเฮาไท่ชิงทรงให้ช่างทำเป็นแผ่นหยกพระราชทานแก่ข้า" พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของกู้จิ่นก็ทอดมองนางอย่างลึกซึ้งแผ่นหยก เจียงซุ่ยฮวนเลิกปกเสื้อขึ้น ถอดแผ่นหยกที่ห้อยอยู่ที่คอ "คือสิ่งนี้หรือเพคะ" กู้จิ่นลูบแผ่นหยกเบา ๆ แผ่นหยกเนียนละเอียดยังอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของเจียงซุ่ยฮวน บนนั้นสลักอักษร "กู้" เพียงตัวเดียว "คือแผ่นนี้แหละ" กู้จิ่นทรงยกสร้อยแผ่นหยก สวมกลับคืนบนคอของเจียงซุ่ยฮวน เขากล่าวต่อไป "นับตั้งแต่ข้าเริ่มมีภาพความทรงจำ ฮองเฮาไท่ชิงก็ดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าพระนางคือเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิด และความเฉลียวฉลาดที่ข้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้ฮองเฮาไท่ชิงและไท่ซ่างหวงยิ่งทรงชื่นชมข้า" "เมื่อข้าอายุได้ห้าปี ทูตจากแคว้นเหลียงต
“นางหญิงชั่ว! เม่ยเอ๋อร์เป็นน้องสาวเจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงลงมือสังหารนาง!” เจียงซุ่ยฮวนลืมตาขึ้น มองชายหญิงแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความงุนงง นางเป็นแพทย์ระดับยอดฝีมือในยุคปัจจุบัน เชี่ยวชาญทั้งการแพทย์แผนจีน แผนตะวันตก และวิชายุทธ์โบราณ มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยฝีมือการรักษาอันล้ำเลิศ แต่เมื่อตื่นขึ้นมา กลับพบว่าตนเองมาอยู่ในที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ยังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปที่หน้าอก เจียงซุ่ยฮวนก้มมอง พบว่ามีกริชปักอยู่ที่อก โลหิตไหลรินไม่หยุด เสียงเย็นชาของชายผู้นั้นดังขึ้น “ตอนแรกเจ้าแต่งงานกับข้าแทนเม่ยเอ๋อร์ ข้าก็ละเว้นชีวิตเจ้าแล้ว วันนี้เจ้ายังจะฆ่าเม่ยเอ๋อร์อีก ข้าจะยอมเจ้าได้อย่างไร!” ความทรงจำพรั่งพรูเข้ามาในสมอง นางข้ามภพมาเป็นองค์หญิงผู้เป็นภรรยาเอกแห่งวังหนานหมิง ร่างเดิมคือธิดาแท้ ๆ ของจวนอ๋อง นางถูกสับเปลี่ยนตัวตั้งแต่แรกเกิด กว่าจวนอ๋องจะตามหาจนพบและได้แต่งงานกับองค์ชายฉู่เจวี๋ย ก็ระหกระเหินอยู่ภายนอกหลายปีน้องสาวที่องค์ชายกล่าวถึง คือธิดาตัวปลอมในจวน แม้ไม่ใช่บุตรีแท้ ๆ แต่ท่านอ๋องและฮูหยินเสียดายนาง จึงรับไว้เป็นบุตรีบุญธ
กู้จิ่นตอบว่า "ไม่รู้ ฉู่ยิ่นเข้าใจว่าข้าเป็นบุตรของหญิงรับใช้ และรู้ว่าข้าไม่มีทางแย่งชิงบัลลังก์กับเขา ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่ดีกับข้ามาตลอด" "เช่นนั้น... จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูทรงล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์หรือไม่เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าถาม "หลังจากข้าเกิดไม่นาน จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูก็ทรงล่วงรู้แล้ว พระองค์ส่งคนนำหยกหยาบมาให้หนึ่งก้อน ฮองเฮาไท่ชิงทรงให้ช่างทำเป็นแผ่นหยกพระราชทานแก่ข้า" พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของกู้จิ่นก็ทอดมองนางอย่างลึกซึ้งแผ่นหยก เจียงซุ่ยฮวนเลิกปกเสื้อขึ้น ถอดแผ่นหยกที่ห้อยอยู่ที่คอ "คือสิ่งนี้หรือเพคะ" กู้จิ่นลูบแผ่นหยกเบา ๆ แผ่นหยกเนียนละเอียดยังอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของเจียงซุ่ยฮวน บนนั้นสลักอักษร "กู้" เพียงตัวเดียว "คือแผ่นนี้แหละ" กู้จิ่นทรงยกสร้อยแผ่นหยก สวมกลับคืนบนคอของเจียงซุ่ยฮวน เขากล่าวต่อไป "นับตั้งแต่ข้าเริ่มมีภาพความทรงจำ ฮองเฮาไท่ชิงก็ดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าพระนางคือเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิด และความเฉลียวฉลาดที่ข้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้ฮองเฮาไท่ชิงและไท่ซ่างหวงยิ่งทรงชื่นชมข้า" "เมื่อข้าอายุได้ห้าปี ทูตจากแคว้นเหลียงต
เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ทำไมหรือเพคะ" กู้จิ่นเอามือลูบผ่านเส้นผมของนางเบา ๆ "อาฮวน ความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับไท่ซ่างหวงนั้นแม้จะได้เปิดใจคุยกันแล้ว ทว่าแนวคิดของเราทั้งสองยังคงต่างกันอยู่มาก" "เขาเป็นห่วงว่าข้าจะไม่อาจต่อกรสู้แมงป่องพิษได้ จึงปรารถนาให้ข้าหลบซ่อนตัว แต่ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้" ดวงตาของกู้จิ่นแข็งดุจหินนิลเป็นประกายเย็นยะเยือก ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า "แมงป่องพิษสังหารเสด็จแม่ของข้า ตลอดหลายปีมานี้ทำให้ข้าตกเป็นเบี้ยหมากในมือ" "บัดนี้ข้าได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของแมงป่องพิษแล้ว จะให้ข้าหลบหนีอีก ข้าไม่มีทางทำได้" สำหรับเจียงซุ่ยฮวน ความคิดของกู้จิ่นและไท่ซ่างหวงล้วนมิได้ผิด เพียงแต่ยืนอยู่คนละมุมมองเท่านั้น นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "พระองค์ลองโน้มน้าวไท่ซ่างหวงอีกสักหน่อยมิดีหรือเพคะ ถึงอย่างไรพวกท่านก็เป็นพ่อลูกกันหากร่วมมือกันย่อมสามารถเอาชนะแมงป่องพิษได้เป็นแน่" กู้จิ่นหยุดเคลื่อนไหว แล้วโอบรอบเอวนางและถามว่า "อาฮวน เจ้ายังจำคำพูดที่ข้าเอ่ยค้างไว้ครั้งก่อนได้หรือไม่" มือของกู้จิ่นอุ่นและมั่นคง เมื่อจับที่เอวของนาง รอบเอวนางก็ราวกับมี
"ไม่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นไร ข้าก็ยังจำเจ้าได้" ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังรู้สึกซาบซึ้งใจ นางก็สัมผัสได้ถึงร่างของกู่จิ่นที่สั่นไหวเล็กน้อย นางลูบแผ่นหลังของเขาเบา ๆ "มิต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันกลับมาอย่างปลอดภัย มิได้เป็นอันตรายแม้แต่น้อย" "อืม" กู้จิ่นคลายมือ แล้วตรัสกับองครักษ์ลับในลานบ้านว่า "พวกเจ้าจงกลับไปยังตำแหน่งเดิม" เพียงชั่วพริบตา องครักษ์ลับทั้งปวงก็หายวับไป เหลือเพียงชางอี้ที่ยืนอยู่ ณ ที่เดิม กู้จิ่นจับมือเจียงซุ่ยฮวนเดินไปยังห้องนอนเจียงซุ่ยฮวนบีบมือเขาเบา ๆ แล้วกระซิบว่า "ท่านอ๋องเพคะ โปรดอภัยโทษให้ปู้กู่เถิด เขาได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยหลี่ลี่" กู้จิ่นทรงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสกับชางอี้ว่า "ไปปล่อยตัวปู้กู่มา" ชางอี้รับคำอย่างปลาบปลื้ม "พ่ะย่ะค่ะ!" "รอก่อน" กู้จิ่นเรียกชางอี้ไว้ แล้วตรัสต่อ "เขาใช้งานคนไม่เหมาะสม มิได้ปกป้องอาฮวนให้ดี แม้จะได้รับการปล่อยตัวจากคุกน้ำ ก็มิอาจพ้นโทษ" ชางอี้ทูลถาม "ท่านอ๋องจะทรงลงทัณฑ์เขาเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ" "ในเมื่อขาของเขาได้รับบาดเจ็บจนเคลื่อนไหวมิได้ ก็ให้เขาคัดลอกตำรากลยุทธ์หนึ่งพันรอบ" ชางอี้อดรู้สึกเสียใจมิได้ หากรู้แ
ได้ยินเงาร่างหนึ่งกล่าวว่า "แถวนี้เรือนบ้านมากมาย ซอกซอยวกวน เจ้าจงไปตามคนมาเพิ่ม ส่วนข้าจะลงไปตามหาก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก่อนฟ้าสาง เราต้องหาพระชายาให้พบ" "พ่ะย่ะค่ะ!" เจียงซุ่ยฮวนที่ซ่อนอยู่ข้างกำแพงตาโตด้วยความยินดี นั่นเป็นเสียงของชางอี้ พวกเขามาตามหานางแล้ว! นางรีบออกมาจากกำแพง โบกมือเรียกชางอี้บนหลังคา ชางอี้ก้มมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา เจียงซุ่ยฮวนอึ้งไปชั่วครู่ จึงนึกได้ว่าตนยังสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ ชางอี้ย่อมจำนางมิได้ นางจึงต้องตะโกนเสียงดัง "ชางอี้ ข้าอยู่นี่!" ชั่วอึดใจ ชางอี้กลับมาปรากฏตัวเบื้องหน้านาง มองนางด้วยความตกตะลึง "พระชายารึ!" "ใช่ ข้าเอง" นางพยักหน้าตอบ "เหตุใดพระชายาจึงเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้มองนางอย่างอึดอัด ก่อนเบือนหน้าหนี"..." เจียงซุ่ยฮวนถามด้วยความสงสัย "โฉมหน้าข้าตอนนี้น่าเกลียดนักหรือ" ชางอี้ก้มหน้ามองปลายเท้า กล่าวอย่างฝืนใจว่า "มิได้น่าเกลียดพ่ะย่ะค่ะ พระชายามีความงามอันแตกต่างไม่เหมือนผู้ใด" "มีคันฉ่องหรือไม่" "มีพ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้ล้วงคันฉ่องออกมามอบให้เจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนส่องดูโฉมตนในค
คำพูดของเฉียนจิงอี๋ยังไม่ทันขาดคำ เจียงซุ่ยฮวนก็เหวี่ยงหมัดไปที่คางของเขาอย่างฉับไว ดั่งสายฟ้าฟาด เขาก้าวตัวหลบได้ทัน รอยยิ้มยังมิได้จางหาย "คุณหนู หากมีเรื่องจะพูดก็พูดกันดี ๆ ไยต้องลุกขึ้นมาต่อยตีกันเล่า" ในตรอกที่ทั้งแคบและมืด เจียงซุ่ยฮวนจ้องเขม็งมาที่เฉียนจิงอี๋ ดั่งสัตว์ป่าที่โกรธเกรี้ยว นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวว่า "เลิกแสร้งเสียที! ข้ารู้ว่าท่านคือเจ้าของสนามประลองนั่น!" "อ่อหรือ" เฉียนจิงอี๋พิงกำแพงเบื้องหลัง ก่อนเลิกคิ้วถามว่า "คุณหนู เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" เจียงซุ่ยฮวนชี้ที่ใบหน้าตัวเอง กล่าวเสียงเย็น "ใบหน้าของข้าสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ มิใช่โฉมเดียวกับครั้งก่อนที่พบท่าน" "ทว่าเมื่อครู่ข้าเอ่ยถึงจุดของลูกเต๋า ท่านมิได้ลังเลสักนิดที่จะรับคำ แสดงว่าท่านจำข้าได้มาแต่แรก" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างมั่นใจ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ท่านคือผู้จับข้ามาที่นี่ หน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าข้าก็เป็นแผนการของท่าน ท่านจึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้ของข้า" เมื่อเจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าผู้ที่พานางมาคือเจ้าของสนามประลอง นางก็สงสัยเฉียนจิงอี๋มาแต่ต้น เพราะสนามประลองนั้นมีความคล้ายกับบ่อนพนันซ
"แล้วเขาจะกลับมาเมื่อใด" "มิทราบแน่ชัด บางทีเจ้านายของพวกเราก็มาแทบทุกวัน บางทีก็ครึ่งเดือนยังไม่เห็นหน้าเลยสักครั้ง" "เช่นนั้นก็ได้" เจียงซุ่ยฮวนผงกศีรษะเบา ๆ ก่อนเดินไปยังประตูทางออก พอเพียงก้าวออกไป แสงจันทราอันเยือกเย็นก็ราดรดลงมาบนร่างของนาง นางแหงนหน้ามองราตรี คิดว่ายามถูกจับตัวไป ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง แต่บัดนี้ราตรีกาลยังดำมืด แสดงว่าเวลาผ่านไปอย่างน้อยหนึ่งวันแล้ว ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วเจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจ ในช่วงเวลาที่นางหายไปหนึ่งวันเต็ม ๆ นั้น... กู้จิ่นคงร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแล้วแต่เมื่อมองไปรอบกาย นางพบว่าตนอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่เคยมา จึงไม่รู้ว่าควรมุ่งหน้าไปทางใด คุณหนู ท่านหลงทางอยู่หรือ" เสียงที่ลึกมีเสน่ห์แว่วมาจากเบื้องหลัง เจียงซุ่ยฮวนแข็งขืนไปทั้งร่าง หันกลับไปกล่าวว่า "ไม่ใช่" เฉียนจิงอี๋มีแววตาเปื้อนยิ้ม "หากท่านจำทางมิได้ ข้าอาจพาท่านกลับก็ได้นะ" "ไม่จำเป็น ข้าจำทางได้" เจียงซุ่ยฮวนหมุนกายไปทางขวา พลางสังเกตความเคลื่อนไหวเบื้องหลังอยู่ไม่วาย เฉียนจิงอี๋กลับติดตามมา พูดเสียงเนิบช้า "คุณหนู หากเ
บนเวทีประลอง ชายร่างยักษ์พุ่งเข้าใส่เจียงซุ่ยฮวนพร้อมโบกหมัดคำรามลั่น “นังหนู! วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้ จำไว้ ความเมตตาต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตัวเอง! เตรียมตัวตายเถอะ!”ทว่าเจียงซุ่ยฮวนหาได้หลบหนีไม่ นางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมจวบจนชายผู้นั้นเข้ามาถึงตัว นางจึงเบี่ยงศีรษะหลบหมัด แล้วฟาดสันมือเข้าใส่ลูกกระเดือกของเขาเต็มแรงชายร่างใหญ่เบิกปากโพลง ลิ้นแทบจะแลบออกมาเจียงซุ่ยฮวนไม่รอให้เขาตั้งหลัก หมัดถัดไปของนางฟาดเข้าใส่ขมับด้านขวาอย่างแม่นยำดวงตาของชายร่างยักษ์เริ่มเลื่อนลอย ลำตัวทรุดลงโครมใหญ่จนเวทีสั่นสะเทือนทั่วทั้งลานประลองเงียบงันดั่งต้องมนต์ ผู้ชมล้วนตะลึงงัน ต่อให้ผ่านการชมศึกมานับครั้ง พวกเขาก็ไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อนสตรีร่างบางผู้หนึ่งที่ดูเหมือนไร้ทางสู้ กลับพลิกสถานการณ์คว้าชัยสองครั้งติด แถมยังง่ายดายนัก หากไม่เห็นกับตา ใครเล่าจะเชื่อ!หลังจากความตะลึงผ่านพ้น ก็กลายเป็นเสียงฮือฮาและโกลาหล สำหรับผู้ชมในที่นี้แล้ว ใครแพ้ใครชนะไม่สำคัญ ขอเพียงได้ชมฉากโลดโผนตื่นเต้นเลือดสูบฉีดก็พอใจนักท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เจียงซุ่ยฮวนหมุนข้อมือเบา ๆ วิชายุทธ์ที่นางร่ำเรียนมา
นอกเหนือจากสิ่งที่ได้ยินมา เจียงซุ่ยฮวนยังมีข้อสงสัยในใจอยู่หนึ่งประการ นางลูบใบหน้าตนเองเบา ๆ พลางนึกในใจ “ข้าหน้าตาขี้ริ้วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่ม ทว่ากลับรู้สึก...ไม่เหมือนหนังแท้ ๆ ของมนุษย์เจียงซุ่ยฮวนเลื่อนมือไปสัมผัสบริเวณหลังใบหูอย่างละเอียด และแล้ว...ก็พบปุ่มนูนเล็ก ๆ อยู่จริงหนังศีรษะของนางชาวาบ แท้จริงแล้วมีผู้สวมหน้ากากหนังมนุษย์ไว้บนใบหน้าของนางนี่เอง! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชายร่างใหญ่จึงพูดจาดูแคลนใบหน้านางนักเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าบนใบหน้านางมี "ผิวปลอม" แปะทับอยู่ เจียงซุ่ยฮวนก็รู้สึกขนลุกจนสั่นไปทั้งตัว นางพยายามจะลอกหน้ากากออก แต่เพิ่งจะลอกได้เพียงนิด กลับเจ็บแสบจนราวกับหนังแท้ของตนกำลังจะถูกฉีกติดไปด้วยของเหลวอุ่น ๆ หยดลงบนหลังมือ นางก้มลงมอง เห็นหยดโลหิตสีแดงสดกำลังไหลซึมอย่างช้า ๆดูท่าหน้ากากหนังกับผิวหนังของนางติดกันแน่นเกินไป หากฝืนลอกออกเกรงว่าจะทำร้ายใบหน้าของตนเองเสียมากกว่าเจียงซุ่ยฮวนจึงใช้ชายแขนเสื้อซับเลือดเบา ๆ โชคดีที่แผลไม่ใหญ่ เลือดหยุดไหลในเวลาไม่นานชายร่างยักษ์เบิกตากว้าง พยายามมองนางจากเบื้องล่าง “คำถามข
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ